ภายหลังทราบผลคำพิพากษาไปเมื่อวานนี้ (23 ม.ค.) ไม่มีใครรู้ว่าสมยศคิดอย่างไร เพราะเจ้าหน้าที่นำตัวเขาส่งเรือนจำทันที โชคดีที่ทนาย ภรรยาและลูกยังตามมาเยี่ยมที่เรือนจำได้ในบ่ายวันนั้น
วันรุ่งขึ้น มีคนไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำ จำนวนผู้เยี่ยมยังคงเป็นไปตามปกติ ส่วนใหญ่เป็น ‘ขาประจำ’ ที่คุ้นหน้ากันดี
ก่อนจะได้เจอเขา เพื่อนนักโทษของเขา – คดีหมิ่นฯ ซึ่งออกมาก่อนเล่าให้ฟังว่า วานนี้หลังกลับจากศาล สมยศก็ค่อนข้างเงียบ คงเพราะผิดหวังอย่างรุนแรง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขามั่นใจมากว่าคดีของเขา ‘ไม่มีอะไรต้องกังวล’
ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่เชื่อมั่นและมีความหวังในระบบยุติธรรมมาก ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ ข้อกล่าวหาต่อกระบวนการยุติธรรมต่างๆ นานา และตัวเขาเองก็ถูกคุมขังมานาน 600 กว่าวันโดยไม่ได้ประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี แต่เขากลับเชื่อมั่นในรากฐานของระบบ
“เต็มร้อย แกเชื่อมากกว่า 80 ว่าแกจะรอด แกบริจาคของใช้ของแกให้นักโทษคนอื่นๆ หมดเลย..แต่ไม่ต้องห่วง พิพากษามาแรกๆ เป็นอย่างนี้ทุกคน สิ่งที่ช่วยแกได้คือกำลังใจ สักพักคงฟื้น เราก็ช่วยๆ กันอยู่” ‘รุ่นพี่’ ที่เคยโดนพิพากษาหนักๆ มาแล้ว อธิบาย
สมยศเดินออกมา ยิ้มทักทายผู้คน ยิ้มกว้างเท่าเดิม แต่ดูไม่ใช่ยิ้มแบบเดิม คราวนี้เขาไม่ค่อยมีมุขตลกขำขันมาแซวคนเยี่ยมเหมือนเคย
ลูกชายของเขา ‘ไท’ ปณิธาน พฤกษาเกษมสุข และเพื่อนๆ มาพูดคุยกับเขา นักศึกษาปี 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายเรื่องข้อกฎหมายและนำเสนอแนวทางการต่อสู้ทางคดีให้พ่อฟังยาวเหยียด ก่อนบอกว่า จะมีนักศึกษาทำกิจกรรมอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคำพิพากษานี้
เมื่อถามสมยศว่า ตัวเขาคิดเห็นเช่นไรกับคำพิพากษาเมื่อวาน เขากล่าวว่า เขารู้สึกเสียใจกับผลคำตัดสิน เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้กลายเป็น ‘คดีความเห็น’ ซึ่งศาลอ้างถึงแต่ความเห็นฝ่ายโจทก์ที่เชื่อว่าเขาคิดเช่นนั้น โดยไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะพิสูจน์ความเข้าใจของตัวเขาได้ อาศัยเพียงคำว่า “เข้าใจได้ว่า” และในขณะที่ศาลให้ความเชื่อถือกับพยานฝ่ายโจทก์แต่กับพยานฝ่ายจำเลยที่อ่านแล้วตีความอีกแบบศาลกลับไม่ให้ความเชื่อถือและอ้างถึงน้อยมาก ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นการบังคับให้ต้องคิดและตีความเหมือนที่ศาลคิด
“บางเรื่องที่ทนายจำเลยซักถามจนตกแล้ว แต่ศาลก็ยังให้ความสำคัญและอ้างถึง เช่นเรื่องประวัติศาสตร์ในแบบเรียน ทนายถามว่าแบบเรียนไหนที่พูดถึงถุงแดง พยานก็ตอบไม่ได้ หรือแม้แต่พยานโจทก์อย่างธงทอง จันทรางศุ ก็เบิกความเองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการตีความซึ่งขึ้นกับบริบทพื้นเพของแต่ละคน”
สมยศกล่าวว่า นอกจากนี้ศาลยังอ้างถึงระดับการศึกษาว่าเขาจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์น่าจะรู้ถึงเรื่องนี้
“ถ้าผมจบ ป.6 ผลอาจจะดีขึ้น ใช่มั้ย” สมยศพูดติดตลก
เขากล่าวว่า แม้ว่าจะรู้สึกเศร้ากับผลที่ออกมา แต่มองในแง่ดีเรื่องนี้ก็ทำให้ได้เห็นถึงปัญหาของระบบ ที่ผ่านมาเขายังเชื่อว่าระบบยุติธรรมยังมีความยุติธรรมอยู่ แม้จะมีปัญหาบ้างในบางส่วน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความเชื่อที่มีมาเสมอนี้ต้องเปลี่ยน
“ที่สำคัญ ผลของคดีนี้น่าจะทำให้เสรีภาพของสื่อที่หวังจะเห็นแสงสว่างจากคดีนี้ กลายเป็นยุคมืดไปเลย” สมยศตั้งข้อสังเกต
ส่วนเรื่องแนวทางการต่อสู้คดี เขาว่า ตอนนี้เขายังคิดอะไรไม่ออก แต่คิดว่าอย่างไรก็คงต้องสู้
15 นาทีหมดไปอย่างรวดเร็ว สำหรับรอบ 9 (11.10 น.) ซึ่งเจ้าหน้าที่ล็อคไว้ให้เป็นรอบเยี่ยมผู้ต้องขังคดีการเมืองทั้งหลาย
ซ้ายมือ แฟนของยุทธภูมิผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ คนล่าสุด กำลังร่ำลากับสามี เขาถูกจับกุมมาตั้งแต่ 19 ก.ย.55 ไม่ได้ประกันตัว และศาลนัดสืบพยานอีกครั้งปลายปี - เดือนสิงหาคม กรณีนี้พี่ชายแท้ๆ เป็นคนแจ้งความว่าเขาพูดจาดูหมิ่นสถาบันฯ ในบ้าน และเขียนคำจาบจ้วงสถาบันฯ บนปกซีดีแผ่นหนึ่ง
ขวามือ ภรรยาสุรชัยซึ่งลงทุนย้ายมาอยู่กับเพื่อนที่ทาวเฮ้าส์ใกล้เรือนจำและมาเยี่ยมสามีทุกวัน ก็กำลังโบกมือให้สุรชัย เขาเป็นผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ ที่อายุมากที่สุด 71 ปี แต่สดใส และไฮเปอร์อย่างยิ่ง ผู้ที่มาเยี่ยมเขาจะได้ฟังแลคเชอร์บทวิเคราะห์การเมือง และแนวทางการต่อสู้ในประเด็นต่างๆ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถัดไปอีก เด็กหนุ่มจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเพิ่งติดตามเรื่องราวนักโทษคดีหมิ่นฯ จากการไปเข้าค่ายอบรมเรื่องเสรีภาพกับโครงการอินเตอร์เพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ เมื่อสองเดือนก่อน เขากำลังพูดคุยกับหนุ่ม ธันย์ฐวุฒิ ผู้ต้องขังโทษ 13 ปีอีกคนหนึ่งอย่างติดลม ไม่ยอมลุก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเดินออกมาเพราะโดนเจ้าหน้าที่ไล่ เขาบอกว่า เขาจะกลับไปเขียนจดหมายส่งไปโครงการอีเมล์หยดน้ำ freedom4pp@gmail.com (นักโทษ112 ชวนส่ง 'อีเมลหยดน้ำ') เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง และส่งข่าวสารข้อมูลให้ผู้ต้องขังข้างในโดยตรง ไม่แน่ว่าเขาอาจตามไปดูมหกรรม ‘เผาตำรากฎหมาย’ ที่ หน้าศาลอาญา วันศุกร์นี้ (25 ม.ค.) เวลา 12.00 น. ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Side effect จากคำพิพากษาในคดีนี้ด้วย
ขณะที่สุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยาของสมยศ โพสต์ในเฟซบุ๊คว่า ได้ยื่นประกันตัวเขาในชั้นอุทธรณ์แล้วเป็นที่เรียบร้อย และคงต้องรออีก 2-3 วันกว่าจะรู้ผล
“I actually have no hope but someone told me that we live with hope, only dead people has no hope. Life is going on.” ส่วนหนึ่งในข้อความของสุกัญญา