ตามข้อมูลประวัติศาสตร์ โรฮิงญาคือเชื้อสายผสมที่สืบทอดมาจากแขกมัวร์ อาหรับ พ่อค้าเปอร์เซียน เตอร์ก ปาทาน เบงกาลี กับคนพื้นเมืองอาระกัน และตั้งรกรากอยู่ในรัฐอาระกันตั้งแต่สมัยราชวงศ์โมกุลในช่วงศตวรรษที่ 9-15
ปี ค.ศ. 1948 พม่าประกาศเอกราชและก้าวสู่รัฐชาติสมัยใหม่ ขณะที่บังกลาเทศที่รู้จักกันในปัจจุบันประกาศเอกราช แยกตัวจากอินเดีย เป็นปากีสถานตะวันออก เมื่อปี 1947 ก่อนจะแยกตัวเป็นบังกลาเทศในเวลาต่อมา
โรฮิงญาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากรัฐชาติสมัยใหม่ เมื่อมีการขีดเส้นเขตแดน พวกเขาไม่ถูกนับรวมเป็นประชากรของประเทศใดเลย ไม่ว่าจะเป็นพม่าหรือบังกลาเทศ ไม่ได้รับสิทธิในฐานะพลเมือง และพยายามแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าโดยการล่องเรือมายังมาเลเซียและไทย และเข้ามาสู่กระบวนการค้ามนุษย์
จำนวนประชากรโรฮิงญา
ประชากรโรฮิงญา ตัวเลขอย่างเป็นทางการขององค์การสหประชาชาติคาดว่ามีประมาณ 1,424,000 ++
อย่างไรก็ตาม การเก็บจำนวนประชากรโรฮิงญานั้น ไม่อาจระบุจำนวนที่แน่นอนได้ เป็นเพียงตัวเลขประมาณการดังนี้
พม่า (รัฐอาระกัน) 800,000 คน
บังกลาเทศ 300,000 คน
ปากีสถาน 200,000 คน
ไทย 100,000 คน
มาเลเซีย 24,000 คน
ซาอุดิอาระเบีย 500,000-600,000 คน
อินเดีย 4,000 คน
สถานการณ์ปัจจุบัน
นอกเหนือจากการล่องเรือและเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ ในปีที่ผ่านมา ชาวโรฮิงญาซึ่งนับถือศาสนาอิสลามมีปัญหากระทบกระทั่งและนำไปสู่การปะทะกันกับคนชาติพันธุ์อาระกันซึ่งนับถือศาสนาพุทธในรัฐยะไข่ หรือรัฐอาระกัน ประเทศพม่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน และบ้านเรือนนับพันหลังถูกเพลิงไหม้
ข้อมูลจากฮิวแมนไรท์วอทช์เมื่อเดือน ต.ค. 2555 ความรุนแรงจากการปะทะ ประกอบกับการที่รัฐบาลพม่ามีควบคุมการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับชุมชนชาวโรฮิงยาที่ต้องอพยพหลังเกิดความรุนแรง ทำให้มีชาวโรฮิงยาราว 104,000 ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในเรื่องอาหาร ที่พัก และการดูแลสุขภาพ มีผู้อพยพภายในประเทศ (Internally displaced persons - IDP) 75,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงยา และอาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 40 แห่งในเมืองซิต ตเหว่ และเจาก์ตาว
สำหรับสถานการณ์ของชาวโรฮิงญาที่ถูกกักตัวในประเทศไทยนั้น ชาวโรฮิงญาล่องเรือเข้ามาในเขตประเทศไทยหลายครั้ง จนกระทั่งล่าสุด มีการกักตัวชาวโรฮิงญาในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา กว่า 800 คน โดย UNHCR เรียกร้องไทยอย่าส่งตัวกลับไปยังพม่า แต่ขอให้ส่งไปยังประเทศที่สาม เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซียเป็นต้น
วันที่ 15 ม.ค. กลุ่มคณาจารย์ นักกิจกรรมทางสังคม และนิสิตนักศึกษา เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มหาสารคามร่วมกันลงนามเรียกร้องยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮิงญา
โดยข้อเรียกร้องมี 3 ข้อ คือ
ประการแรกขอเรียกร้องให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนของรัฐสภา องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนทั้งของไทยและสากล เข้ามีบทบาทในการเข้าช่วยเหลือชาวโรฮิงญาโดยเร่งด่วน โดยกดดันให้รัฐบาลไทยยุตินโยบายและปฏิบัติการที่เป็นการผลักดันชาวโรฮิงญากลับพม่า
เพราะชาวโรฮิงญาแตกต่างจากผู้อพยพหรือแรงงานข้ามชาติกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาเป็นคนไร้รัฐ การผลักดันพวกเขาออกนอกประเทศกลับไปยังพม่าจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และหากพวกเขาหลบหนีออกมาอีกครั้งก็จะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียชีวิตระหว่างหลบหนีหรือไม่ก็ต้องตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์อีก
สำหรับนโยบายในการแก้ปัญหาชาวโรฮิงญา รัฐไทยต้องให้ภาคส่วนต่างๆ ทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักวิชาการ และภาคประชาสังคมเข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและปฏิบัติการของรัฐไทยต่อชาวโรฮิงญาเป็นกรณีเฉพาะ
ประการที่สองขอเรียกร้องให้สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือประชาคมอาเซียนและรัฐบาลในประเทศกลุ่มอาเซียนเข้ามีบทบาทในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวโรฮิงญาในประเทศพม่า โดยกดดันใหรัฐบาลพม่าและชาวพม่ากลุ่มอื่น ยุติการปราบปรามเข่นฆ่า และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ ต่อชาวโรฮิงญาโดยทันที และให้การช่วยเหลือชาวโรฮิงญาทั้งที่ยังอยู่ในประเทศพม่าและที่หลบหนีออกมา รวมทั้งที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์โดยเร่งด่วน
หากประชาคมอาเซียนและรัฐบาลในประเทศกลุ่มอาเซียนเพิกเฉยต่อชาวโรฮิงญาก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าประชาคมอาเซียนเป็นเพียงการรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวโดยไม่ตระหนักถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาคมอาเซียนเอง
ประการที่สามขอให้สังคมไทยร่วมกันผลักดันให้รัฐบาลไทยดำเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์โดยดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 อย่างจริงจัง รวมทั้งทำการรณรงค์ให้ยุติการค้ามนุษย์ในประเทศไทยโดยเร่งด่วน สำหรับกรณีของชาวโรฮิงญาที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ที่ภาคใต้ใน ขณะนี้ ขอให้สังคมไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่พวกเขาโดยเร่งด่วน โดยไม่มีอคติทางศาสนาและชาติพันธุ์ แต่ถือว่าชาวโรฮิงญา คือเพื่อนร่วมโลกของเรา
ภายหลังจากมีการเผยแพร่และรณรงค์ผ่านเฟซบุ๊ก มีผู้ร่วมลงชื่อกว่า 25,000 คนภายใน 1 วัน
อ้างอิง
ฮิวแมนไรท์ วอทซ์เผยภาพชุมชนโรฮิงญาถูกเผาวอด หลังเหตุขัดแย้งรอบล่าสุดในพม่า
http://prachatai.com/journal/2012/11/43432
ออง ซาน ซูจีปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าข้างทั้งชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่
http://prachatai.com/journal/2012/11/43480
ดีเอสไอเผยนายกฯเตรียมดึงยูเอ็นช่วยโรฮิงญา
http://www.dailynews.co.th/crime/178693
UNHCR เรียกร้องอย่าส่งโรฮิงญากลับ ปท.ต้นทาง
http://news.voicetv.co.th/thailand/60615.html
ASEAN Weekly: วิกฤตในรัฐอาระกัน สู่ประเด็นระหว่างประเทศ
http://prachatai.com/journal/2012/09/42570
ศูนย์มนุษยชนเพื่อพี่น้องโรฮิงญา
https://www.facebook.com/RHCThailand?fref=ts
สารคดี "โรฮิงญาที่ฉันรู้จัก"
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=39SNpboZXAQ
แหล่งอ้างอิงประชากรโรฮิงญา
http://en.wikipedia.org/wiki/Rohingya_people
http://www.csss-isla.com/arch-July-1-15-2012.htm
http://www.saudigazette.com.sa/index.cfm?method=home.regcon&contentid=20120723130781