กรมการจัดหางาน เปิดรับชายไทยไปฝึกงานประเทศญี่ปุ่น ปี 2555 ครั้งที่ 1 ผ่านองค์กร IM
นางสาวปัทมพร ผุดเพชรแก้ว จัดหางานจังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจในการดำเนินการจัดส่งผู้ฝึกงาน ไปฝึกงานในสถานประกอบการของญี่ปุ่นปี 2555 เป็นครั้งที่ 1 ในตำแหน่งคนงานทั่วไป กำหนดระยะเวลาฝึกสูง 3 ปี (36 เดือน) ซึ่งผู้สมัครจะต้องคุณสมบัติ ดังนี้ 1. เพศชาย อายุ 20 – 30 ปี สำเร็จการศึกษาระดับชั้น ม.6 , ปวช. หรือ ปวส. สาขาเครื่องกล (ช่างยนต์) สาขาเครื่องกลและซ่อมบำรุง (ช่างกลโรงงาน) สาขาวิชาโลหะการ (ช่างเชื่อม) สาขาวิชาไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และสาขาวิชาการก่อสร้าง ยกเว้น สาขาสถาปัตยกรรม สาขาเคหะภัณฑ์ ช่างโยธา และสำรวจ) 2. มีความสูงไม่ต่ำกว่า 160 ซม. 3. พ้นภาระทางทหาร 4. ไม่เคยเป็นผู้ไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นมาก่อน หรือไม่เคยเป็นผู้ถูกตัดสิทธิออกจากการฝึกอบรมก่อนเดินทางไปฝึกงานในประเทศ ญี่ปุ่น 5. ไม่มีรอยสักหรือความผิดปกติทางร่างกาย 6. มีสายตาปกติ และตาไม่บอดสี
ทั้งนี้ ผู้ฝึกงานที่ผ่านการสอบจะต้องไปฝึกกับสถานประกอบการที่ทาง IM จัดให้เท่านั้น ในเดือนแรกจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 80,000 เยน (ประมาณ 32,000 บาท) เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 12 หรือ เดือนที่ 36 ผู้ฝึกงานเทคนิคจะอยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานของประเทศญี่ปุ่น โดยจะต้องรับผิดชอบค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ และค่าประกันสังคม รวมทั้งค่าภาษีตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับผู้ที่สำเร็จการฝึกงานครบตามหลักสูตร 1 ปี จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 200,000 เยน (ประมาณ 80,000 บาท) ผู้ที่สำเร็จการฝึกงานครบตามหลักสูตร 3 ปี จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการฝึกงาน และเงินสนับสนุนการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 600,000 เยน (ประมาณ 240,000 บาท)
ผู้สนใจสามารถสมัครด้วยตนเองได้ที่ ฝ่ายพิจารณาการไปทำงานตามระบบ IM ประเทศญี่ปุ่น สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ อาคารสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 ชั้น 10 กระทรวงแรงงาน สำนักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ในระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2555 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดราชบุรี เลขที่ 1/56-57 ถนนสมบูรณ์กุล ซอย 3 ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี โทร. 0-3232-2261-2 ต่อ 113-114 ในวันและเวลาราชการ
(29-1-2555, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์)
รง.สิ่งทอทยอยย้ายฐาน หนีค่าแรงไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน 60 รายไปพม่า-ลาว-เขมร-เวียดนาม
นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น อาทิ อุตสาหกรรมรองเท้า, สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มกว่า 60 บริษัท ได้ย้ายฐานการ ลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า เวียดนาม ลาว และกัมพูชา เร็วขึ้น หลังไทยมีนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน ค่าแรงต่ำกว่ามากราว 4-8 เท่าตัว
ทั้งนี้ จากการสอบถามพบว่า ค่าจ้างแรงงานในไทยเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 290 เหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าจ้างแรงงาน ในพม่าอยู่ที่ 33.4 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ต่ำกว่าไทย 8.6 เท่า กัมพูชาอยู่ที่ 66 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ต่ำกว่าไทย 4.75 เท่า เวียดนามอยู่ที่ 55-60 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ต่ำกว่าไทย 4.8 เท่า และลาวอยู่ที่ 81 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ต่ำกว่าไทย 3.53 เท่า
"ภาครัฐควรจะให้การส่งเสริมให้ไทยมีการเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน มากขึ้น แทนที่จะมองเพียงการย้ายฐานการลงทุนเป็นเรื่องที่ไม่ดี เพราะการย้ายฐานลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาแหล่งทรัพยากรและค่าแรงที่ ถูกกว่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนทุกคนมองไว้อยู่แล้ว เพียงแต่พอมีเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เข้ามาเป็นตัวกระตุ้นให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นเท่านั้น" นายธนิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานทุกส่วน โดยมีตัวเลข การว่างงานเพียงแค่ 0.7% เท่านั้น ส่วนที่พื้นที่เกษตรกรรมและทรัพยากรของไทยก็ลดน้อยลง ขณะที่ประเทศ เพื่อนบ้านอย่างพม่าที่เพิ่งเปิดประเทศก็มีตลาดที่ใหญ่ รวมทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษ ทางภาษีศุลกากร (จีพีเอส) และยังไม่ถูกกีดกันทางการค้า ซึ่งจะช่วยเป็น แต้มต่อในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมไทย เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีที่โตจากการลงทุนในต่างประเทศ
ขณะที่ นายวัลลภ วิตนากร กรรมการ และที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรม เครื่องนุ่งห่มไทย ในฐานะประธาน เจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไฮ-เทค กรุ๊ป กล่าวว่า จากสัญญาณที่สหรัฐ และยุโรปส่งสัญญาณจะยกเลิกการเข้าไปแทรกแซงประเทศพม่า ทำให้นักลงทุนมีความสนใจจะเข้าไปลงทุนในประเทศพม่ามากขึ้น เพราะประเมินว่าหลังจากนี้ระบบสาธารณูปโภคของพม่าจะได้รับการพัฒนาในทิศทาง ที่ดีขึ้น รวมทั้งพม่ายังมีการให้สิทธิประโยชน์เพื่อ จูงใจนักลงทุนโดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้นทุนด้านค่าจ้างงานค่อนข้างต่ำที่ 2,000-2,500 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าไทย 3-4 เท่า ล้วนดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปลงทุนมากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ที่ผ่านมานักลงทุนไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรม สิ่งทอเครื่องนุ่งห่มระดับ 1 ใน 10 หรือท็อปเทน ได้ออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นทั้งลาว กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย เช่น ลิเบอร์ตี้กรุ๊ป, ทองไทยกรุ๊ป, ฮงเส็งกรุ๊ป และไนซ์กรุ๊ป โดยในส่วนของไฮ-เทคกรุ๊ป ก็มีการเข้าไปลงทุนในประเทศลาว เวียดนาม และล่าสุดมีความสนใจที่จะลงทุนในพม่าด้วย
(29-1-2555, แนวหน้า)
กพร.เร่งจัดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานรองรับเปิดประชาคมอาเซียน
เชียงราย 31 ม.ค.-นายประพันธ์ มนทการติวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัปดาห์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ณ ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเชียงรายว่า การเปิดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาและ กำลังแรงงานที่ต้องการเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เห็นความสำคัญของมาตรฐานฝีมือแรง งาน รวมถึงเป็นการเตรียมพร้อมการเปิดประชาคมอาเซียนที่จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงาน เสรีในปี 2558 โดยสาขาที่มีการทดสอบในวันนี้มีทั้งหมด 13 สาขา อาทิ ช่างซ่อมรถยนต์ ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ พนักงานทำความสะอาดห้องพัก และพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งทั้งหมดอยู่ใน 22 สาขาอาชีพ ที่ได้มีการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2554 โดยล่าสุด กพร.กำลังประสานกับสำนักเศรษฐกิจการแรงงาน เร่งจัดทำอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือฯ ฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ให้แล้วเสร็จทันประกาศใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ ขณะเดียวกันจะกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฯ ให้ครบ 120 สาขาภายในปีนี้ ขณะนี้กำลังจัดทำใน 48 สาขา คาดว่าใน 3 เดือนนี้จะแล้วเสร็จ ก่อนจัดทำอีก 50 สาขาใน 3 เดือนต่อไป
(สำนักข่าวไทย, 31-1-2555)
แรงงานนวนครร้องกระทรวง ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
31 ม.ค. 54 - กลุ่มผู้ใช้แรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร กว่า 300 คน ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทเอ็นอีซีโทคินประเทศไทย จำกัด ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเดินทางมาจาก จังหวัดปทุมธานี เพื่อมาปักหลักชุมนุมเรียกร้องให้นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ช่วยแก้ปัญหาของพนักงานของบริษัทที่ถูกนายจ้างละเมิดสิทธิแรงงาน โดยบริษัทฯ ได้ปลดคนงานออก โดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย นายจ้างลดสวัสดิการ ไม่มีการจ่ายโบนัสประจำปี รวมทั้งมีการย้ายฐานการผลิตไปยังอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งไม่มีการแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้า และรับพนักงานกลับเข้าทำงานเพียง 200 คน ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลดินแดง คอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด
(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 1-2-2555)
แรงงานเฮ! ครม.เคาะค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เม.ย.
31 ม.ค. 55 - น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยการปรับเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบตามเป้า หมายของรัฐบาล คือ ปริญญาตรี 15,000 บาท โดยปรับขึ้นโครงสร้างเงินเดือนจาก 9,690 บาท เป็น 11,680 บาทต่อเดือน รวมเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวอีก 3,320 บาทต่อเดือน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555
ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวใช้งบประมาณ ปี 2555 เพิ่มขึ้น 5.6 พันล้านบาท เพื่อดำเนินการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยให้ครอบคลุม กลุ่มเป้าหมายที่รับราชการในตำแหน่งระดับแรกบรรุจแล้วอย่างน้อย 10 ปี ก่อนวันที่อัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามวุฒิใหม่
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาเรื่องการปรับเงินเดือนข้าราชการและพนักงานราชการ 15,000 บาท โดยได้เชิญนายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เข้าชี้แจง ซึ่ง ครม.ต้องการให้มีการสื่อสารในแนวทางเดียวกัน คือ ข้าราชการ พนักงานข้าราชการ วุฒิปริญญาตรี ได้รับรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ที่ผ่านมา ส่วนการปรับในส่วนอื่นจะเข้าที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า
รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ประเด็นนี้ในที่ประชุมได้ใช้เวลาในการหารือเป็นเวลานานมาก เนื่องจากทุกคนต้องการความเสมอภาคกัน ซึ่งเลขาธิการ ก.พ.อธิบายว่า การปรับฐานเงินเดือนจะส่งผลกระทบกับทุกฝ่าย แต่ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลนี้คิดนโยบายนี้เพื่อให้เกิดความแตกแยกในองค์กร ข้าราชการ แต่รัฐบาลออกนโยบายนี้เพื่อยกระดับค่าครองชีพ เพราะคนที่มีเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท จะดำเนินชีวิตประจำวันได้ยาก ส่วนกรณีคนที่มีรายได้ 18,000 บาทต่อเดือน ก็จะมีการปรับ แต่เปอร์เซ็นต์อาจจะไม่เท่ากัน
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เลขาธิการ ก.พ.ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง และได้เสนอสูตรการปรับฐานเงินเดือนมา 3 สูตร ประกอบด้วย สูตรที่หนึ่งใช้ระยะเวลา 1 ปี สูตรที่สองใช้ระยะเวลา 2 ปี และสูตรที่สามใช้ระยะเวลา 3 ปี ซึ่งกระทรวงการคลัง ใช้สูตรที่สอง แต่ได้ให้ ก.พ.ไปปรึกษาร่วมกับกระทรวงการคลังใหม่ เพราะเห็นว่า 2 ปีอาจจะไม่ทัน และจะมีการเพิ่มภาระงบประมาณ จึงอาจจะมีการขยายเพิ่มเป็น 3 ปี ซึ่งจะมีการนำเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้งในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ค้านเรื่องการปรับฐานเงินเดือน ว่า หากการปรับฐานเงินเดือนให้กับผู้ที่มีวุฒิ ปวช.และวุฒิ ปวส.ไม่เยอะ จะเท่ากับว่าส่งเสริมให้คนไม่เรียน ปวช.และ ปวส.เรียนแต่ปริญญาตรี จะทำให้เราขาดโอกาสในการเพิ่มสายอาชีพ
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในส่วนการค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทของพนักงาน ลูกจ้างเอกชนนั้น เราเตรียมการจะปรับขึ้นตั้งแต่ 1 ม.ค.55 แต่เนื่องจากเงินเป็นคนละก้อนกัน เนื่องจากเงินที่ปรับให้กับข้าราชการนั้นเป็นเงินของรัฐ แต่เงินที่จะปรับให้กับลูกจ้างนั้นเป็นเงินของผู้ประกอบการ ซึ่งทางผู้ประกอบการก็ขอความเห็นใจมาที่กระทรวงแรงงาน ว่า ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ยังขึ้นให้ไม่ได้ เนื่องจากประสบภาวะวิกฤตอุทกภัยน้ำท่วม ซึ่งจะขอเลื่อนให้มีผลในวันที่ 1 เม.ย.55
ด้าน นายนนทิกร กล่าวว่า การปรับโครงสร้างเงินเดือนในปีถัดไป ที่ประชุม ครม.ให้ไปหารือกับสำนักงบประมาณในการปรับโครงสร้างเงินเดือนจาก 11,680 บาท เป็น 15,000 บาทต่อเดือน โดยเบื้องต้น ครม.เห็นว่ามีระยะห่างก้าวกระโดดเกินไป จึงใช้วิธีทยอยปรับภายใน 2 ปี คือ ปี 2556 ปริญญาตรีปรับขึ้นเป็น 13,000 บาทและปี 2557 ปรับขึ้นเป็น 15,000 บาท จากนั้นจะไม่มีเงินส่วนเพิ่มที่เป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวอีกต่อไป ทั้งหมดจะอยู่ในบัญชีเงินเดือน
ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบการปรับค่าตอบแทนพนักงานราชการเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ให้ ครอบคลุมพนักงานสัญญาจ้างภาครัฐที่มีสัญญาจ้าง 4 ปีต่อครั้ง ประมาณแสนกว่าคน โดยที่ประชุม ครม.อนุมัติตามที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) เสนอขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติ่ม 1,395 ล้านบาท ปี 2555 รวมเป็นงบประมาณ 4,837 ล้านบาท สำหรับอัตราแรกบรรจุใหม่ปริญญาตรีได้รับ 14,020 บาทต่อเดือน ปริญญาโท 18,360 บาทต่อเดือน และปริญญาเอก 22,800 บาทต่อเดือน
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 31-1-2555)
ยื่นขยายเวลาป้องกันเลิกจ้างงาน
รัฐมนตรีแรงงานสั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งประสานสำนักงบ ประมาณขอขยายเวลาช่วยจ่ายเงินเดือน 2,000 บาท ป้องกันการเลิกจ้างงานในพื้นที่น้ำท่วม เพราะมีโรงงานอีกหลายแห่งยังฟื้นฟูไม่เสร็จ ด้านประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยแนะเอาไปจ่ายให้คนที่ถูกเลิกจ้างไป แล้วดีกว่า เพราะไม่มีรายได้
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องจากโครงการบรรเทาการเลิกจ้างที่รัฐบาลช่วยนายจ้างจ่ายเงินเดือนเดือน ละ 2,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ให้กับสถานประกอบการที่ถูกน้ำท่วมจะครบกำหนดดำเนินโครงการในวันที่ 31 ม.ค. นี้ แต่ยังมีงบประมาณเหลืออยู่อีก 158 ล้านบาท จึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทำเรื่องขอความเห็นชอบจากสำนัก งบประมาณดำเนินโครงการต่อ เพราะหลายโรงงานยังฟื้นฟูไม่เสร็จ ซึ่งเงินในส่วนที่เหลือนี้จะช่วยแรงงานไม่ให้ถูกเลิกจ้างได้ 24,000 คน
ด้านนายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เสนอว่า ควรนำงบประมาณที่เหลือไปช่วยแรงงานที่ถูกเลิกจ้างไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะหลายคนยังหางานใหม่ไม่ได้ ไม่มีรายได้เลี้ยงครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยเหลือที่ตรงกับความเดือดร้อนมากกว่า
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดมีแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมถูกเลิกจ้าง 28,195 คน จากสถานประกอบการ 99 แห่งใน 7 จังหวัดคือ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สระบุรี นครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพฯ ส่วนสถานประกอบการที่ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้มี 350 แห่ง ลูกจ้างยังไม่ได้กลับเข้าทำงาน 167,541 คน สถานประกอบการที่เปิดดำเนินการมี 28,317 แห่ง ลูกจ้างกลับเข้าทำงานแล้ว 822,444 คน รวมทั้งสถานประกอบการใน 13 จังหวัดที่ร่วมโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้างมี 1,610 แห่ง ครอบคลุมลูกจ้าง 278,310 คน
(โลกวันนี้, 1-2-2555)
4 องค์กรภาคเอกชนจว.ระนองรวมตัวยื่นขอชะลอขยับค่าแรงใหม่
นางนฤมล ขรภูมิ ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผย "ผู้สื่อข่าว" ว่า หลังจากที่ภาคเอกชนประกอบด้วยหอการค้าจังหวัดระนอง,สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ระนอง,สมาคมผู้ประกอบการประมงระนอง,สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ระนอง กว่า 100 คนได้ร่วมจัดเสาวนาหัวข้อ "คิดอย่างไรกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน" เพื่อหาข้อสรุปและระดมความคิดเห็นเนื่องจากก่อนหน้าภาคเอกชนและผู้ประกอบการ ในพื้นที่ต่างวิตกและกังวลต่อปัญหาการที่จะต้องขบับอัตราค่าแรงขั้นต่ำใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ว่าจะขยับเพิ่ม 40% ในวันที่ 1 เม.ย. 2555 นี้ และ ปรับเพิ่มเป็น 300 บาท ในวันที่ 1 ม.ค. 2556 ซึ่งพบว่าจากวิกฤติปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิด การชะลอตัว ดังนั้นหากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเปรียบเสมือนการซ้ำเติมสถานการณ์ให้ ย่ำแย่ไปอีก เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันของตลาดการค้าทั่วโลกเป็นไปอย่างรุนแรง นอกจากประเทศไทยยังประสบปัญหาภายในประเทศโดยเฉพาะกรณีพิบัติภัยที่เกิดขึ้น แม้ว่า จ.ระนองจะไม่มีพิบัตภัยร้ายแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากโครงสร้างทางการผลิต การตลาดที่เชื่อมโยงกัน ดังนั้นแม้ว่าในช่วงปลายปีจะมีการประชุมคณะ
กรรมการไตรภาคีระดับจังหวัดในการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และได้สรุปไปแล้วในส่วนของ จ.ระนองที่กำหนดจะขยับเพดานค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 40% จากเดิมในวันที่ 1 เม.ย. ที่จากหลายปัจจัย และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทางผู้ประกอบการมองว่าไม่มีความเหมาะสม และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหากจะปรับค่าแรงเพิ่ม 40% ในวันที่ 1 เม.ย. นี้
โดยทาง 4 องค์การภาคเอกชนเห็นสอดคล้องตรงกันว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมในวันที่ 1 เม.ย. นี้น่าจะปรับเพิ่มเพียง 20% หรือ 222 บาท ในส่วนของ จ.ระนอง ส่วนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท น่าจะเลื่อนจาก 1 ม.ค.2556 เป็นวันที่ 1 ม.ค. 2558 โดยทางตนและ 4 องค์กรภาคเอกชนจ.ระนองจะนำรายชื่อและข้อเสนอนำเรียนต่อนายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.ระนอง เพื่อที่จะได้ประชุม กรอ.และสรุปไปยังรับบาลต่อไป นอกจากนี้จะให้ภาคเอกชนแต่ละองค์กรนำข้อเรียกร้องดังกล่าวส่งไปยังต้นสังกัด ทั้งหอการค้าแห่งประเทศไทย,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,สมาพันธ์ธุรกิจท่อง เที่ยวภาคใต้,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมประมงแห่งประเทศไทยเพื่อสะท้อนข้อเรียกร้อง และปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่เพื่อที่จะได้ร่วมแก้ไขและหาทางออกต่อไป
นายกฤษณะ เอี่ยมวงศ์นที ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระนอง กล่าวว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมในเขตพื้นที่ จ.ระนองในปัจจุบันควรอยู่ที่ 220-230 บาท หากสูงกว่านั้นผู้ประกอบการคงจะไม่สามารถรับแบกภาระที่เพิ่มขึ้นได้ เพราะการปรับเพดานค่าจ้างแท้จริงไม่ใช่ว่าการปรับค่าจ้างในองค์กรใดองค์กร หนึ่งแล้วทุกอย่างจะจบ แต่จะเกี่ยวเนื่องไปยังทุกภาคส่วน วัตถุดิบ,แพคเกจจิ้ง,ค่าการขนส่ง ซึ่งทั้งหมดจะต้องมีการขยับราคาตามค่าจ้างใหม่ ซึ่งทุกอย่างจะกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ดังนั้นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอีก 40% ของอัตราค่าจ้างเดิม ที่รัฐบาลประกาศในวันที่ 1 เม.ย. 2555 นี้ ผู้ประกอบการ และภาคเอกชนในเขตพื้นที่ จ.ระนองต่างมีข้อสรุปตรงกันว่าไม่พร้อม เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาสินค้าสูง จำเป็นต้องให้เวลาผู้ประกอบการในการปรับตัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการเพื่อการส่งออก ศักยภาพในการแข่งขันสูง มีการนำเทคโนโลยีการผลิตแทนการใช้แรงงาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกจ้างปรับตัวเพื่อลดปัญหาการว่างงาน ส่วนการเคลื่อนย้ายแรงงานคาดจะมีปริมาณสูงขึ้น ซึ่งต้องมองตามหลักความจริง ดังนั้นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น
(เนชั่นทันข่าว, 2-2-2555)
พนง.คุรุสภาประท้วงสวัสดิการ
พ.ต.อ.พรชัย ขจรกลิ่น ผกก.สน.โชคชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นลูกจ้างและพนักงานขององค์การค้าของคุรุสภา รวมตัวกันประมาณ 100 คน รวมตัวกันหน้าร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ สาขาถนนลาดพร้าว โดยเรียกร้องให้ทางผู้บริหาร ทบทวนในเรื่องสวัสดิการ และเงินบำเหน็จของลูกจ้างและพนักงานใหม่อีกครั้ง ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่บนทางเท้า ไม่ได้กีดขวางการจราจรแต่อย่างใด โดยทาง สน.โชคชัย ได้ส่งกำลังตำรวจไปดูแลความเรียบร้อยประมาณ 30 นาย
(ไอเอ็นเอ็น, 2-2-2555)
แรงงานบุกกระทรวงฯ ร้องเรียนรายวัน หลังนายจ้างทยอยเลิกจ้าง
ก.แรงงาน 2 ก.พ.- นายจ้างทยอยเลิกจ้างแรงงานหลังน้ำลด บางรายนายจ้างไม่ให้คำตอบจะเลิกจ้างหรือไม่ เผยวันเดียวบุกร้องเรียนที่กระทรวงแรงงาน มากถึง 9 บริษัท ผู้นำแรงงานยอมรับนายจ้างฉวยโอกาสซื้อเวลาบีบลูกจ้างลาออกเอง
ที่กระทรวงแรงงานวันนี้ มีคนงานบริษัทอัลตัม พริซิชั่น จำกัด กว่า 200 คน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตและประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค จ.พระนครศรีอยุธยา ปีนรั้วเข้ามาในกระทรวงแรงงาน เรียกร้องให้เร่งหาทางช่วยเหลือ หลังบริษัทประสบปัญหาน้ำท่วมจนเปลี่ยนผู้บริหารใหม่และเลิกจ้างพนักงาน โดยได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนงาน บริษัทเอ็นอีซีโทคิน ประเทศไทย จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรม
นวนคร จ.ปทุมธานี กว่า 600 คน ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณใต้กระทรวงแรงงานตั้งแต่วานนี้ (1 ก.พ.)
น.ส.นิภาภร แก้วบริวงศ์ ตัวแทนคนงานบริษัทอัลตัม กล่าวต้องการให้บริษัทเลิกจ้างและจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย หลังน้ำลดในเดือนธันวาคม บริษัทได้เลิกจ้างพนักงานไปแล้ว 370 คน จากทั้งหมด 800 คน ต่อมาเดือนมกราคม มีการเปลี่ยนผู้บริหารและเลิกจ้างพนักงานบางส่วนเพิ่ม โดยไม่จ่ายเงินชดเชย อ้างว่าเงินหมดจึงมาร้องขอความช่วยเหลือ
ด้าน น.ส.ดวงใจ ศรีชัยภูมิ คนงาน และกรรมการสหภาพแรงงานเอ็นอีซี กล่าวว่า จะปักหลักชุมนุมที่กระทรวงแรงงานต่อไป จนกว่านายจ้างจะยอมจ่ายเงินชดเชยตามข้อเรียกร้อง คือ เงินชดเชยตามกฎหมาย บวกกับ เงินพิเศษ 5,000 บาท ค่าเสียโอกาส และค่าไม่บอกกล่าวล่วงหน้า รวม 4 เดือน เพราะมองว่าบริษัท ไม่ได้ประกาศเลิกกิจการ แต่จะย้ายฐานการผลิตไปที่ จ.ฉะเชิงเทรา ประกอบกับปีนี้ บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินโบนัส 2 เดือน ทั้งที่มีการกำหนดล่วงหน้าว่าจะจ่าย เพราะมีผลประกอบการดีมาตลอด แต่สุดท้ายกลับประกาศเลิกจ้างคนงาน มากถึง 2,900 คน จากทั้งหมด 3,100 คน
นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ยอมรับว่า ขณะนี้มีหลายบริษัท ซื้อเวลาไม่ยอมเปิดกิจการ แต่ไม่เลิกจ้าง บีบให้คนงานลาออกไปหางานใหม่ ส่งผลให้คนงานได้รับเงินจากกองทุนว่างงาน จากประกันสังคมลดลง ขณะที่ตัวเลขการเลิกจ้างอย่างเป็นทางการที่ขณะนี้ยังไม่ถึง 30,000คน ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เชื่อว่าน่าจะมีถึงหลักแสนคน ตรวจสอบได้จากนิคมอุตสาหกรรม ทั้ง 5 แห่งที่ถูกน้ำท่วม ขณะนี้บรรยากาศยังคงเงียบเหงา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวัน กลุ่มคนงานบริษัทต่าง ๆ อีก 7 บริษัทที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา กว่า 100 คน ทยอยเดินทางมายื่นข้อเรียกร้องกับเจ้าหน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรง งาน อาทิ บริษัท ชีดี คาร์ตอน พัลล์ ผลิตกล่องลูกฟูก บริษัท เซไดคาเซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท นิเด็ค อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท อิงเกรส ออโตเวนเจอร์ จำกัด ด้วยสาเหตุลักษณะเดียวกันคือ นายจ้างไม่มีความชัดเจนเรื่องการจ้างงานหลังน้ำลด โดยเจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องและจะเร่งรัดดำเนินการหาทางช่วยเหลือต่อไป.
(สำนักข่าวไทย, 2-2-2555)
คนงานจากอยุธยา 202 คน พอใจการเจรจากับเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์ พร้อมชุมนุมด้วยความสงบ
3 ธ.ค. 55 - หลังช่วงเที่ยงลูกจ้าง บริษัท อัลตัม พรีซิซั่น (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้พยายามบุกขึ้นชั้น 2 ของกระทรวงแรงงาน เพื่อเร่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ เจรจากับนายจ้างให้ยกเลิกสัญญาจ้างงาน โดยได้มีการส่งตัวแทนเข้าพูดคุยกับเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มี นายสุวิทย์ สุมาลา ผู้อำนวยการสำนักแรงงานสัมพันธ์ ร่วมเจรจา และกล่าวว่า ลูกจ้างทั้ง 202 คน ของบริษัทนี้ต้องการความชัดเจนว่านายจ้างจะเลิกจ้างตามข้อเรียกร้องหรือไม่ ซึ่งการเจรจาก็จบลงด้วยดี เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เจรจากับนายจ้างอยู่ที่ศาลากลางจังหวัด โดยคาดว่าวันนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้ทอดทิ้งลูกจ้างทั้ง 202 คนตามที่แรงงานกล่าวอ้าง ส่วนสาเหตุที่การดำเนินการอาจไม่รวดเร็วทันใจผู้ใช้แรงงานจนเกิดการกดดัน เกิดขึ้น เนื่องจากการเจรจากับนายจ้างต้องให้ชัดเจนทั้งหมด ไม่ใช่แก้ทีละประเด็น เพราะการเลิกจ้าง นายจ้างจะต้องยอมจ่ายสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้กับผู้ใช้แรงงานด้วย รวมแล้วสิ่งที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับคนงานมูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สิทธิ์หลังการเลิกจ้างที่ลูกจ้างต้องได้รับ คือ ค่าชดเชย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เงินเดือนค้างจ่าย ค่าโอที ค่าอาหาร ค่ากะ และค่าตกใจที่ต้องมีการเจรจา ซึ่งผลการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่และตัวแทนคนงานก็เป็นที่พอใจและคนงานยอม ชุมนุมอย่างสงบ เพื่อรอผลการเจรจากับนายจ้างที่ชัดเจน
(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 3-2-2555)
ยอดแรงงานน้ำท่วมถูกเลิกจ้างพุ่งกว่า 3.3 หมื่นคน
นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากข้อมูลของ กสร.มีแรงงานที่ประสบภัยน้ำท่วมถูกเลิกจ้าง 33,723 คน ในสถานประกอบการ 106 แห่งแยกเป็นจ.พระนครศรีอยุธยามีสถานประกอบการเลิกจ้าง 63 แห่งลูกจ้าง 19,812 คน ปทุมธานีเลิกจ้าง 28 แห่ง 13,235 คน ฉะเชิงเทรา เลิกจ้าง 2 แห่ง ลูกจ้าง 509 คน สระบุรีเลิกจ้าง 1 แห่ง ลูกจ้าง 31 คนนครปฐมเลิกจ้าง 1 แห่ง ลูกจ้าง 68 คน นนทบุรีเลิกจ้าง 9 แห่ง ลูกจ้าง 35 คนและกรุงเทพฯเลิกจ้าง 2 แห่ง ลูกจ้าง 33 คน ทั้งนี้ ยอดแรงงานถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 5,528 คน
ทั้งนี้ สถานประกอบการที่ยังไม่สามารถเปิดกิจการได้ 347 แห่ง ลูกจ้างยังไม่ได้กลับเข้าทำงาน 166,395 คน ส่วนสถานประกอบการเปิดกิจการแล้ว 28,318 แห่ง ลูกจ้างได้กลับเข้าทำงานแล้ว 822,484 คน โดยยอดสถานประกอบการเปิดกิจการได้และลูกจ้างกลับทำงานแล้วเพิ่มขึ้นจาก สัปดาห์ที่ผ่านมา 1 แห่ง ลูกจ้าง 40 คน ส่วนสถานประกอบการใน 13 จังหวัดที่ร่วมโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้างมี 1,644 แห่ง ลูกจ้าง 307,334 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนในการส่งลูกจ้าง ที่ประสบภัยน้ำท่วมไปทำงานที่อื่นชั่วคราวและถาวร มี 695 แห่งใน 49 จังหวัด จำนวนที่ต้องการรับ 80,131 คน ขณะที่มีลูกจ้างที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเข้าร่วมโครงการ 13,251 คน ในสถานประกอบการ 110 แห่ง
นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) กล่าวว่า ภายหลังจากวิกฤตน้ำท่วมผ่านพ้นไป ขณะนี้สถานประกอบการกำลังฟื้นฟู แต่สถานประกอบในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดต่างๆเช่น พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจ้างงานต่อไปหรือเลิกจ้าง รวมทั้งไม่มีความชัดเจนเรื่องการจ่ายเงินชดเชยเลิกจ้าง ทำให้แรงงานรู้สึกอึดอัดและกังวลใจเพราะไม่แน่ใจในสถานภาพของตนเอง จึงเริ่มมีการรวมกลุ่มกันมาชุมนุมที่กระทรวงแรงงานเพื่อขอให้กระทรวงแรงงาน ช่วยเจรจากับสถานประกอบการเพื่อขอความชัดเจนในเรื่องการเลิกจ้างและการจ่าย เงินชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541
"ผมเชื่อว่าปัญหาข้างต้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงอยากให้กระทรวงแรงงานทำงานแบบเชิงรุกและแก้ปัญหาโดยภาพรวมไม่ใช่ทำงานแบบ ตั้งรับช่วยแก้ปัญหาเป็นรายกรณีตามที่แรงงานเข้ามาร้องเรียนโดยเชิญสถาน ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆที่ประสบภัยน้ำท่วมเข้ามาพูดคุยไล่ไปทีละ นิคมอุตสาหกรรมเพื่อจะได้รู้ว่ามีสถานประกอบการใดบ้างที่จะจ้างงานแรงงานต่อ ไป สถานประกอบการใดที่จะเลิกจ้างและจะเลิกจ้างจำนวนเท่าใด เพื่อที่กระทรวงแรงงานช่วยเหลือแรงงานได้รวดเร็วเช่น การช่วยประสานนายจ้างจ่ายเงินชดเชยเลิกจ้าง การหางานใหม่ให้ทำรวมทั้งให้ความรู้เรื่องกฎหมายคุ้มครองแรงงานแก่สถาน ประกอบการด้วย" นายชาลี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กระทรวงแรงงาน พนักงานบริษัท อัลตัม พรีซิซั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า(ไฮเทค) จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 100 คนยังคงปักหลักชุมนุมใต้อาคารกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) หลังจากที่ได้มาชุมนุมกันตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อขอความช่วยเหลือจากกสร.ให้เจรจากับนายจ้างเพื่อให้บริษัทเลิกจ้าง พนักงานที่เหลือ 212 คนทั้งหมดและจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้เปลี่ยนผู้บริหารใหม่และประกาศเลิกจ้างพนักงาน ไป ประมาณ 600 คนจากทั้งหมด 800 คน ทำให้พนักงานที่เหลืออยู่ 212 คน รู้สึกไม่มีความมั่นคงในการทำงาน
ต่อมาเวลา 11.40 น. กลุ่มพนักงานอัลตัมฯประมาณ 60 คนได้รวมตัวกันบริเวณบันไดทางขึ้นชั้น 2 ของอาคารกสร. พยายามบุกขึ้นไป บริเวณชั้น 2 เพื่อเร่งให้เจ้าหน้าที่แรงงงานสัมพันธ์ของกสร.เจรจากับผู้บริหารบริษัทอัล ตัมฯผ่านทางโทรศัพท์ แต่เจ้าหน้าที่รปภ.ได้นำแผงเหล็กล็อกด้วยกุณแจมือทั้งสองด้านมากั้นไว้ทำให้ กลุ่มพนักงานอัลตัมไม่สามารถขึ้นไปได้สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มพนักงานอัล ตัมและเห็นว่ากสร.ไม่ให้การดูแล
จากนั้นเวลา 12.00 น. นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรมว.แรงงานได้มาเจรจากับกลุ่มพนักงานบริษัทอัลตัมฯโดยให้ส่งตัวแทน ไปหารือ ทำให้กลุ่มพนักงานยอมกลับลงมาชุมนุมด้านล่างอาคารกสร.ตามเดิม
ต่อมาเวลา 15.40 น. นายสุวิทย์ สุมาลา ผอ.สำนักแรงงานสัมพันธ์สังกัดกสร.และเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์ได้แจ้งผลการ หารือระหว่างเจ้าหน้าที่แรงงานสัมพันธ์จ.พระนครศรีอยุธยากับผู้บริหารบริษัท อัลตัมฯแก่ตัวแทนพนักงานบริษัทอัลตัมว่า บริษัทอัลตัมฯยอมเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด 212 คน ซึ่งรวมกับที่ถูกนายจ้างส่งตัวไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียด้วย โดยนายจ้างจะจ่ายเงินชดเชยและเงินสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ลูกจ้างควรจะได้รับ ทั้งหมด ในวันที่ 13 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ จะมีการติดรายชื่อและรายละเอียดการจ่ายเงินชดเชยและเงินสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ได้รับทราบในวันที่ 6 ก.พ.นี้ ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยลูกจ้างจะ ได้รับเมื่อถูกเลิกจ้างได้แก่ ค่าชดเชยตามอายุงาน ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าตกใจ ค่าวันหยุดพักผ่อนที่เหลือ ค่าจ้างค้างจ่าย เบี้ยขยัน และค่าใช้จ่ายอื่นๆตามสิทธิ์ของลูกจ้างแต่ละคน รวมแล้วเป็นเงินกว่า 12 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่เจ้าหน้าที่สำนักแรงงานสัมพันธ์แจ้งให้แก่ตัวแทนแรงงานบริษัท อัลตัมได้รับทราบถึงผลการเจรจากับนายจ้างตัวแทนคนงานต่างดีใจและแสดงความขอบ คุณเจ้าหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือ ก่อนนำข่าวดีไปแจ้งให้เพื่อนแรงงานที่รออยู่บริเวณใต้ตึกกระทรวงแรงงานได้ ทราบ ซึ่งทุกคนต่างส่งเสียงแสดงความดีใจและกล่าวขอบคุณที่ร่วมกันต่อสู้จนได้ชัย ชนะก่อนนัดหมายแยกย้ายกลับไป
ขณะเดียวกันกลุ่มพนักงานอัลตัมฯประมาณ 14 คนซึ่งอยู่ในกลุ่มพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง 600 คนได้เดินทางมาที่กระทรวงแรงงานเพื่อเขียนใบคำร้องคร.7 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจแรงงานออกคำสั่งให้บริษัทจ่ายเงินสวัสดิการต่างๆที่ ยังค้างอยู่ เช่น ค่าโอที ค่าเบี้ยขยัน ค่ากะ ค่าอาหาร
นายศรัญญู ทองดี วัย 24 ปี อดีตพนักงานตรวจสอบคุณภาพ(คิวเอ)บริษัทอัลตัมฯที่ถูกเลิกจ้างซึ่งมายื่นคำ ร้องคร.7 กล่าวว่า ตนทำงานที่บริษัทอัลตัมฯมา 5 ปีได้เงินเดือน 6,860 บาท หากรวมรายได้อื่นๆเช่น ค่าโอทิ เบี้ยขยัน จะมีรายได้เดือนละ 1.5 หมื่นบาท ต่อมาเดือนม.ค.2555 ได้ถูกเลิกจ้างโดยบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยเลิกจ้างและเงินสิทธิประโยชน์ ต่างๆเช่น ค่าโอที เบี้ยขยัน รวมกว่า 6.8 หมื่นบาท
ซึ่งขณะนี้ได้รับเงินชดเชยเลิกจ้างแล้ว 63,600 บาท ยังเหลือเงินสิทธิประโยชน์อื่นๆที่บริษัทยังค้างจ่ายเช่น ค่าโอที ค่าเบี้ยขยัน ค่ากะ ค่าอาหารในช่วงเดือนธ.ค.2554-ม.ค.2555 รวมเป็นเงินประมาณ 6,000 บาท จึงได้มาเขียนใบคร.7 เพื่อให้กระทรวงแรงงานออกคำสั่งให้บริษัทจ่ายเงินสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ยัง ค้างจ่ายอยู่
(แนวหน้า, 3-2-2555)
สภาอุตสาหกรรมไทยยันไม่ฟ้องศาลปกครองระงับขึ้นค่าแรง 300 บาท แต่รัฐควรมีมาตรการช่วยเอสเอ็มอีที่ดีก่อน
วันนี้ (4 ก.พ.55) นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่สภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภคเตรียม ยื่นฟ้องศาลปกครองให้ระงับมติคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) ว่า ส.อ.ท.ไม่มีนโยบายฟ้องศาลปกครองในนามขององค์กรเพื่อให้ไตรภาคีระงับการปรับ เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทนำร่อง 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และภูเก็ต ในวันที่ 1 เม.ย. 2555 ส่วนจังหวัดที่เหลือปรับขึ้นเฉลี่ย 40% แต่หากสมาชิกของส.อ.ท. รายใดต้องการร่วมฟ้องศาลก็เป็นสิทธิของแต่ละบริษัท ซึ่งไม่สามารถไปห้ามได้
อย่างไรก็ตาม นายพยุงศักดิ์ ยอมรับว่าการปรับขึ้นค่าจ้างแบบก้าวกระโดดในอัตราเฉลี่ยที่ 40% จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) อย่างมาก ดังนั้นหากรัฐบาลยืนยันปรับขึ้นค่าแรงในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ควรมีมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเพื่อลดภาระต้นทุน เช่น การลดภาษี หรือการลดค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ นายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากๆ ออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเริ่มจากกัมพูชา ซึ่งส.อ.ท.จะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 5 ก.พ. เพื่อไปเปิดศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา และจะจัดตั้งสภาธุรกิจกัมพูชา-ไทย ที่ตอนนี้ มีผู้ประกอบการในกลุ่มรองเท้า เสื้อผ้า จำนวนมากไปซื้อที่ดินที่เมืองศรีโสภณไว้แล้ว
(TNN, 4-2-2555)