แรงงาน เป็นพลังส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ไม่ว่าแรงงานในท้องนาท้องไร่ แรงงานในทะเลมหาสมุทร หรือแรงงานในโรงงานก็ตาม
แรงงาน ไม่ว่า อยู่หนใด แรงงาน ล้วนสร้างสรรค์โลกใบนี้ ทุกห้วงประวัติศาสตร์การผลิตของมนุษยชาติ
โลกทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ปัจจุบัน แรงงานไหลลื่นไปเช่นเดียวกับกระแสทุนที่ไร้พรมแดน
แต่แรงงาน มักถูกมองให้คุณค่าเป็นเพียงปัจจัยการผลิต เป็นเพียงสินค้าชิ้นหนึ่ง แรงงานยังถูกกระทำให้เป็นเพียงหุ่นยนต์ไร้อารมณ์ความรู้สึก ของกระบวนการผลิตระบบทุนนิยม
แรงงานจึงหาต่างจากเครื่องจักรแต่อย่างใด
ทั้งๆที่ แรงงาน เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับนายทุน แต่แรงงานมักประสบชะตากรรมมีชีวิตอย่างอัตคัตขัดสน ไร้สวัสดิการ หลักประกันพื้นฐานของชีวิต ต้องทำงานอย่างซ้ำซากจำเจมากกว่า 8 ชั่วโมง และมักได้รับค่าจ้างเพียงมีชีวิตเพื่ออยู่รอดไปวันๆ
ชีวิตผู้ใช้แรงงาน จึงไม่ได้รับความยุติธรรมและอยู่อย่างมีศักดิ์ความเป็นมนุษย์
……………………
ปรากฏการณ์ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยืนยันนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม 2556 ตามที่หาเสียงไว้ เนื่องเพราะต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน
ยกระดับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ มีความก้าวหน้าขึ้น
ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกลุ่มนายทุนบางส่วน องค์กรนายจ้างบางองค์กร พร้อมๆกับสื่อมวลชนบางสำนัก นักวิชาการบางคน และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหาได้มีจุดยืนเพื่อผุ้ใช้แรงงาน หรือทำนองค้านทุกเรื่องต่อนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ว่านโยบายนั้นมีผลประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ก็ตาม
หากมองเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของไทยยังนับว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ รวมถึงภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังได้รับค่าแรงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศแถบยุโรป อเมริกา ปัจจุบันนโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้มีเฉพาะประเทศไทย อย่างประเทศอินโดนีเซียก็ขึ้นค่าแรงไปแล้ว 44 เปอร์เซ็นต์ มาเลเซียก็มีนโยบายขึ้นค่าแรงเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยที่ผ่านมานั้นอยู่ในเกณท์ต่ำมาโดยตลอด
หากมีคำถามว่า เมื่อมีนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว ทำไมสังคมไทยมักจะตื่นตระหนกไปด้วย ทั้งที่จริงๆแล้วค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาโดยตลอด แล้วทำไมถึงขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้
มีงานวิจัยที่ชี้ว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผลน้อยมากทางด้านเศรษฐกิจ แต่กลับมีผลดีกับเศรษฐกิจอีกด้วย เช่น อินโดนีเซียที่ได้ขึ้นค่าแรงไปแล้ว ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ แต่กลับเพิ่มการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น จะเห็นว่าเมื่อคนงานได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้น การบริโภคภายในประเทศก็ดีขึ้น ซึ่งประเทศจีนก็พยายามทำแบบนี้เหมือนกัน แต่สื่อมักจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคมขึ้นมาว่า เมื่อขึ้นค่าแรงแล้ว จะเป็นผลทำให้ของแพง บริษัทจะขาดทุนตามมา แม้ว่าจะมีผลวิจัยออกมาตรงข้ามกันก็ตาม
ไม่นานมานี้ นายแล ดิลกวิทยรัตน์ ศาสตราภิชาน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ ไว้ว่า หากพิจารณาด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ข้อมูลว่า ทำให้ต้นทุนเพิ่มเพียงร้อยละ 9 เท่านั้น ซึ่งเป็นต้นทุนในภาพรวมเพียงร้อยละ 10 ไม่ใช่ต้นทุนทั้งหมด เพราะต้นทุนส่วนใหญ่อีกร้อยละ 90 มาจากต้นทุนด้านสาธารณูปโภค ต้นทุนโลจิสติกส์ และการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะไม่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง แต่กลับจะเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการไทยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับระบบบริหารจัดการ รวมถึงเทคโนโลยีในการประกอบการให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว ทำให้ศักยภาพการแข่งขันสูงขึ้น จากที่ผู้ประกอบการไทยละเลยที่จะปรับปรุงกันมานาน เห็นได้จากประเทศที่มีค่าจ้างสูงกว่าไทย ก็ไม่ได้มีศักยภาพในการแข่งขันต่ำกว่าไทย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลี และญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม นายแล ยอมรับว่า การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะทำให้บางอุตสาหกรรมที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เฉพาะรายที่ไม่มีศักยภาพในการแข่งขันต้องปิดตัวลงจริง เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ด้วยว่าผู้ประกอบการรายนั้น ๆ สมควรจะอยู่ในธุรกิจในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ต่อไปหรือไม่ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะประกอบธุรกิจได้ เนื่องจากผู้ที่อยู่ได้บางรายสั่งสมประสบการณ์มานานแล้ว ส่วนการย้ายฐานการผลิตออกไปประเทศเพื่อนบ้านนั้น เชื่อว่าเป็นเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มล้าสมัยกำลังจะตายไปในที่สุด และการย้ายออกไป แม้จะย้ายหนีต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้้นได้ก็จริง แต่กลับต้องไปเผชิญกับต้นทุนด้านสาธารณูปโภค กฎหมายแรงงานที่เข้มงวด
นายแล กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปต่อเนื่องไปในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงของความต้องการแรงงานมีมากกว่าแรงงานที่มีอยู่ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยหากต้องการขยายการลงทุนจำเป็นต้องอาศัยแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาช่วย เพราะขณะนี้อัตราการว่างงานของไทยต่ำมากต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราการว่างงาน เช่น อินโดนีเซียที่ว่างงานถึงร้อยละ 7.7 ส่วนกรณีที่มีการแห่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น เพราะมีความต้องการจากนายจ้างไทยมากกว่า
ส่วนผลของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อเงินเฟ้อยังต่ำ เห็นได้จากตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท มีส่วนเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อของประเทศเพียงร้อยละ 0.1 จากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับร้อยละ 3-4 ต่อปีเท่านั้น
ดังนั้น นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมมีด้านบวกเป็นหลัก และมีด้านผลกระทบอยู่บ้างด้วยเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องวางมาตราแก้ไขไว้ จึงมิใช่ต้องยกเลิกนโยบายนี้
ที่สำคัญ นโยบายนี้ หาได้เพียงเป็นเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานเพียงอย่างเดียว หากยังหมายถึงความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้แรงงานด้วยเช่นกัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai