3 ก.พ. 55 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าศาลพิเศษกัมพูชาซึ่งสนับสนุนโดยสหประชาชาติ ได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ของ "สหายดุค" หรือ คัง เก็ก เอียว อดีตผู้บัญชาการคุกตวลเสลงที่ก่อนหน้านี้ได้ขอลดโทษคำตัดสิน และได้เพิ่มบทลงโทษเป็นการจำคุกตลอดชีวิตสำหรับ "อาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดใน ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ"
ณ ศาลพิเศษกัมพูชาในกรุงพนมเปญ คัง เก็ก เอียว อดีตผู้บังคับบัญชาคุกตวลเสลง ซึ่งมีส่วนทำให้ประชาชนเขมรเสียชีวิตอย่างน้อย 15,000 คน ถูกตัดสินเพิ่มโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต หลังจากที่เขาขอยื่นอุทธรณ์ลดโทษเมื่อเดือนมีนาคมปี 2554 โดยอ้างว่า เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาการระดับสูงเท่านั้น
ภาพจากเว็บไซต์ Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia
ทั้งนี้ "สหายดุค" วัย 69 ปี ถูกตัดสินจำคุก 35 ปี และภายหลังลดโทษเหลือ 19 ปี ในเดือนกรกฎาคม 2553 ด้วยข้อหาอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้รอดชีวิตระบอบเขมรแดง และครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิตเนื่องจากมองว่าบทลงโทษเบาเกินไป ต่อมาอัยการแผ่นดินได้ยื่นอุทธรณ์ขอเพิ่มโทษ โดยชี้ว่าโทษ 19 ปีนั้นไม่สอดคล้องกับความรุนแรงของอาชญกรรม ในขณะที่ "สหายดุค" ได้ยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษคำตัดสิน
"ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาชญากรรมที่ก่อโดยคัง เก็ก เอียวเป็นสิ่งหนึ่งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ มันสมควรจะได้รับโทษสูงสุดเท่าที่จะทำได้" ผู้พิพากษคอง ซิมกล่าว
มีรายงานว่า ในระหว่างที่ผู้พิพากษาคำตัดสิน ดุคมิได้แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงแต่รับฟังอย่างสงบนิ่ง และยกมือไหว้ผู้พิพากษาหลังจากการดำเนินคดีสิ้นสุดลง
"เราสามารถพูดได้ว่า ความยุติธรรมได้มาถึงแล้วหลังจากผ่านไปกว่า 30 ปี" เชีย เลียง หนึ่งในอัยการกล่าว "สำหรับเราและเหยื่อ นี่เป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม"
ประชาชนชาวกัมพูชา โดยเฉพาะผู้รอดชีวิตจากระบอบเขมรแดงและครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต ต่างแสดงความยินดีต่อผลคำตัดสินที่ออกมา
ชุม เมย หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากคุกตวลเสลง กล่าวว่า คำตัดสินใจของศาลอุทธรณ์เป็นที่น่าพอใจมาก
"นี่เป็นการตัดสินที่ถูกต้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ มันนำความยุติธรรมกลับมาได้ 100 เปอร์เซ็นต์เลย" เขากล่าวกับสำนักข่าว VOA
การตัดสินคดีของดุค นับเป็นกรณีแรกที่การดำเนินคดีโดยศาลพิเศษกัมพูชาสิ้นสุดลง โดยศาลดังกล่าวตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2544 ด้วยการผลักดันของรัฐบาล เพื่อสืบสวนการกระทำผิดในกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในยุคเขมรแดงภายใต้ระบอบเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาระหว่างปี 2518-2522 ซึ่งประมาณการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตราว 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ
โดยในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มีผู้นำระบอบเขมรแดงอีกสามคน คือ นายนวน เจีย อดีตผู้นำอันดับสอง รองจากพล พต นายเขียว สัมพัน อดีตผู้นำหน้าฉาก และนายเอียง ซารี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ถูกนำตัวขึ้นศาลเป็นครั้งแรก และปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี