DSJ ได้นำเสนอรายงานความยาว 6 ตอนเพื่ออธิบายที่มาที่ไป ความคิดและการปฏิบัติการของขบวนการเอกราชปาตานี รวมถึงได้สะท้อนสิ่งที่ภาคส่วนอื่นๆ มองขบวนการ โดยมุ่งหวังว่าความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้จะนำไปสู่การวางนโยบายต่อการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมีทิศทาง มีเอกภาพและตรงประเด็นมากขึ้น
ในบทสรุป ทาง DSJ ทดลองประมวลข้อเสนอทางนโยบาย 6 เรื่องฝากให้ผู้กำหนดนโยบายได้พิจารณา
ประการแรก ความเห็นของหลายฝ่ายที่ DSJ ไปสัมภาษณ์มองตรงกันว่าเรื่องการพูดคุยกับขบวนการเอกราชปาตานีเป็นเรื่องสำคัญในการยุติความรุนแรง ที่ผ่านมา แม้จะมีความพยายามจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศในการเชื่อมประสานการพูดคุยระหว่างรัฐกับขบวนการ แต่ความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองไทยได้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การดำเนินการในเรื่องนี้ต้องสะดุดอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ทิศทางการดำเนินการในเรื่องนี้ก็ถูกเปลี่ยนไปด้วย
เอกภาพระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในการดำเนินการเรื่องการพูดคุยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ในขณะนี้ดูเหมือนจะมีพัฒนาการไปในทิศทางบวกมากขึ้น หลังจากที่สมช. ได้จัดทำ “นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555 – 2557” ตามพรบ. การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา วัตถุประสงค์หนึ่งในนโยบายนี้ระบุว่ารัฐมีหน้าที่ “สร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการพูดคุยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งและการให้หลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติภาพ” ซึ่งต่อมาทางกอ.รมน. และศอ.บต. ได้นำนโยบายนี้ไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายการทำงานในระดับปฏิบัติการ
ประการที่สอง การส่งเสริมในเรื่องการดำรงรักษาอัตลักษณ์และวิถีวัฒนธรรมของคนมลายูมุสลิมจะช่วยลดเงื่อนไขในการต่อสู้กับรัฐ และเป็นการลดความรู้สึกหวาดระแวงและเกลียดชังรัฐ สิ่งสำคัญอยู่ที่การปรับวิธีคิดของรัฐต่อเรื่องนี้ให้สามารถยอมรับได้ว่าการอนุญาตให้คนกลุ่มน้อยดำรงรักษาภาษา วัฒนธรรมและศาสนาของตนเองซึ่งแม้แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในชาติ ไม่ได้กระทบต่อความมั่นคงของชาติแต่อย่างใด รัฐสามารถดำเนินการผ่านโครงการที่เป็นรูปธรรม เช่น ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนภาษามลายูในโรงเรียนของรัฐ การอนุญาตให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาทำงานในพื้นที่
ประการที่สาม ทุกฝ่ายควรจะร่วมกันสร้างพื้นที่การถกเถียงทางการเมืองอย่างสันติวิธีให้เป็นเวทีการต่อรองทางอำนาจที่มีความหมาย หากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับพื้นที่นี้ก็จะส่งผลให้ความชอบธรรมของการต่อสู้ด้วยอาวุธลดลง พื้นที่นี้ควรเปิดกว้างให้มีการอภิปรายถกเถียงได้ในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งเรื่องเอกราช ตราบใดที่ยังคงเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธี
ประการที่สี่ รัฐควรจะให้ผู้นำศาสนาในปอเนาะและสถาบันศาสนาในท้องถิ่นเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ ควรเปิดให้มีการพูดคุยในประเด็นที่อึดอัดคับข้องใจของชาวมลายูมุสลิม รวมถึงให้มีการถกเถียงถึงการตีความหลักการศาสนาอิสลามในประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ประการที่ห้า รัฐควรจะให้น้ำหนักในเรื่องการปฏิรูปการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งระบบ ทั้งภาครัฐและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามมากขึ้น โดยมุ่งทำให้การเรียนการสอนมีมาตรฐานและทำให้เกิดสมดุลระหว่างการศึกษาวิชาสามัญและศาสนาซึ่งเป็นความต้องการของชาวมลายูมุสลิมในพื้นที่ กระทรวงศึกษาธิการควรมีบทบาทนำอย่างจริงจังในเรื่องนี้ โดยอาจจะให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อยกร่างโมเดลการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในกระบวนการนี้ควรจะพยายามให้ผู้นำและประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมให้มากที่สุด และไม่ควรเป็นนโยบายที่ถูกกำหนดมาจากข้าราชการจากส่วนกลาง
ประการที่หก รัฐควรจะส่งเสริมการการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ข้อมูลในการทำรายงานพิเศษชุดนี้ชี้ให้เห็นว่าคนที่เข้าร่วมขบวนการจำนวนหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐและคนต่างศาสนาน้อย ความไม่รู้จักทำให้เกิดความหวาดระแวง กระทั่งความเกลียดชัง สายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนต่างศาสนาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในชายแดนภาคใต้
สุดท้าย DSJ อยากจะฝากคำถามบางประการไปยังขบวนการเอกราชปาตานี เราอยากจะเห็นขบวนการทบทวนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการต่อสู้ เราตั้งคำถามว่าข้อเรียกร้องเรื่องเอกราชจะเป็นประโยชน์มากน้อยเพียงใดต่อคนปาตานีในบริบทโลกยุคโลกาภิวัตน์และขบวนการจะเดินไปสู่เป้าหมายทางการเมืองนั้นด้วยวิถีทางใด การเลือกใช้วิถีความรุนแรงในการต่อสู้ ที่แม้จะมีความพยายามเลือกและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสูญเสียในความขัดแย้งนี้จำนวนมาก การใช้ยุทธวิธีทางการทหารเช่นนี้ต่อไป จะเป็นการลดความชอบธรรมในสายตาของผู้ที่เห็นด้วยหรือเห็นอกเห็นใจต่อเป้าหมายทางการเมืองของขบวนการหรือไม่ การเดินหน้าด้วยการทหาร โดยไม่ปรากฏถึงความก้าวหน้าในทางการเมืองอย่างชัดเจนและท่ามกลางความสูญเสียที่ไม่จบสิ้น ทำให้เกิดคำถามว่าในที่สุดขบวนการต้องการจะสร้างสังคมประเภทใดในพื้นที่ที่เคยเป็นอาณาจักรปาตานีแห่งนี้ การพูดคุยกับรัฐไทยน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาทางออกของความขัดแย้งนี้ร่วมกัน
หมายเหตุ รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช เป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group ปัจจุบัน เธอกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทด้านทฤษฎีการจัดการความขัดแย้งที่ King’s College London และเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ การจัดทำรายงานพิเศษเรื่อง “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี” ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
อ่านย้อนหลังรายงานพิเศษชุด “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี”
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai