การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมและการรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนานั้นเรียกได้ว่าเป็นประเด็นในหัวใจของชาวมลายูมุสลิมเกือบทุกคนที่ใส่ใจในความเป็นไปของสังคมการเมืองในชายแดนภาคใต้ บางคนมีจุดร่วมกับขบวนการเอกราชปาตานีในเรื่องเหล่านี้แต่ไม่เห็นด้วยกับการจับอาวุธขึ้นต่อสู้ และพวกเขาได้เลือกที่จะเคลื่อนไหวในระบบและบนหนทางสันติวิธี คนเหล่านี้อยู่ในภาคส่วนที่เรียกกันว่าภาคประชาสังคมซึ่งได้เติบโตขึ้นอย่างมากภายหลังความรุนแรงปะทุขึ้นในปี 2547
DSJ สนทนากับนักเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคมซึ่งทำงานในประเด็นที่หลากหลาย เพื่อให้พวกเขาสะท้อนการทำงานในบริบทที่อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐกับขบวนการและสะท้อนถึงขบวนการจากมุมที่พวกเขายืนอยู่
.jpg)
นักต่อสู้เรื่องสิทธิ & ประชาธิปไตย
นักเคลื่อนไหวหนุ่มที่ทำงานรณรงค์เรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้กล่าวว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาภาคประชาสังคมได้ลงไปทำงานในหมู่บ้านมากขึ้น ซึ่งในแง่หนึ่งก็แสดงว่าขบวนการ “เห็นชอบ” หรือไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกเขา เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่ขบวนการซึ่งเขาเชื่อว่า “เข้มแข็งมาก” จะไม่รู้เห็น
“เขา [ขบวนการ] จะทำอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้” เขากล่าว
นักเคลื่อนไหวผู้นี้สะท้อนว่าแม้ขบวนการจะไม่ได้โจมตีการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมโดยตรงแต่ก็มีการตั้งคำถามในทำนองว่าพวกเขาไป “จับมือ” หรือ “ปรองดอง” กับรัฐซึ่งขบวนการมองว่าเป็นศัตรูหรือไม่ เขาเล่าว่าในวงพูดคุยในระดับหมู่บ้านมีการพูดเปรียบเปรยว่าทำไมเคลื่อนไหวแล้วไม่โดนจับและไม่ได้ถูกปราบปรามจากฝ่ายรัฐ แล้วจะเป็นนักต่อสู้ที่แท้จริงได้อย่างไร
ชายหนุ่มผู้นี้ซึ่งเคยเป็นอดีตแกนนำนักศึกษามาก่อนกล่าวว่าขบวนการไม่เชื่อในการต่อสู้ด้วยสันติวิธีเพราะคิดว่าจะต้องสู้ด้วยหนทางปฏิวัติเท่านั้น ถ้าหากว่าไม่มีกองกำลังก็ไม่สามารถที่จะต่อกรหรือมีอำนาจต่อรองกับรัฐไทยได้
เขามองว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการนั้นใช้ความรู้สึกมากกว่าความรู้ในการปลุกให้คนลุกขึ้นสู้ และสิ่งที่ขบวนการยังคงตอบไม่ได้คือ “จะชนะได้อย่างไร”
เขามองว่าขบวนการนั้น “คลอดออกมาเป็นการทหาร” และยังคงมีกองกำลังที่เข้มแข็งมาก ในขณะที่ฝ่ายการเมืองนั้นมีพัฒนาการตามมาทีหลัง ซึ่งฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจและอิทธิพลอยู่สูง
“ในบางมัสยิดที่มวลชนเข้มแข็ง มีการยืนถือปืนในการกล่าวคุตบะห์ วันศุกร์ [การบรรยายทางศาสนาหลังการละหมาดใหญ่วันศุกร์]” เขาระบุ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทนำของฝ่ายกองกำลัง
นักเคลื่อนไหวผู้นี้อธิบายว่ากรอบคิดในการต่อสู้ของเขานั้นแตกต่างจากขบวนการ
“ขบวนการคุมสภาพมวลชนด้วยคำอธิบายทางศาสนา ใช้ความเชื่อในการขับเคลื่อน เมื่อขบวนการเป็นนักรบทางศาสนา หากว่าเขา [ชาวมลายูมุสลิม] ไม่สนับสนุนก็จะบาป” เขาอธิบาย
แต่ว่าในบทบาทของนักเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคม เขาคิดว่ามุสลิมไม่จำเป็นต้องสู้ด้วยวิถีทางเดียว คนที่มาจากเบ้าหลอมจากการศึกษาในตะวันออกกลางจะเน้นหนักในเรื่องศาสนา แต่ว่าถ้าเป็นคนมลายูมุสลิมที่ไปศึกษาต่อในที่อื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย กรุงเทพฯ ก็อาจจะต่อสู้บนฐานคิดอื่นๆ เช่น หลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ สิทธิในการจัดการตนเอง (Right to Self-Determination)
เขาเห็นว่าการใช้สันติวิธีในการต่อสู้นั้นไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน การสู้ด้วยสันติวิธีนั้นต้องสามารถที่จะนำไปสู่เป้าหมายในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมด้วย
“เราต้องยืนยันว่าเราทำงานให้กับประชาชนและทำให้เกิดพื้นที่ทางการเมือง” เขากล่าว และระบุว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องอธิบายกับขบวนการซึ่งพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับพวกเขาได้ตลอดเวลา
นักขับเคลื่อนเรื่องกระจายอำนาจ
นักเคลื่อนไหวอีกคนหนึ่งเป็นผู้ที่ขับเคลื่อนเรื่องการกระจายอำนาจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ยอมรับว่าการรณรงค์ของพวกเขาก็ถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยจากฝ่ายขบวนการบางส่วนเช่นกัน
เขาระบุว่ามีการกล่าวหาว่าพวกเขานั้นเป็น “opportunists” (พวกฉวยโอกาส) และมีการวิจารณ์ว่าการขับเคลื่อนเรื่องกระจายอำนาจนี้เป็นเทคนิคของพวกซีแย (สยาม) ที่จะขัดขวางการต่อสู้เพื่อเอกราชของปาตานี
นักรณรงค์เรื่องกระจายอำนาจผู้นี้บอกว่าการโต้เถียงกันนั้นเกิดขึ้น การวิพากษ์วิจารณ์ก็มีความเข้มข้นซึ่งบางส่วนก็ปรากฏให้เห็นในโลกออนไลน์ แต่ว่าไม่ได้มีการข่มขู่ทำร้าย เขาเล่าว่ามีบุคคลนิรนามโทรศัพท์มาถึงเขาเพื่ออธิบายว่าการกระจายอำนาจนั้นไม่สอดคล้องกับหลักฟิกซ์(กฎหมายอิสลาม) อย่างไร
เขาอธิบายว่าข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างการเคลื่อนไหวของเขากับขบวนการคือ การขับเคลื่อนของเขานั้นมีฐานมาจากความคิดประชาธิปไตยซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์เป็นผู้กำหนด ในขณะที่การต่อสู้ของขบวนการนั้นมาจากฐานคิดทางศาสนาซึ่งมาจากพระเจ้า
เขาเห็นด้วยกับทัศนะของขบวนการว่าปาตานีเป็นดินแดนที่ถูกสยามรุกรานและแผ่นดินแถบนี้เป็น ดารุลฮัรบีและขบวนการ “มีสิทธิที่จะต่อสู้” ซึ่งรวมถึงการต่อสู้ด้วยอาวุธด้วย แต่เขาก็วิจารณ์ว่าขบวนการมีลักษณะที่เป็น “fanatic” (สุดโต่ง) เขาไม่เห็นด้วยกับการโจมตีคนไทยพุทธที่ไม่เกี่ยวข้องในการต่อสู้ ซึ่งบางทัศนะจากคนในขบวนการสะท้อนว่าคนไทยพุทธถูกนิยามว่าเป็นกาฟิรฮัรบี [ผู้ปฏิเสธอิสลามที่อยู่ในดินแดนแห่งสงคราม] จึงมีความชอบธรรมที่จะโจมตีได้
เขาตั้งคำถามเรื่องเป้าหมายในการมุ่งไปสู่เอกราชของขบวนการด้วยเช่นกัน ประเด็นแรก เขาวิพากษ์ว่าขบวนการจะขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้อย่างไร ยังไม่มีความชัดเจน และสอง เป้าหมายดังกล่าวนี้มีความสอดคล้องกับบริบททางการเมืองในโลกยุคปัจจุบันที่ความสำคัญของรัฐชาติกำลังลดน้อยถอยลงหรือไม่ และประการสุดท้าย หากได้เอกราช ดินแดนแถบนี้จะมีการปกครองอย่างไร ใครจะขึ้นมามีอำนาจและจะมีความเป็นธรรมในการปกครองหรือไม่
“คนที่อยากได้ merdeka ก็อยากจะได้อำนาจเพื่อจัดการสังคมตามอุดมคติของตัวเอง ... แต่ถ้ามลายูปกครองแล้วกดขี่กันเอง เราก็ไม่ยอม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เรากังวล” เขากล่าว
เขาคิดว่าการเคลื่อนไหวในเรื่องกระจายอำนาจนั้นเป็นการต่อสู้ในระบบที่ผ่านช่องทางซึ่งรัฐธรรมนูญไทยนั้นเปิดโอกาสให้ ซึ่งหากว่าการขับเคลื่อนมีพลวัตรมากขึ้น ก็จะเป็นสิ่งที่ “ตอบโจทย์” ในสิ่งที่ขบวนการเรียกร้องได้ด้วยเช่นกัน
เสียงจากผู้หญิงที่เป็นเหยื่อความรุนแรง
ในท่ามกลางห่ากระสุน มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย ถูกจับ ถูกคุมขัง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งด้วยอาวุธนี้ก็ตาม นางโซรยา จามจุรี หัวหน้าโครงการผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพและความมั่นคงในชายแดนใต้และนักวิชาการสำนักส่งเสริมการศึกษาต่อเนื่อง
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เริ่มทำงานกับกลุ่มผู้หญิงเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้มาตั้งแต่ปี 2547 เธอสะท้อนการทำงานของกลุ่มผู้หญิงว่า
“ที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยได้รับ feedback [เสียงสะท้อน] ในด้านที่เป็นลบจากทั้งสองฝ่าย [รัฐและขบวนการ] ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจและรับได้กับงานที่ผู้หญิงทำ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนที่สื่อสารเรื่องนี้เป็นเหยื่อโดยตรงที่เป็นผู้ถูกกระทำ ... ถ้าเป็นเหยื่อ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจและเข้าอกเข้าใจ แม้ว่าจะไปกระทบกระทั่งเขาด้วย มันก็จะมีความรู้สึกตรงนี้ต่อเหยื่อ มันจะต่างจากคนที่ไม่ได้รับผลกระทบเป็นคนขับเคลื่อนหรือสื่อสารเรื่องนี้” โซรยากล่าว
เธออธิบายว่ากลุ่มผู้หญิงภาคประชาสังคมต้องการที่จะสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนกลางๆ จริงๆ ที่ไม่ได้มีผลประโยชน์แอบแฝงในการเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง ในกลุ่มก็มีทั้งพุทธและมุสลิม ซึ่งพวกเขาต้องการที่จะสื่อสารให้เห็นว่าความรุนแรงนั้นกระทบกับทุกฝ่าย
งานของเธอมีสองส่วนหลักๆ คือ งานด้านเยียวยากับการส่งเสริมให้ผู้หญิงสื่อสารและแสดงความคิด งานด้านเยียวยานั้นเป็นงานที่เธอคิดว่าทั้งฝ่ายรัฐและขบวนการเองยอมรับ เพราะเป็นงานด้านมนุษยธรรมที่เป็นบวกต่อทุกๆ ฝ่าย ส่วนงานส่งเสริมให้ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อของความรุนแรงสื่อสารและแสดงความคิดเห็นนั้น เป็นงานที่เธอเรียกว่าเป็น “การยกระดับ” การรณรงค์ ซึ่งเธอก็เคยได้รับคำเตือนว่างานในลักษณะนี้อาจจะไปกระทบกับฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่ได้
“มันเหมือนกับเราไปบอกเขา [ขบวนการ] ให้ยุติการใช้ความรุนแรงเพื่อที่จะยุติผลกระทบที่ผู้หญิงต้องแบกรับ ในอีกด้านเหมือนกับว่าเราก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แล้วก็ไปบอกให้เขายุติ ในขณะที่ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ของเขา มันก็เหมือนกับว่าให้เขาหยุดใช้เครื่องมืออันนั้น ซึ่งมองอีกด้านมันก็ไปกระทบกับขบวนการ” เธอกล่าว
แต่โซรยาบอกว่าการสื่อสารนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นการยกระดับการเยียวยาให้ไปสู่การสร้างสันติภาพ ซึ่งเธอไม่อาจที่จะทำแต่เฉพาะการเยียวยาเหยื่ออย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะมิฉะนั้นการเยียวยาก็จะไม่สิ้นสุด
“เราต้องพูด ไม่งั้นก็จะมี actor [ผู้เล่น] แค่สองฝ่าย ระหว่างคนที่ต้องการเอกราชและคนที่ให้เอกราชไม่ได้ แล้วเหยื่อไปไหน เราก็ต้องส่งสารไปให้เขาฉุกคิด” เธอกล่าว
เธอกล่าวว่าในช่วงวันสตรีสากลและวันสื่อทางเลือกชายแดนใต้ในเดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ทางกลุ่มผู้หญิงภาคประชาสังคมได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการ “จำกัดขอบเขตและเป้าหมายการใช้อาวุธ โดยไม่กระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือพลเรือน และยุติการก่อเหตุที่ใช้วัตถุระเบิดซึ่งนำไปสู่การสังหารและทำลายล้างชีวิตประชาชน โดยไม่เลือกเพศ เลือกวัย” ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นข้อเรียกร้องที่อาจจะเป็นจริงได้มากกว่าที่จะขอให้หยุดใช้ความรุนแรงโดยสิ้นเชิงในขณะนี้ เธอคิดว่าข้อเรียกร้องนี้จะทำให้ขบวนการมีความชอบธรรมมากขึ้นด้วย หากทำได้
การเป็นคนกลางที่ต้องทำงานช่วยเหลือชาวบ้านทำให้กลุ่มของเธอจะต้องประสานงานกับภาครัฐซึ่งการวางตัวในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
“มันก็เป็นศาสตร์และศิลป์ที่เราจะต้องวางตัวแค่ไหนอย่างไรกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ แม้ว่าเราจะต้องปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่เพื่อให้เราช่วยเหลือชาวบ้านได้ ในขณะเดียวกัน มันก็ต้องมีระยะห่างระหว่างเรากับเจ้าหน้าที่อยู่ ไม่ให้เราถูกเข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกับเจ้าหน้าที่ แต่ว่าเราไปหาเจ้าหน้าที่เพราะว่าเราต้องการช่วยเหลือประชาชน มันยากนะ มันไม่ใช่ง่ายเลย มันยาก อยู่อย่างไร โดยเฉพาะคนที่เป็นแกนนำชาวบ้าน” เธอกล่าว
ในประสบการณ์ทำงานของเธอ เธอเห็นปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างชาวบ้านกับรัฐมาก โดยเฉพาะชาวบ้านที่ใกล้ชิดหรือเป็นสมาชิกของขบวนการ
“เขาห่าง เขาไม่รู้จัก ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์มาก่อนในชีวิต ตอนมีปฏิสัมพันธ์ก็คือโดนจับ....เขาจะมองว่าตัวเอง ต้อยต่ำไร้ค่า เหมือนกับเป็นหมาจรจัด” เธอกล่าว และเน้นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างให้เกิดบทสนทนาระหว่างรัฐกับประชาชนให้มากๆ
นอกจากนี้ เธอยังพยายามที่จะสื่อสารผ่านรายงานวิทยุภาคภาษามลายูซึ่งเป็นโครงการใหม่หลังจากได้เริ่มทำรายการวิทยุภาคภาษาไทยไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยกลุ่มของเธอต้องการสื่อสารว่าในการต่อสู้นั้นมันมีทางออกที่จะสู้อย่างสันติวิธี โดยไม่ยอมจำนนอย่างไรบ้าง
นี่ก็เป็นเสียงสะท้อนจากมุมของภาคประชาสังคมที่มีความคิดร่วมบางอย่างกับขบวนการเอกราชปาตานี แต่ก็มีข้อแย้งและข้อวิพากษ์ต่อวิธิคิดและรูปแบบการต่อสู้ของขบวนการเช่นกัน
หมายเหตุ รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช เป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group ปัจจุบัน เธอกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทด้านทฤษฎีการจัดการความขัดแย้งที่ King’s College London และเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ การจัดทำรายงานพิเศษเรื่อง “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี” ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ติดตามอ่านตอนที่ 7 “ปัจฉิมบท : สันติภาพที่ปลายอุโมงค์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย ได้ในวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2555
อ่านย้อนหลังรายงานพิเศษชุด “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี”
ตอน 1 สายธารแห่งประวัติศาสตร์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai