ในโครงการวิจัยนี้ มุ่งศึกษาประเด็นด้านการบริหารจัดการน้ำในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง ผลการศึกษาจะเป็นการสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมยิ่งขึ้น
การศึกษานี้จะวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของสถาบันการบริหารจัดการน้ำและรูปแบบการใช้ประโยชน์ในที่ดินในปัจจุบัน จากนั้นจะนำเสนอการออกแบบสถาบันที่เติมเต็ม เพื่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำและรูปแบบการใช้ที่ดินที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
โดยมีกรอบการศึกษา 3 ด้านหลัก ดังนี้ 1) รูปแบบการใช้ที่ดิน การบริหารควบคุมสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ลุ่มที่ใช้รับน้ำนอง การปรับตัวทั้งในส่วนชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม 2) รูปแบบการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรที่รัฐกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำนอง วิเคราะห์การปรับตัวของเกษ๖รกรและชุมชนในบริเวณดังกล่าวเพื่อรับมือกับผลกระทบทั้งภาวะน้ำท่วมและภัยแล้ง เพราะน้ำคือเส้นทางชีวิตของข้าวและเกษตรกร 3) ออกแบบและให้ข้อเสนอเกี่ยวกับโครงสร้างสถาบันจัดการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม โครงการวิจัยนี้จะเลือกศึกษาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่เคยเป็นจุดน้ำท่วมวิกฤติและน้ำแล้ง โดยมีระยะเวลาศึกษา 3 ปี ได้รับทุนอุดหนุนจาก International Development Research Centre (IDRC)
ผลการศึกษาจะมีข้อเสนอเชิงนโยบายในการแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยเน้นเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างสถาบันการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการที่จะมีประสิทธิภาพและความเป็นธรรม และงานวิจัยจะส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้และความร่วมมือด้านน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ รัฐ ประชาชน และภาคธุรกิจ ตลอดจนสื่อมวลชน.
ในการแถลงข่าวยังมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมอภิปรายให้มุมมองภาพอนาคตระบบจัดการน้ำประเทศไทย โดย ดร.อาณัติ อาภาภิรม กล่าวถึงการบริหารจัดการหลังจากเกิดน้ำท่วมจะจัดองคาพยพอย่างไร ด้าน ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการระบบข้อมูลจัดการน้ำหรือระบบเตือนภัยที่ประชาชนเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดย
ดร.อาณัติ อาภาภิรม กล่าวว่า การจัดองคาพยพหลังจากเกิดน้ำท่วมนั้นทำได้ยากเนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่ก็ต้องพยายามจัดองคาพยพให้ได้ โดยจะต้องมีการจัดการ 3 ขั้นตอน คือ ก่อนเกิดน้ำท่วม ระหว่างน้ำท่วม และหลังจากน้ำท่วม ซึ่งต้องการการจัดองคาพยพอย่างรอบคอบ ละเอียดและมีความยุติธรรม และถ้าเป็นไปได้ในการจ้ดการน้ำควรลดเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องให้น้อยลงจะทำให้การจัดองคาพยพเกิดประสิทธิภาพดีขึ้น แต่หากจัดองคาพยพแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง จำเป็นที่คนที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องคุยกันเพื่อหาข้อยุติบนเป้าหมายตรงกันบนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม งานวิจัยนี้จะช่วยเป็นศูนย์กลางที่จะเชื่อมแผนแม่บทของรัฐบาลเพื่อนำไปสู่การจัดการน้ำที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและสังคมอย่างแท้จริง
ดร.รอยล จิตรดอน กล่าวว่า การจัดการระบบข้อมูลจัดการน้ำหรือระบบเตือนภัยที่ประชาชนเข้าใจและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ต้องทำ 2 ส่วนคือ การบริหารพื้นที่ทั้งในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน และมีองค์กร/ระบบกติกาที่ชัดเจน จะทำให้มีข้อมูลที่สามารถไปสู่ข้อสรุปที่นำไปใช้ในการตัดสินใจทางนโยบายได้ และที่สำคัญข้อมูลที่มาจากกระบวนการทางวิชาการจะมีความน่าเชื่อถือช่วยลดความขัดแย้งและสามารถไปสื่อสารสร้างความเข้าใจกับสื่อมวลชนซึ่งจะช่วยไปขยายความให้ประชาชนเข้าใจได้ดีกว่าการสื่อสารถึงประชาชนโดยตรงซึ่งในโลกยุคนี้ยังทำได้ยาก ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเรามีสถาบันบริหารจัดการน้ำที่ดีดังที่โครงการวิจัยนี้กำลังทำ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai