Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

แลกเปลี่ยนกับสมภาร พรมทา “ความขัดแย้งทางการเมืองที่ลึกกว่าความเห็นต่าง”

$
0
0

 

ผมฟังอาจารย์สมภาร พรมทา พูดเรื่อง “ชีวิตกับการเมือง” ในรายการ "สุขทุกข์ของชีวิต" ดำเนินรายการโดย "ท่านจันทร์" แห่งสันติอโศกทาง http://www.youtube.com/watch?v=LaGOvSjkpNIเนื้อหาเป็นการวิเคราะห์ความขัดแย้งทางการเมือง การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่มีชาวสันติอโศกเข้าร่วมชุมนุมด้วยในวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน มีบางประเด็นที่ผมอยากแลกเปลี่ยนด้วย คือ

1) อาจารย์สมภารเปรียบเทียบว่า “ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติของสังคมประชาธิปไตย (อันนี้ผมเห็นด้วย) เช่นในสหรัฐอเมริกาเขาก็มีความเห็นต่างแบ่งเป็นสองขั้วหลักๆ แต่เขาก็ไม่มีปัญหาแบบบ้านเรา ความเห็นต่างนั้นไม่ลดทอนความสุขเหมือนบ้านเรา”

ผมคิดว่าข้อเปรียบเทียบนี้มีปัญหาให้วิจารณ์ได้มาก เพราะความเห็นต่างในอเมริกาเป็นความเห็นต่างภายใต้ระบบสังคมการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ความเห็นต่างในบ้านเราเป็นความเห็นต่างภายใต้ระบบสังคมการเมืองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย มันจึงเป็นความเห็นต่างระหว่างฝ่ายที่พยายามคงไว้ซึ่งระบบสังคมการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย (และแสดงออกว่าต้องการเพิ่มความเข้มข้นของระบบนี้) กับฝ่ายที่พยายามต่อสู้เพื่อปรับเปลี่ยนระบบให้เป็นประชาธิปไตยตามเจตนารมณ์ 2475

การเปรียบเทียบแบบอาจารย์สมภาร (ซึ่งมีการเปรียบทำนองนี้มาก จากคนที่ยืนยันว่าตนเองไม่เลือกข้าง) มันเป็นการสร้าง “มายาคติ” (เข้าใจว่าอาจารย์ไม่เจตนา) ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองของบ้านเรากว่า 5-6 ปีมันเป็นแค่เรื่อง “ความเห็นต่างระหว่างสี” ซึ่งอาจทำให้เกิดมุมมองเบี่ยงเบนจากข้อเท็จจริงสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ (1) โครงสร้างหรือระบบอันเป็นสาเหตุของปัญหาขัดแย้ง (2) เกิดมุมมองอย่างผิดพลาดว่า กลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นเพียงพวกไม่ยอมรับฟังความเห็นต่าง แค่เห็นต่างกันก็ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่รู้จบ ทำให้ละเลยที่จะพิจารณาว่าคนเหล่านั้นต่อสู้ด้วยอุดมการณ์อะไร และ (3) เมื่อมองไม่เห็น หรือไม่ยอมมองว่าคนเหล่านั้นออกมาต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ ก็ละเลยที่จะนำอุดมการณ์ของพวกเขามาวิเคราะห์อย่างชัดแจ้งว่าจะส่งผลต่อสังคมอย่างไร เช่น ระหว่างการเชิดชูอุดมการณ์กษัตริย์นิยมกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างไหนคือทางเลือกที่ควรจะเป็นมากกว่า เป็นต้น

2) อาจารย์สมภารอ้างถึงหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งที่พูดถึงประชาธิปไตยในอเมริกาว่า “ในที่สุดแล้วประชาธิปไตยก็นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ หรือช่องว่างทางเศรษฐกิจอย่างน่าตระหนก อาจารย์บอกว่านั่นคือ necessary evil หรือความชั่วร้ายที่จำเป็น/หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประชาธิปไตย” ผมคิดว่าปัญหานี้ควรอภิปรายในรายละเอียดกันมากพอสมควร

แต่ผมขอพูดสั้นๆ ตรงนี้ว่า ผมรู้จักอาจารย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งเขาก็มองเห็นปัญหานี้ในประเทศของเขา เขาต้องการเห็นระบบสวัสดิการที่ก้าวหน้ามากขึ้น แต่ปัญหาที่เขาพบคือพวกนายทุนใหญ่ๆ ต่างบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ฉะนั้น พรรคการเมืองจึงไม่ยอมออกกฎหมายที่กระทบต่อนายทุน เช่นการเก็บภาษีพิเศษมาสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคมเหมือนในยุโรปหลายประเทศเป็นต้น (อีกอย่างมันถูกมองว่าขัดต่อหลักเสรีนิยมที่สังคมเขายึดถือกันอยู่ด้วย) แต่เขา (อาจารย์คนนั้น) ก็ยังเชื่อว่าโดยระบบประชาธิปไตยของอเมริกาที่เปิดให้ประชาชนมีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบทุกอำนาจได้ มันจะทำให้สังคมเขาตรวจสอบตัวเอง และด้วยกระบวนการประชาธิปไตยมันจะค่อยๆ แก้ปัญหาของตัวมันเองไปเรื่อยๆ

สำหรับช่องว่างทางเศรษฐกิจของบ้านเรา ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากความเป็นสังคมประชาธิปไตย (เพราะสังคมเรายังไม่เป็นประชาธิปไตย) เรารู้ว่าทุนที่เอาเปรียบนั้น ไม่ใช่เฉพาะทุนของฝ่ายนายทุน  หรือนักการเมืองเท่านั้น ยังมีทุนเครือข่ายอำมาตย์ที่ตรวจสอบไม่ได้อีกด้วย ปัญหามันจึงซับซ้อนกว่านั้นมาก (เช่น ปฏิรูปที่ดินเพื่อช่วยให้คนยากจนมีที่ทำกิน ทำไมทำไม่ได้? ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท นโยบายรับจำนำข้าวชาวนา ฯลฯ ทำไมถูกต่อต้าน ด้วยเหตุผลเรื่อง “ทุจริต” อย่างเดียวจริงๆ หรือ? เพราะเห็นนักเศรษฐศาสตร์จุฬาฯบอกเองว่า “จะเอาเงินชนชั้นกลางที่เสียภาษีไปช่วยชาวนาที่ไม่เสียภาษีได้อย่างไร” โดยลืมไปว่าทุกวันนี้ใครซื้อมาม่า 1 ซอง ก็จ่ายภาษีแล้ว เป็นต้น)

3) อาจารย์สมภารอ้างคำพูด พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ “เสธ.อ้าย” ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ที่ว่า "ผมไม่เคยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงิน ลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ลองอธิบายหน่อย…”(http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMU16SXhOVEl5Tmc9PQ%3D%3D)

แล้วบอกว่า “คำพูดของ เสธ.อ้าย เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครเถียงได้” แต่ผมเห็นว่าคำพูดของ เสธ.อ้ายนั้นเถียงได้และจำเป็นต้องเถียง เพราะ (1) จากข้ออ้างว่า “คนดีไม่มีเงินลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือก” แล้วสรุปว่า “ประชาธิปไตยไม่ดี” ย่อมไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าแม้จะปรากฏว่าการดำเนินการตามกระบวนการอย่างใดอย่างหนึ่งของประชาธิปไตยมีข้อบกพร่องอยู่จริง ก็ไม่ได้หมายความว่า “ระบบประชาธิปไตยไม่ดี” (2) ทัศนะแบบ เสธ.อ้าย ที่มองแค่ข้อเท็จจริงว่า เพราะการเลือกตั้งใช้เงินซื้อเสียง เข้ามาเป็นรัฐบาลทุจริตถอนทุนคืน แล้วก็สรุปว่านี่ “เท่ากับ” ความไม่เป็นประชาธิปไตย และเสนอว่า “ควรปิดประเทศใช้ระบบอื่นแทน”

ถามว่า “ทำไมทัศนะที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้จึงมีความชอบธรรมรองรับข้อเสนอปิดประเทศ และให้ใช้ระบบอื่นแทน?” เพราะเท่ากับเป็นข้อเสนอยกเลิกระบอบประชาธิปไตย (จะชั่วคราวหรือถาวร ตามรัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว) นี่มันหมายความว่าอะไรที่ในประเทศนี้มีคนเสนอให้ “ยกเลิกระบอบประชาธิปไตย” ได้ แล้วระดมมวลชนมาสนับสนุนอย่างเปิดเผยได้ โดยที่เราแทบจะไม่รู้สึก “สะเทือนใจ” ขณะที่ถ้ามีใครเสนอให้ “ยกเลิกสถาบันบางสถาบัน” คนเสนอนั้นจะต้องไม่มีแผ่นดินอยู่

สังคมประชาธิปไตยอะไรกันครับ เสนอยกเลิกระบอบประชาธิปไตยได้ แต่เสนอให้ยกเลิกสถาบันบางสถาบันไม่ได้ แถมยังอ้างการปกป้องบางสถาบันออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองให้ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยได้อีกด้วย!

อย่างไรก็ตาม อาจารย์สมภารก็พูดในตอนท้ายว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ปิดประเทศของ เสธ.อ้าย และเห็นว่าควรยอมรับระบอบประชาธิปไตยที่เชื่อมั่นในความมีเหตุผลของประชาชน ให้ประชาชนเรียนรู้แก้ไขปัญหาต่างๆ ไป แม้ว่าประชาธิปไตยมันจะมีปัญหา necessary evil อยู่ก็ตาม

4) อาจารย์สมภารอ้างถึงบางคอมเมนท์ท้ายบทความในประชาไทว่า “มีเสื้อแดงบางคนไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสันติอโศก แต่ก็ยอมรับว่าสันติอโศกเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยไม่มีอะไรแอบแฝง”

ตรงนี้ผมเห็นต่าง เพราะสันติอโศกแยกไม่ออกกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสำหรับผู้ติดตามการเมืองย่อมทราบว่า พล.ต.จำลองมีความสัมพันธ์กับเครือข่ายอำมาตย์ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน อีกทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พล.ต.จำลองในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ผ่านมา เช่นเหตุการณ์พฤษภา 35 ในด้านหนึ่งเขามีภาพนักต่อสู้ที่ยึดสันติวิธี แต่ในอีกด้านเขามีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือในทางลับคือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เช่นเดียวกันในฐานะแกนนำพันธมิตรเขาก็มีภาพนักสันติวิธี แต่ผมจำได้อย่างติดตาว่าเขาให้สัมภาษณ์ ASTV เสนอให้ใช้ “กฎอัยการศึก” จัดการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ปี 53 เขาบอกว่า “คนเพียงหมื่นสองหมื่นคน ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็เรียบร้อย” จริงอยู่เขาไม่ได้เสนอให้ฆ่าประชาชน แต่โดยประสบการณ์ เขาย่อมรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายมากเพียงใด ข้อเสนอของเขาจึง “อำมหิตมาก” ไม่มีจิตวิญญาณของนักสันติวิธีแต่อย่างใด

ฉะนั้น สันติอโศกที่ผูกติดกับวาระทางการเมืองของ พล.ต.จำลอง ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรแอบแฝงจริง ผมเห็นด้วยว่า พวกเขามีสิทธิ์แสดงออกทางการเมืองภายใต้กฎหมาย แต่ปัญหาที่พวกเขาอธิบายไม่ได้คือ พวกเขาอ้างแนวทางสันติวิธี ทว่ากลับสนับสนุนอุดมการณ์และโครงสร้างอำนาจอันอยุติธรรม เช่นอุดมการณ์ชาตินิยมล้าหลังกรณีพิพาทกับเขมร และอุดมการณ์ประชาธิปไตยภายใต้กำกับของระบบอำมาตย์ และยิ่งออกมาสนับสนุนการปิดประเทศให้งดใช้ระบบประชาธิปไตย ให้ใช้ระบบอื่นแทนชั่วคราว ยิ่งเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วนร่วมสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง

จริงอยู่ สันติอโศกอาจบอกว่าพวกตนชุมนุมอย่างสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสันติวิธีที่น่าสรรเสริญ ในเมื่อมันเป็นสันติวิธีเพื่อสนับสนุนโครงสร้างอำนาจอันอยุติธรรมและการสร้างเงื่อนไขความรุนแรง (เงื่อนไขสนับสนุนความไม่เป็นประชาธิปไตย)

หากคิดตามหลัก “พุทธมรรคา” หรือไตรสิกขา ผมคิดว่าในแง่ “สีลสิกขา” สันติอโศกกำลังละเมิดและ/หรือสนับสนุนการละเมิดศีลธรรมทางสังคม หรือหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยคือหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค เพราะสิ่งที่พวกเขากระทำมันเป็นการสนับสนุนโครงสร้างอำนาจที่ขัดต่อหลักการดังกล่าว ในแง่ “จิตสิกขา” สันติอโศกอาจมีเจตนาดี (เช่น เจตนาทำเพื่อประเทศชาติ ฯลฯ) แต่พวกเขาขาดสติตระหนักรู้ว่าพวกตนกำลังใช้เจตนาดีนั้นสนับสนุนเงื่อนไขความรุนแรง ในแง่นี้สะท้อนว่าลึกๆ พวกเขาขาดจิตเมตตากรุณาตามนัยพุทธศาสนาด้วย และในแง่ “ปัญญาสิกขา” นั้น พวกเขามองไม่ทะลุปัญหาเชิงโครงสร้าง มองอย่างอคติ เห็นแต่ความเลวร้ายของนักการเมือง ไม่เห็นความเลวร้ายของระบบเครือข่ายอำมาตย์ซึ่งก็ฉ้อฉลไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่า ฉะนั้น วาระทางการเมืองที่พวกเขาสนับสนุน จึงเป็นการสนับสนุนการลดทอนอำนาจประชาชน ลดทอนอำนาจนักการเมืองที่ประชาชนเลือก แล้วไปสนับสนุนอำนาจพิเศษที่ไม่โยงกับประชาชนและตรวจสอบไม่ได้

สุดท้าย ผมเห็นว่าเป็นการดีที่อาจารย์สมภารเปิดใจรับฟังและพยายามเข้าใจเหตุผลของทุกฝ่าย ประเด็นอื่นๆ ที่อาจารย์พูดผมก็เห็นด้วย ที่เห็นต่างมีเพียงที่ว่ามานี้แล (ขออภัยหากวิเคราะห์ความเห็นบางอย่างไม่ตรงกับเจตนาที่อาจารย์ต้องการสื่อ)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

Trending Articles



<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>