ตามที่ นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รมว. สาธารณสุข ประธานคณะกรรมการบริหารยาฯ สั่งให้กรมบัญชีกลางยกเลิกประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง ห้ามเบิกยากลูโคซามีนแก้โรคข้อเข่าเสื่อมในสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งมีมูลค่าปีละประมาณ 700 ล้านบาท ตามกระแสเรียกร้องของบริษัทยาและข้าราชการ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนักวิชาการที่ชี้ว่า ยาดังกล่าวไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่เชื่อถือได้ว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคดังกล่าวจริง เพราะที่อเมริกาจัดเป็นเพียงอาหารเสริมประเภทหนึ่งเท่านั้น
20 พ.ย. 55 ต่อกรณีดังกล่าว นส.บุญยืน ศิริธรรม กรรมการหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวัง เพราะเพียงยกแรก รมว.สาธารณสุข ก็สั่งข้ามกระทรวงให้กรมบัญชีกลางถอยต่อแรงกดดันยอมให้ประเทศ ต้องสูญเสียเงินงบประมาณปีละกว่า 700 ล้านบาท ทั้งๆ ที่เพิ่งประกาศนโยบายจะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพของสวัสดิการข้าราชการที่ใช้งบประมาณค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าผู้ป่วยบัตรทองหลายเท่าตัว
“การสั่งกระทรวงการคลังให้ถอยเรื่องยากลูโคซามีนของ รมว.สาธารณสุข อยากถามรัฐมนตรีที่เป็นหมอว่า เอาข้อมูลวิชาการจากไหนมาใช้ตัดสินใจ เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่า นโยบายลดความเลื่อมล้ำและปฏิรูประบบประกันสุขภาพสามกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นเพียงราคาคุยให้ดูดีเท่านั้น ท้ายที่สุดการกระทำจริงก็เอื้อประโยชน์บริษัทยาต่างชาติ และตัดงบเหมาจ่ายของระบบบัตรทอง ทำให้เป็นระบบอนาถา ผลักผู้ป่วยไป รพ.เอกชนเท่านั้นเอง” บอร์ด สปสช.ภาคประชาชนกล่าว
ขณะเดียวกัน นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึงนโยบายของ รมว.สาธารณสุขที่ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จะยกเลิกกองทุนย่อยต่างๆ ของ สปสช. ว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลองครั้งใหญ่ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่สมัย นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการ สปสช. คนแรกได้วางรากฐานให้ผู้ป่วยที่มีปัญหามากในการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล อาทิ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เอดส์ หัวใจ มะเร็ง โรคเลือดออกง่ายฮีโมฟีเลีย ต้อกระจก โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เป็นต้น สามารถเข้าถึงการบริการได้อย่างทั่วถึงโดยอาศัยการบริหารแบบโรคเฉพาะโดยมีกองทุนย่อยต่างๆ ของ สปสช.เป็นเครื่องมือสำคัญในการจ่ายค่าชดเชยและควบคุมราคาค่าบริการไม่ให้สูงจนเป็นภาระค่าใช้จ่ายของกองทุน สปสช.ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ที่เคยล้มละลายจากค่าใช้จ่ายสูงสามารถเข้าถึงการบริการดังกล่าวดีกว่าผู้ป่วยสิทธิอื่นๆ
“อยากฝากคุณหมอประดิษฐ์ ให้ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยอย่าทำให้ระบบบัตรทองกลายเป็นระบบอนาถา เพราะจะเป็นการผลักผู้ป่วยให้ไปใช้บริการ รพ.เอกชน เหมือนในอดีต ขณะนี้สังคมกำลังจับตาว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่กำลังกว้านซื้อขยายธุรกิจ รพ.เอกชน หรือไม่” นพ.วิชัย โชควิวัฒน กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai