บนพื้นฐานบริบททางประวัติศาสตร์ของพื้นที่ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรปาตานีแห่งนี้ ชาวมลายูมุสลิมเรือนพันเรือนหมื่นได้เดินเข้าสู่กระบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชของดินแดนที่พวกเขามองว่าถูกสยามยึดครองไป ในตอนนี้ DSJ จะเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเด็กหนุ่ม 2 คนที่ถูกชักชวนเข้าสู่ขบวนการและอธิบายถึงขั้นตอนการสร้าง “นักปฏิวัติ” ผ่านการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องและเอกสารที่เขียนโดยคนที่เคยอยู่ในขบวนการ

ชารีฟ : จาก “เด็กติดยา” สู่ “RKK”
ชารีฟ (นามสมมุติ) เรียนจบสามัญชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่ง แต่ในทางศาสนา เขาเรียนจบชั้น 10 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของการเรียนในสายศาสนาแบบทั่วไป หลังเรียนจบแล้ว เขาทำอาชีพกรีดยางซึ่งเป็นวิถีการหาเลี้ยงชีพหลักของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เด็กหนุ่มผิวเข้มร่างกายกำยำคนนี้ยอมรับว่าเขาเคยติดกัญชาและเที่ยวผู้หญิง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเข้าร่วมจับอาวุธในช่วงพ.ศ. 2547 ชารีฟถูกชักชวนโดยเพื่อนในหมู่บ้านคนหนึ่งซึ่งบอกกับเขาว่า “เราต้องบริสุทธิ์จริงจึงจะเข้าขบวนการได้ ต้องเลิกสิ่งที่ไม่ดี”
ชารีฟเลิกอบายมุขเหล่านั้นและได้ผ่านการ “ซุมเปาะ” หรือ การสาบานตนเข้าร่วมขบวนการต่อหน้าคำภีร์อัล-กุรอ่าน คนที่มาเป็นผู้อบรมชารีฟเป็นคนที่มีความรู้ทางศาสนาซึ่งเขาให้ความเคารพและเชื่อถือ เขาไปฟังการบรรยายที่ปอเนาะทุกๆ สัปดาห์ ในกลุ่มก็จะมีประมาณ 6 – 7 คน ชารีฟเล่าว่าคนที่มาอบรมบอกกับเขาว่าการ “ญิฮาด”กับรัฐสยามนี้เป็น “ฟัรดูอีน” (fardu 'ain- ข้อกำหนดที่คนมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ) ถ้าหากว่าเขาไม่ปฏิบัติก็จะบาป ชารีฟเข้ารับการฝึกในขั้นต้นที่เรียกว่าระดับ “เปอมูดอ” (pemuda - เยาวชน) อยู่ประมาณครึ่งปี ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปฝึกต่อทางด้านการทหาร
“ในช่วงแรกๆ เขา [ครูฝึก] ให้ไปขโมยของในร้านของคนไทยพุทธ เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจ” ชารีฟเล่าย้อนความหลัง เขากับเพื่อนไปหยิบสินค้าในร้านขายของชำเพื่อเอามาแสดงให้กับครูฝึกดูเพื่อพิสูจน์ความกล้า
บททดสอบเช่นนี้ก็เพื่อทำให้คนที่อยู่ในขบวนการสร้างกำแพงแห่งความรู้สึกระหว่าง “พวกเรา” และ “คนอื่น” ให้แข็งแรงขึ้น ครูฝึกบอกว่าคนไทยพุทธเป็นผู้อพยพมาอยู่ในดินแดนของคนมลายูมุสลิมและพวกเขาเป็น “เครื่องมือของรัฐสยาม” ชารีฟบอกว่าช่วงที่เคลื่อนไหวอยู่นั้น เขาไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนพุทธเลย
เมื่อฝึกเสร็จ ชารีฟก็เริ่มปฏิบัติการในฝ่ายกองกำลังในระดับ RKK เคลื่อนไหวในพื้นที่ในปัตตานี
มะแอ : “แผ่นดินนี้เป็น ดารุลฮัรบี”
มะแอ (นามสมมุติ) เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งในอ.เมือง จ.ยะลาซึ่งมีนักเรียนหลายพันคน ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีอุสตาซมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ให้ฟังหลายครั้งว่าดินแดนแถบนี้เดิมเป็นของคนมลายูมุสลิม แต่ว่าถูกรัฐสยามเข้ามายึดครอง
“อุสตาซสอนว่าเป็น วาญิบ [wayib – ข้อบังคับ] ที่จะต้องต่อสู้ เพราะแผ่นดินนี้เป็น ดารุลฮัรบี ” มะแอกล่าว
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม คำว่า ดารุลฮัรบี (Dar-ul-Harb) หมายถึง “ดินแดนแห่งสงคราม” (Abode of War) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ปกครองโดยคนมุสลิมและไม่ได้ใช้ชารีอะห์เป็นกฎหมายหลักในการปกครอง คำถามที่ว่าดินแดนปาตานีนี้เป็น ดารุลฮัรบี หรือไม่นั้น ยังเป็นประเด็นที่ผู้รู้ทางศาสนาในพื้นที่มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน
สิ่งที่มะแอได้รับการบอกเล่าคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของอีกหลายๆ คนที่เข้าไปสู่ขบวนการ เรื่องเล่านี้เริ่มต้นจากว่าแผ่นดินปาตานีนี้เคยเป็นอาณาจักรอิสลาม หรือเป็นดารุลอิสลาม (Dar-ul-Islam) ต่อมาถูกสยามยึดครองจึงได้กลายเป็น ดารุลฮัรบี ฉะนั้น การญิฮาดเพื่อกอบกู้เอกราชจึงเป็นฟัรดูอีน สำหรับคนมุสลิมทุกคน ว่ากันว่าอูลามา (ผู้รู้ทางศาสนา) ของขบวนการได้ประกาศฟัตวา (fatwa - คำตัดสินในทางหลักการศาสนาอิสลาม) ให้มีการญิฮาดเพื่อเอกราชของปาตานี แต่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าใครมีบทบาทในการออกฟัตวานี้ คนที่อยู่ในระดับปฏิบัติการรู้แต่เพียงว่าเป็น ออแฆตูวอ (หรือเขียนแบบมาเลย์กลางว่า orang tua) ซึ่งหมายถึงผู้อาวุโสของขบวนการ
มะแอเล่าว่าในตอนแรกๆ ก็ยังไม่ทราบว่าขบวนการที่ตนเองตัดสินใจเข้าไปร่วมนี้ชื่ออะไร เขารู้แต่ว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาคือ “นักรบฟาตอนี” เมื่อเขาจบการฝึกเปอมูดอแล้วก็ได้รับการบอกว่าขบวนการที่เขาเข้าร่วมนี้คือ BRN – Coordinate เขาเริ่มฝึกความกล้าในการปฏิบัติการด้วยการโปรยตะปูเรือใบ ป้ายสีบนป้ายถนน ก่อนเข้าฝึกเพื่อเป็น RKK

โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามบางแห่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นที่่บ่มเพาะเยาวชนให้เป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงเรียกว่า "ผู้ก่อเหตุรุนแรง" ภาพการเข้าไปพบปะครูโดยหน่วยทหารจึงเป็นภาพที่คุ้นชินในหลายโรงเรียน
หลักสูตร “เปอมูดอ”
กระบวนการที่ชารีฟและมะแอได้ผ่านก็คล้ายกับหลายๆ คนเพราะขบวนการวางแผนการฝึกเยาวชนอย่างเป็นระบบ ในหนังสือ “อาร์เคเคเป็นใคร ทำไมต้องเป็น RKK” ซึ่งเขียนโดยผู้ที่เคยมีบทบาทในการฝึกเยาวชนของขบวนการและเผยแพร่โดยกลุ่มนายทหารที่ทำงานในภาคใต้ได้อธิบายว่าขบวนการมีคนที่ทำงาน “ฝ่ายเปอมูดอ” ซึ่งทำหน้าที่ในการหาสมาชิกใหม่โดยเฉพาะ โดยจะทำงานสองส่วนหลักๆ คือ กลุ่มเยาวชนในโรงเรียนและกลุ่มสมาชิกในหมู่บ้าน เมื่อผ่านการซุมเปาะแล้วก็จะเข้ารับการฝึกตามลำดับขั้นที่เรียกเป็นภาษามลายูถิ่นว่า ตือกัซ ตือปอ ตารัฟ ตาแย และ วาฏอน
ในชั้น ตือกัซ ซึ่งมีความหมายว่ายืนให้มั่นคง ผู้สอนจะเน้นในเรื่องประวัติศาสตร์ “บาดแผล” โดยการเล่าถึง ความรุ่งเรืองของอาณาจักรปาตานีในอดีตซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นเมืองท่าที่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และพูดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลงหลังจากถูกสยามยึดครองและรัฐสยามได้ดำเนินนโยบายในการ “กลืนวัฒนธรรม” ดังนั้นเองจึงมีความจำเป็นที่คนมลายูมุสลิมจะต้องต่อสู้เพื่อนำอิสรภาพและเอกราชกลับคืนมา มีการนำเอากรอบคิดทางศาสนาเรื่องดารุลฮัรบีมาสนับสนุนการต่อสู้ โดยย้ำว่าเป็นวาญิบที่คนมุสลิมจะต้องญิฮาดกับผู้รุกราน ในบางกรณีมีการใช้คำว่าฟัรดูอีนแทน ในขั้นนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน
ในชั้น ตือปอ ซึ่งแปลว่าสร้างเป็นช่วงของการสร้าง “นักปฏิวัติ” ที่มีจิตใจต่อสู้และเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยเชื่อมโยงการกระทำดังกล่าวกับการทำความดีตามหลักของศาสนาอิสลาม โดยจะมีการสอนเรื่องกฎบัญญัติ 10 ประการ คือ 1) ประกอบศาสนกิจ (อีบาดะห์) แด่องค์อัลเลาะห์และละเว้นอบายมุขทั้งปวง 2) ไม่เปิดเผยความลับให้กับข้าศึก ศัตรู ถึงแม้ว่าจะถูกข่มขู่คุกคาม 3) จงรักภักดีต่ออุดมการณ์ปฏิวัติและเชื่อฟังผู้นำของขบวนการ 4) เห็นแก่ประโยชน์ในการต่อสู้ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว 5) ต้องมอบทรัพย์สินและร่างกายให้กับงานต่อสู้ เมื่อต้องการ 6) ปฏิบัติงานตามความสามารถของแต่ละคนด้วยความซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจ 7) ให้การตักเตือนและน้อมรับการตักเตือนด้วยความยินดีและจริงใจ 8) ต้องเข้ารับการอบรมและพบปะประชุมเมื่อถูกเรียกเชิญ 9) ยึดมั่นในคำพูดและคำสัญญา 10) ไม่สร้างความเสื่อมเสียให้กับขบวนการต่อสู้
จากหลักฐานเอกสารที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงค้นพบ กฎบัญญัติ 10 ประการนี้อาจมีการใช้คำพูดที่แตกต่างหรือเรียงลำดับข้อไม่เหมือนกัน แต่เนื้อหาใจความโดยรวมตรงกัน เอกสารด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ทหารยึดได้จากเหตุการณ์ทหารพรานปะทะกับขบวนการที่ค่ายฝึกบนเทือกเขาตะเว บ้านกูตง ม.3 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2550 การปะทะกันทำให้ฝ่ายขบวนการเสียชีวิต 5 ศพ


(เอกสารของกอ.รมน.)
ต่อจากนั้น ในชั้น ตือปอ จะมีการฝึกความแข็งแรงของร่างกาย เช่น การวิ่ง วิดพื้น ซิทอัพ กระโดดตบ ปั่นจักรยาน ขี่ม้า ฯลฯ โดยการฝึกมักจะทำในเวลากลางคืน และจะมีการย้ำในเรื่องการญิฮาดเพื่อเอกราช ในขั้นนี้จะใช้เวลาประมาณ 4 เดือน
ขั้นต่อไป คือ ตารัฟ ซึ่งแปลว่าขึ้นชั้น จะมีการเน้นในเรื่องอัตลักษณ์มลายู เช่น การแต่งกายด้วยเสื้อบงาลอ (เสื้อคอกลม แขนยาว เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชาย) ผ้าโสร่งสก๊อตดำ การสอนในเรื่องนี้เพื่อต้องการสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นมลายู สำหรับขั้น ตาแย(แหลมคม) จะเป็นการทดสอบความแข็งแรงของร่างกาย โดยจะมีการออกกำลังกายในท่าที่ได้สอนไปแล้ว แต่จะมีระยะเวลาที่นานขึ้น มีการทดสอบความกล้าหาญด้วยการให้ไปพ่นสีที่ป้ายถนน ทำลายหลักกิโลเมตร หรือโปรยใบปลิว สุดท้ายคือขั้น วาฏอน มีความหมายว่าแผ่นดินของเรา จะเป็นการจับคู่ฝึก โดยเน้นให้สมาชิกใหม่เกิดความมุ่งมั่น มีวินัยและความรับผิดชอบ โดยจะมีการฝึกออกกำลังกายเป็นคู่ ฝึกศิลปะการป้องกันตัว การปฐมพยาบาล เช่น การฉีดยา ให้น้ำเกลือ ห้ามเลือด และดูหนังสงครามและการต่อสู้ในประเทศอื่นๆ
ขั้นตอนในการฝึกเปอมูดอทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นก็จะมีคณะกรรมการคัดเลือกเปอมูดอ โดยจะให้เลือก 3 สาย คือ ฝ่ายทหาร (MAY) ฝ่ายมวลชน (MASA) และ ฝ่ายเปอมูดอ ซึ่งทำหน้าที่ในการหาและฝึกสมาชิกใหม่
การฝึก RKK
หลังจากจบหลักสูตรเปอมูดอแล้ว คนที่เลือกฝ่าย MAY จะต้องเข้ารับการฝึกเพิ่มเติมอีก 2 ขั้นที่เรียกเป็นรหัสว่า “ตาดีกา” และ “ปอเนาะ” โดยการฝึกจะเน้นเรื่องการรบแบบกองโจรและการใช้อาวุธ หน่วยปฏิบัติการที่สำคัญของ MAY คือ ชุดปฏิบัติการในระดับหมู่บ้านที่เรียกว่า RKK ซึ่งเป็นตัวย่อของคำภาษาอินโดนีเซียว่า Runda Kumpulan Kecil แปลว่า “ชุดลาดตระเวนขนาดเล็ก” RKK หนึ่งชุดประกอบด้วยสมาชิก 6 คน คือ หัวหน้าชุด-รองหัวหน้าชุด-คนนำทาง-ประสานงานและสื่อสาร-รักษาพยาบาล-ยุทธวิธี
หนังสือ “อาร์เคเคเป็นใคร ทำไมต้องเป็น RKK” ได้อธิบายว่าการฝึกในขั้น “ตาดีกา” จะเน้นในเรื่องของการวางหน่วยและป้องกันตัว การหลบหนีและการใช้อาวุธในการต่อสู้ ในขั้น “ปอเนาะ” จะสอนเรื่องการรบแบบกองโจร ซึ่งขบวนการซึ่งมีกำลังน้อยกว่ากองทัพของรัฐจำเป็นต้องเลือกใช้ยุทธวิธีการต่อสู้แบบนี้ RKK อาศัยมวลชนเป็นฐานสนับสนุนและเคลื่อนไหวในภูมิประเทศที่ตนเองมีความคุ้นเคย ในการต่อสู้จะแบ่งเป็นหน่วยขนาดเล็กเพื่อให้ง่ายต่อการพรางตัวและปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว การรบจะไม่รบแบบแตกหัก หากคู่ต่อสู้เข้มแข็ง ต้องถอยและเลือกเข้าโจมตีขณะคู่ต่อสู้อ่อนแอ ต้องเก็บความลับให้ดีที่สุด และการรบต้องสร้างความได้เปรียบคู่ต่อสู้ควบคู่ไปด้วย เช่น พรางตัวด้วยการใส่ชุดทหารในการปฏิบัติการ
ในการฝึกขั้นตาดีกานั้นจะใช้เวลา 1 ปีซึ่งไม่ได้เป็นการฝึกแบบเข้มข้นทุกวัน แต่ว่าการฝึกในขั้นปอเนาะนั้นจะเป็นหลักสูตรเข้มข้นระยะเวลา 1 เดือน การจบหลักสูตร RKK นั้น จะต้องมีการปฏิบัติการจริง 1 ครั้ง RKK ที่มีฝีมือจะได้รับการคัดเลือกให้ไปฝึกขั้นสูงต่อไป โดยจะแบ่งเป็นสองส่วน หนึ่ง “ฮารีเมา” (harimau) เป็นคำในภาษามลายูแปลว่า “เสือ” ขบวนการใช้ในการเรียก “หน่วยจู่โจม” ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีฝีมือทางการทหารระดับสูงและมีความชำนาญในพื้นที่ป่าเขา และ สอง “ลือตุปัน” (letupan) ซึ่งแปลว่า “ระเบิด” ในภาษามลายู เป็รคำที่ใช้เรียกฝ่ายที่ทำหน้าที่ผลิตระเบิด
สมาชิกที่ผ่านการฝึกแล้วก็จะได้ถูกมอบหมายให้เรื่มปฏิบัติการในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการวางโครงสร้างในสองปีกหลักๆ คือ MAY และ MASA
ในตอนต่อไปจะได้เล่าถึงการปฏิบัติการของเหล่านักรบอิสลามที่เรียกตัวเองว่า ญูแว(juwae) เหล่านี้
หมายเหตุ รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช เป็นอดีตนักวิเคราะห์ของ International Crisis Group ปัจจุบัน เธอกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทด้านทฤษฎีการจัดการความขัดแย้งที่ King’s College London และเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ การจัดทำรายงานพิเศษเรื่อง “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี” ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ติดตามอ่านตอนที่ 3 "โครงสร้างขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี" ได้ในวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2555
** สถานที่ที่ปรากฎในภาพประกอบไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อหาของรายงานฉบับนี้แต่อย่างใด
ที่มา: http://www.deepsouthwatch.org/dsj/3690
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai