ร้อง ‘แก่งกระจาน’ ขับไล่โหด เผาบ้านกะเหรี่ยง
"กรมอุทยาน" รับ เผาจริง บ้านชาวกะเหรี่ยง "อุทยานแก่งกระจาน"
หลายคนคงจำข่าวนี้กันได้ ว่ากันว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มีนโยบายขับไล่และจับกุมชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน ฝั่งติดชายแดนพม่า โดยใช้วิธีเผาบ้าน เผายุ้งข้าว และสิ่งปลูกสร้างของชาวกะเหรี่ยง มาตามลำดับ กระทั่งช่วงวันที่ 5-9 พ.ค. 2554 มียุ้งข้าวของชาวกะเหรี่ยงถูกทำลาย 98 หลัง และวันที่ 23-26 มิ.ย. 2554เผาเพิ่มเติมอีก 21 หลัง ใน 14 จุด ทั้งยังยึดทรัพย์สินต่างๆ ด้วย อาทิ มีด แห เคียว เกลือ ขวานเงิน สร้อยลูกปัด กำไลข้อมือ และเครื่องดนตรีของชาวกะเหรี่ยง จนถึงปฏิบัติการเมื่อวันที่ 11-14 ก.ค. 2554ที่ผ่านมา ยังคงใช้วิธีเผาบ้าน เผายุ้งข้าว และสิ่งปลูกสร้างของชาวกะเหรี่ยงเหมือนเดิมจากเหตุการณ์นั้น นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ออกมาชี้แจงยอมรับกับสื่อว่า การเผาบ้านหรือกระท่อมของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานว่า เผาจริง!
ต่อมา นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าวของทางอุทยานแก่งกระจานเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายอาญาและขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอของบุคคล เพราะมีการเผาทำลายที่พักและผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกนอกพื้นที่อยู่อาศัย ทั้งๆ ที่มีหลักฐานว่า ชาวกะเหรี่ยงแถบป่าแก่งกระจานเป็นชนพื้นเมืองอาศัยอยู่บริเวณนี้มาหลายร้อยปี
ที่สำคัญและเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้ นั่นคือเมื่อพี่น้องกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก บางกลอย จำนวนประชากรมากถึง 1,048 คน ต้องกลายเป็นคนไร้ที่อาศัยและขาดแคลนอาหาร เมื่อชีวิตตกอยู่ในความหิวและความหวั่นหวาดขลาดกลัว ยากยิ่งที่พี่น้องกะเหรี่ยงทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทยจะทนดูดายนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ทำให้หลายชุมชนบนดอยทางภาคเหนือ ได้ระดมขนข้าวสาร ข้าวเปลือกลงจากดอยวันแล้ววันเล่า เอามารวมกันในเมืองเชียงใหม่ มากกว่า 40 ตัน ก่อนจะหาทางขนส่งลงไปช่วยเหลือพี่น้องกะเหรี่ยงแก่งกระจานต่อไป จนกลายเป็นที่มาของ ‘คอนเสิร์ตเสียงเผ่าชน 3.5 เพื่อพี่น้องกะเหรี่ยงแก่งกระจาน’ ขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ณ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา จังหวัดเชียงใหม่
‘ชิ’ สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ศิลปินหนุ่มปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยงที่หลายคนรู้จักมักคุ้นกันดี เป็นหนึ่งในกำลังหลักที่ทำให้เกิดกิจกรรมวัฒนธรรมในครั้งนี้ โดยมีนักดนตรีประกอบด้วย ทอดด์ ทองดี, วงทิพย์, วงสุดสะแนน และนิรมล เมธีสุวกุล จากรายการพันแสงรุ้ง เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยความเต็มใจ
อยากทราบที่มาของการจัดคอนเสิร์ตเสียงเผ่าชน 3.5 ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ?
ปริมาณข้าวที่พี่น้องกะเหรี่ยงภาคเหนือรวบรวมได้นั้นมีจำนวนมากขนาดนั้น แล้วจะขนส่งไปให้พี่น้องกะเหรี่ยงแก่งกระจานได้ยังไง ?
ทราบมาว่าศิลปินนักดนตรีที่มาร่วมงานนั้นต่างมากันด้วยใจและไม่ได้คิดค่าตัวอะไรกันเลย ?
แล้วผลการจัดงานเป็นยังไงบ้าง พอจะประเมินได้ไหม ?
ในฐานะที่คุณมีเชื้อสายกะเหรี่ยง คุณมองกรณีปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐเผาบ้าน เผายุ้งฉางชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานยังไงบ้าง ?
เพราะการมองแบบนั้น จึงทำให้เขาต้องกระทำในสิ่งที่ขัดและค้านในสายตาของสังคมทั่วไป ?
ดูเหมือนว่าคุณจะบอกว่าปัญหามันอยู่ที่คนของรัฐและนโยบายของรัฐไทยด้วยใช่ไหม?
แต่ถ้ามองไป กรณีแก่งกระจาน นี้เป็นเพียงกรณีหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายๆ พื้นที่ที่รัฐกระทำกับพี่น้องชนเผ่า คนชายขอบ อยู่ซ้ำๆ?
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยอมรับ แล้วก็ดีใจที่ประเทศไทยในช่วงหลังๆ มาโดยเฉพาะยุคนี้ เป็นยุคปฏิรูปหลายสิ่งหลายอย่าง มันเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่ว่าความคิดเดิมๆ อคติเดิมๆ การเลือกปฏิบัติเดิมๆ ก็ยังมีอยู่เยอะเช่นกัน
คุณมองว่าทางออกควรจะเป็นยังไงเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนชนเผ่าในประเทศไทยนับจากนี้ ?
และกระบวนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะต้องไม่ใช้ความรุนแรงเหมือนกรณีแก่งกระจาน ?
ในฐานะที่คุณเป็นศิลปินชนเผ่าของไทย และมีโอกาสได้เดินทางไปแสดงดนตรีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในหลายๆ ประเทศ คุณได้เห็นความหลากหลายของเชื้อชาติว่ามีความเหมือนความต่างจากสังคมไทยไหม ?
อย่างปัจจุบัน คนยุโรป ที่ผมได้เดินทางไปมา เช่น อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส แม้กระทั่งเยอรมันที่เคยมีแนวคิดแบบนาซี แต่พอเขาเห็นปุ๊บ เขาก็ตื่นเต้นที่จะไปเรียนรู้ว่ามันคืออะไร หลังจากนั้น ถ้าเขาเจอสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ต่างๆ เขาพร้อมที่จะหนุนเสริม พร้อมที่จะให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
แต่ในขณะที่คนในสังคมไทยจะไม่ใช่อย่างนั้น จะไม่มองแบบนั้น แต่จะมองคนนั้นว่าคนนั้นมีอะไรที่แตกต่าง เอ๊ะ…เขาเป็นคนอื่น เขาไม่ศิวิไลซ์ เป็นคนดอย เป็นคนนอก เป็นคนชายขอบ ซึ่งผมคิดว่า ประเทศไทยไม่ค่อยเปิดใจสำหรับจะเรียนรู้เท่าไหร่ ประเทศไทยส่วนใหญ่ต้องการให้คนอื่นเปลี่ยนมาเป็นแบบตัวเองมากกว่า ภูมิใจในความเป็นไทย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ว่าต้องการให้คนอื่นมีความภูมิใจเหมือนตนเองภูมิใจในความเป็นไทยเหมือนกันทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ นอกจากต้องภูมิใจในความเป็นไทยแล้ว ต้องมาเป็นไทยเหมือนเขาด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน หลายหน่วยงานของรัฐมักหยิบเอาความเป็นชนเผ่า ฉวยเอาความเป็นชาติพันธุ์มาเป็นจุดขาย มาโฆษณาจนกลายส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวไปแล้ว?
แน่ละ ในทางตรงกันข้าม บ่อยครั้ง รัฐกลับมองและรู้ว่าความแตกต่างเหล่านั้นมันสามารถขายได้ ขายในเชิงการท่องเที่ยวได้ รัฐก็พยายามส่งเสริมเฉพาะในส่วนที่ขายได้ แต่ไม่ส่งเสริมที่จะเรียนรู้กระบวนการพัฒนาชุดความรู้ จนกลายมาเป็นแบบนี้ ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมืองนั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร มีคุณค่าความหมายอย่างไรไม่สน สนแต่ว่าตัวนั้นมันขายได้ หยิบตรงใบ ตรงดอก ตรงผลที่มันขายได้ คุณผลิตเอามาให้ผม ผมเอาไปขายอย่างเดียว แต่เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องรดน้ำอย่างไร พรวนดินย่างไร มีสารอาหารอย่างไร ดูแลรักษาอย่างไร ปลูกยังไงไม่สน นี่คือความเป็นไทยในสายตาของสังคมไทย ของรัฐไทยในขณะนี้
หลังจากนี้ คุณและเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย จะขับเคลื่อนยังไงต่อไป กับกรณีปัญหาพี่น้องกะเหรี่ยงแก่งกระจาน ?
ผมอยากจะบอกว่า...คนที่ฆ่าคนตาย ติดคุก ถูกประหารชีวิตนั้น แต่ก่อนที่เขาจะถูกตัดสินจำคุก ประหารชีวิต ยังได้กินข้าวแดงแกงเย็นอย่างน้อยวันละสองมื้อ แต่พวกนี้ พี่น้องกะเหรี่ยงแก่งกระจาน เขายังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ทำไมแม้กระทั่งบ้าน กระท่อมที่อยู่ยังไม่มี ข้าวยังไม่มีจะกิน ดังนั้น เบื้องตนในฐานะกะเหรี่ยงด้วยกัน เราต้องทำให้เขาได้กินก่อน หลังจากนั้น ก็จะเป็นการเยียวยาทางวัฒนธรรมกันต่อไป
คุณจะเยียวยาด้วยวัฒนธรรมได้อย่างไรบ้าง?
จากนั้นคุณและเครือข่ายจะรณรงค์เรียกร้องต่อสู้ในเรื่องสิทธิชนเผ่าอย่างไรต่อไป ?
เพราะฉะนั้นทั้งรัฐกับชาวบ้านจะต้องกลับมาคุยกัน เพราะปัญหาตรงนี้ มันหาทางออกร่วมกันได้.
หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 20 มกราคม 2555