เทวฤทธิ์ มณีฉาย
นักข่าวพลเมือง
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม สวมหน้ากาก ส่องไฟฉาย ร่วมยืนไว้อาลัย 112 นาทีต่อกระบวนการยุติธรรม หน้าศาลอาญา ย้ำว่า “เราคืออากง”
![]()
วันนี้ (9 ธ.ค.54) เวลา 13.00น. ที่บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา ได้มีกลุ่มคนแต่งชุดดำจำนวนกว่า 112 คน นำโดยเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.)และประชาชน ได้ชุมนุม พร้อมทั้งยืนไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรม ภายใต้ชื่อกิจกรรม “เราคืออากง” โดยมีจุดเริ่มต้นจากกรณีคดีของนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) วัย 61ปี โดนพิพากษาจำคุก 20 ปี จากการที่ศาลเชื่อว่าได้เป็นผู้ส่ง ข้อความทางโทรศัพท์ที่มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ‘คดีอากง SMS’ โดยการรณรงค์ยังมีเนื้อหารวมถึงผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือคดีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112
![]()
ด้าน นางสาวจิตรา คชเดช ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า “วันนี้ที่เรามาคือเราใช้ชื่อกิจกรรมว่า “เราคืออากง” เราต้องการมายืนโดยสงบเพื่อไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราเริ่มตั้งแต่เห็นว่ามีคนโดนมาตรา 112 (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วไม่ว่าจะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการจับกุมจนถึงที่สุดแล้วนี่พวกเขาก็ไม่ได้รับการประกันตัว หรือแม้แต่คดีดังที่พวกเราได้ยินกันคือคดีอากงส่ง SMS นี่ถูกศาลลงโทษถึง 20 ปี จากเหตุการณ์เหล่านั้นพวกเราก็เลยคิดว่าควรมายืนไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรมเลยเลือกที่นี่เพราะถือว่าเป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง”
ในส่วนของวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมนี้ จิตรา คชเดช กล่าวว่า“กิจกรรมเราในวันนี้คือการยืนไว้อาลัยยืนโดยสงบ 112 นาที ใส่ชุดดำแล้วก็ถือไฟฉายในมือ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าในสังคมที่มืดมิดนี่เราใช้ไฟฉายส่องให้เห็นแสงสว่าง หลังจากนั้นเราจะจบด้วยเพลง “แดนตาราง” เพื่อให้กับทุกๆคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมที่อยู่ในเรือนจำ โดยกิจกรรมนี้ได้นัดแนะกันผ่านทาง facebook”
“หลังจากจบกิจกรรมนี้คงมีหลายๆพื้นที่ๆจะทำแบบนี้ ซึงอาจจะมีการจัดเสวนาเกี่ยวกับคำพิพากษา เป้าหมายของกิจกรรมในวันนี้เพื่อต้องการให้สังคมได้ตื่นตัวแล้วได้หันมามองเรื่องกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น” จิตรา กล่าวทิ้งท้าย
นายพรชัย ยวนยี เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้อธิบายเหตุผลของการเข้าร่วมว่า “กรณี อากง มันเป็นเหตุการณ์ที่รับไม่ได้ ซึ่งตัวรูปคดีก็บ่งชี้แล้วว่าศาลไม่สามารถหาความจริงเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งกฎหมายนี่เป็นกฎหมายอาญา ซึ่งถ้าหากเราไม่สามารถหาความจริงได้ต้องปล่อยจำเลย แต่คดีอากงนี่ในด้านแรกคือการตัดสินมันไม่ชอบธรรม ส่วนด้านที่ 2 คือโทษที่ได้รับมันสูงเกินไป คือถ้ามองโทษเหมือนที่นักวิชาการกล่าวคือมันร้ายแรงเท่ากับคดีฆ่าคนตายด้วยซ้ำ ซึ่งทางนักศึกษารู้สึกว่ามันไม่ดีเลยสำหรับการตัดสินของศาล”
ทั้งนี้ เลขาธิการ สนนท.ได้เปิดผยว่าได้มีการคุยกันถึงแนวทางการแก้ปัญหาเรื่อง โดยได้มีการเรียกร้องต่อกลุ่มคนทั่วไปแล้วก็กับคนที่มีอำนาจ ว่า “หนึ่งเราต้องมีการปฏิรูปศาล หมายความว่าในด้านที่มาของศาลก็ไม่ได้มีการยึดโยงกับประชาชน ส่วนด้านความชอบธรรมคือ ศาลเลือกที่จะตัดสินโดยที่มองจำเลยว่าเป็นฝ่ายที่ผิดก่อนด้วยซ้ำ ส่วนที่ 2 ในด้านตัวกฎหมายอาญามาตรา 112 มันไม่มีขอบเขตจำกัด อีกทั้งโทษของ 112 มันแรงมาก ไม่มีกฎหมายที่ไหนที่โทษขั้นต่ำ 3 ปี ตนคิดว่าสมควรที่จะต้องยกเลิก โทษขั้นต่ำ 3 ปีคือถ้าทำน้อยกว่านั้นหมายความว่าก็ต้องติด 3 ปีใช่หรือไม่ แล้ว 3 ปีก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้านสุดท้ายเราต้องมีการแก้ไข คือ การแก้ไขหมายความว่าเราต้องมีการทำประชามติจากคนทั้งประเทศแล้วเลือกคณะกรรมการมาแก้ไขเหมือนการทำรัฐธรรมนูญ”
![ยืนหน้าศาล112นาทีเพื่อ"อากง"และและเหยื่อกฎหมายหมิ่น]()
ภาพถ่ายโดย Kaptan Jng
เลขาธิการ สนนท. ยังได้แสดงท่าทีประณามรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องต่อกรณีดังกล่าวด้วยว่า “อยากประณามในการทำงานของรัฐบาลว่าเมื่อประชาชนเลือกเข้าไปแล้ว แต่ไม่สามารถทำในสิ่งทีประชาชนเรียกร้องไปในการแก้ไขนี้ได้ กลับยิ่งเป็นการเพิ่มโทษขึ้นไปอีก จับคนที่แทบจะไม่ผิดด้วยซ้ำในด้านนี้ เราเลือกท่านไปเพื่อไปทำหน้าที่เพื่อเป็นปากเสียงให้กับประชาชน แต่รัฐบาลไม่สามารถทำได้เลย ท่านเห็นปัญหาของมาตรา 112 อยู่แล้ว ท่านเห็นอะไรทุกๆอย่างของมาตรานี้อยู่แล้ว และ สส.ที่ท่านเลือกไปก็ติดมาตรา 112 หลายคนด้วยซ้ำท่านก็ไม่ทำอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งผมคิดว่าผลสุดท้ายก็ไปตกที่ตัวท่านเอง เมื่อท่านเป็นฝ่ายค้านกฎหมายนี้ก็จะไปเล่นงานท่านเหมือนเดิม อย่างที่เล่นงานพวกเราในปัจจุบัน จึงขอแสดงจุดยืนประณามรัฐบาลและเราควรปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 อย่างจริงจังโดยที่ทุกๆฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกัน”
“ก่อนหน้านี้ทาง สนนท. ได้มีการออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินของศาลในกรณีอากง(คลิกเพื่ออ่าน - ฉบับแรกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 ใน สนนท. แถลงกรณี 'อากง' ชี้รัฐควรยกเลิกมาตรา 112
http://prachatai.com/journal/2011/11/38011 ) ส่วนฉบับที่ 2 เป็นการแถลงจุดยืนของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 (คลิกเพื่ออ่าน - ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 ใน 'สนนท.' ย้ำต้องแก้ไขกม.หมิ่นฯ –ปฏิรูประบบตุลาการ
http://prachatai.com/journal/2011/11/38095)โดยต่อจากนี้ทาง สนนท. จะมีการเคลื่อนไหวต่อต้านร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ต่อไป” เลขาธิการ สนนท. กล่าวทิ้งท้าย
ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้ให้เหตุผลในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ว่า “จริงๆแล้วตนร่วมกิจกรรมรณรงค์คัดค้านมาตรา 112 มานานแล้ว กับอีกกรณีหนึ่งตนรู้สึกว่าตอนนี้มาตรา 112 ถูกเอาไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในลักษณะที่เข้มข้นจนไม่สามารถที่จะปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆได้ เราก็เห็นอย่างกรณี “อากง” ซึ่งยังมีความคลุมเครือในแง่ของการสืบสวนสอบสวน ในแง่ที่ว่าข้อความที่ส่งคือใคร จริงๆแกอาจไม่ได้ส่งด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น ขณะเดียวกันโทษที่มันพวงมา มัน 20 ปี ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับความผิด
ภาพถ่ายโดย Kaptan Jng
“แม้กระทั้งกรณีของโจ กอร์ดอน ก็โดน 112 ตอนนี้กลายเป็นว่าด้วยการใช้กฎหมายในลักษณะนี้แล้วก็การตัดสิน คือมันไม่ใช่เฉพาะการใช้กฎหมายอย่างเดียว แต่กระบวนการยุติธรรมในการตัดสินเองมันเดินตามไปอีก คลายๆกับตอบสนองในการเป็นเครื่องมือขงกฎหมายไปแล้ว ที่จริงศาลก็สามารถมีดุลยพินิจได้ใช่มั้ย ไม่ว่าจะอย่างไร แต่ก็เลือกที่จะเดินตามเกมส์นี้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นที่จับตาต่อสาธารณะมาขึ้น ตนคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดี ตอนนี้รู้สึกว่าต่างประเทศอย่างเมื่อวานนี้(กรณีโจ กอร์ดอน)ข่าว Top 5 ใน Google นี่ เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่า 112 มันกลายเป็นสปอตไลท์แล้ว และผมก็คิดว่าในจังหวะอย่างนี่ล่ะมันน่าจะเป็นคลายๆกับโอกาสทางสังคมการเมืองที่ดีที่ คลายๆกับว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมมันจะเป็นที่สนใจของผู้คนด้วย แม้ก่อนหน้านั้นถึงจะไม่มีอันนี้ก็ตั้งใจมาอยู่แล้วเพราะตนคิดว่ากรณีของ อากง ผมคิดว่ามันคลายๆกับความไม่เข้าท่าของกฎหมายฉบับนี้มันมีให้เห็นมากขึ้นแล้ว มันชัดขึ้น ก่อนหน้านั้นมันอาจจะไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ ตอนนี้มันชัดขึ้นจึงจำเป็นที่ต้องออกมา” อนุสรณ์ อุณโณ กล่าว
เรื่องกระบวนการยุติธรรมและมาตรา 112 อนุสรณ์ อุณโณ ได้เสนอว่า “คงต้องปรับแก้ ในแง่หนึ่งก็ต้องยกเลิกที่มีอยู่ก่อน สองก็คือต้องเสนอกฎหมายใหม่ขึ้นมาว่าจะทำอย่างไร ว่าจะปกป้องสถาบัน ถ้ากฎหมายปกติ กฎหมายหมิ่นประมาทคนทั่วไปปกติมันเอาไม่อยู่ มันจะต้องพัฒนากฎหมายที่เป็นการเฉพาะขึ้นมาอย่างไร ซึ่งจะไม่เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานที่อารยะประเทศเขาถือกันอยู่ เช่น สิทธิในการแสดงความเห็นอย่างเสรีแล้วก็บริสุทธิใจเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม ถ้าเราทำไปในเส้นทางแบบนี้แสดงความคิดเห็นแบบนี้แล้วไปกระทบต่อสถาบันจะมีอย่างไรจะปกป้องกันอย่างไร ผมคิดว่าอาจจะต้องมีการเฉพาะ แต่ถ้าเกิดดฎหมายปกติมันมีอยู่พอแล้วมันก็อาจจะไม่จำเป็นก็ได้ ก็ต้องดูกัน”
นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ ‘คดีอากง SMS’ อายุ 61 ปี ได้ถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยข้อกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปยังโทรศัพท์ของเลขานุการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และเมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 อนุ 2 และ 3 ลงโทษจำคุก 20 ปี (อ่านรายละเอียดได้ที่ รายงาน: เปิดคำแถลงปิดคดี ‘อากง SMS’ ต่อจิ๊กซอว์จากเบอร์ต้นทางถึงชายแก่ปลายทาง http://prachatai.com/journal/2011/11/38032)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper