1 ตุลาคม 2555 ถือเป็นวันครบรอบ 10 ปี ของการสถาปนาสิทธิในการเข้าถึงยา
มันเป็นก้าวสำคัญเพราะการต่อสู้ระหว่างภาคประชาชน โดยเฉพาะเครือข่ายผู้ติดเชื้อ กับ บรรษัทข้ามชาติผู้เข้ามาขอจดสิทธิบัตรยาต้านไวรัสที่เรียกว่า ดีดีไอ ในประเทศไทย -- บริษัทบริสเตอร์ ไมเยอร์ สควิปป์ (MBS)
ปัญหาหลักที่ภาคประชาชนนำเสนอคือ หากการขอสิทธิบัตรยาตัวนี้สำเร็จลุล่วง บริษัทจะผูกขาดตลาดตั้งราคาสูงได้นาน 20 ปี ทั้งที่ยาตัวนี้ไม่ได้มีความใหม่ หรือมีขั้นการผลิตที่สูงขึ้นแต่อย่างใด และไม่ควรที่จะมากีดกันองค์กรเภสัชกรรม ซึ่งสามารถผลิตยาต้านไวรัสนี้ออกมาได้เช่นกัน ด้วยสูตรผสม และปริมาณมิลลิกรัมต่อเม็ดที่แตกต่าง
(อ่านรายละเอียดในล้อมกรอบด้านล่าง)
ท่ามกลางการต่อสู้กันพักใหญ่ ในหลายๆ รูปแบบ ประท้วง ประชุมสัมมนา รวมถึงการฟ้องคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญา ท้ายที่สุด นี่เป็นคดีแรกที่ฝ่ายประชาชนเป็นผู้ชนะ ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิบัตรยาดังกล่าว
ขณะเดียวกันประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะกับ ‘สินค้า’ อย่างยา กำลังเป็นประเด็นใหญ่ในการตกลงทางการค้าระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะเอฟทีเอกับมหาอำนาจทั้งอเมริกา อียู เรื่องนี้จึงยังเป็นเรื่องสำคัญที่ยังมีการผลักดันกันต่อ แม้จะทำกันมานานนับทศวรรษแล้ว
ในวงประชุมวิชาการหัวข้อ ‘ครบรอบ 10 ปี คำพิพากษาคดีสิทธิบัตรยาดีดีไอ’ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมก็ยังพูดกันถึงข้อห่วงกังวลนี้
“กระบวนการสกัดกั้นการเข้าถึงยา ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิบัตรโดยตรง แต่รวมถึงเอฟทีเอด้วย ภาคประชาชนได้เข้าไปจับตาดูเรื่องสิทธิบัตรแล้วก็พบว่า โครงสร้างของการพิจารณาให้สิทธิบัตรในบ้านเรามีปัญหา วันนี้ยังไม่แก้ เรายังพบการให้สิทธิบัตรในส่วนที่ไม่ควรจะได้รับ เขาได้รับการคุ้มครองยี่สิบปี เขาสามารถกำหนดราคา” สุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ กล่าว
10 ปีผ่านมา ปัญหาพื้นฐานที่ยังเถียงกันไม่จบคือการพิจารณาสิทธิบัตร ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา
“กระบวนการพิจารณาสิทธิบัตรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องตามไปคัดค้านแบบนี้ไม่รู้เท่าไร ยาตัวไหนใกล้หมดสิทธิบัตร บริษัทก็ใช้วิธีขอ Evergreening Patent ไม่มีอะไรใหม่แต่ผสมสูตรใหม่นิดหน่อยก็มาจดอีก ทำให้ผูกขาดได้ตลอด ถ้ารู้ทันก็ไปขอถอนทัน แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็ได้การคุ้มครองไปอีกยี่สิบปี” สุภัทราย้ำ
เรื่องสิทธิบัตรไม่มีวันตาย หรือ Evergreening Patent ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในประเทศไทย อุษาวดี มาลีวงศ์ นักวิชาการอิสระ ระบุว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาร่วมของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย สถานการณ์ของกรณีบราซิล อาเจนตินา แอฟริกาใต้ ก็ดูจะไม่แตกต่างกัน
อุษาวดียังนำเสนองานวิจัยที่ทำร่วมกับนักวิจัยของกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อศึกษาสิทธิบัตรยาที่จัดว่าเป็น evergreening patent ซึ่งศึกษาคำขอรับสิทธิบัตรระหว่างปี 2542-2553 พบว่า ใน 11 ปีนี้มีคำขอรับสิทธิบัตรยา ประมาณ 2,000 กว่าฉบับ ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด ของไทยเองมีเพียง 10 ฉบับ และพบว่าคำขอรับสิทธิบัตรเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ หรือมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น กว่า 84% เป็นเพียงการนำสารเคมีเดิมๆ มาผสมกันเท่านั้น และในจำนวนของ Evergreening Patent ทั้งหลาย ก็มียาต้านไวรัส สูตรผสมจากต่างประเทศจำนวนไม่น้อยที่ภาคประชาชนทำการคัดค้านคำขอสิทธินั้นๆ ไม่ทันภายใน 90 วันในช่วงประกาศโฆษณา (pre-grant opposition) เล็ดรอดออกไป
อย่างไรก็ตาม ในคำขอจำนวนนี้ก็พบว่ามีการละทิ้งคำขอไปเองประมาณ 800 ฉบับ ยังอยู่ในกระบวนการขอรับสิทธิบัตร 1,500 กว่าฉบับ ส่วนที่ได้รับสิทธิบัตรไปจริงๆ มี 31 ฉบับ ซึ่งอาจเพราะเจ้าหน้าที่ในกรมฯ มีไม่เพียงพอที่จะพิจารณาอย่างรวดเร็ว
“เรามองว่าหากกรมทรัพย์สินทางปัญญามีคู่มือการพิจารณาความเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตรยา ก็จะผ่อนปรนปัญหาที่เกิดขึ้นได้” อุษาวดีกล่าว
ทางออกที่มีการนำเสนอเบื้องต้นของทีมวิจัยนี้ คือ การพัฒนาคู่มือที่จะใช้ในการพิจารณาความเหมาะสมในการออกสิทธิบัตร โดยเฉพาะสิทธิบัตรยา ใช้เวลาดำเนินการในการจัดทำ 2 ปี จนกระทั่งร่างมาสำเร็จและส่งมอบให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 54 ผ่านมา 1 ปี แต่ยังไม่มีการตอบรับจากกรมฯ ว่าจะนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่
(ดาวน์โหลดเพื่ออ่านรายละเอียดคู่มือดังกล่าวได้ที่ http://kb.hsri.or.th/dspace/handle/123456789/3501 )
สำหรับเครือข่ายภาคประชาชนอย่างสุภัทรา นาคะผิว มองว่าใน การปฏิรูประบบการพิจารณาสิทธิบัตรยานั้นจะต้องมีสัดส่วนของเภสัชกรมากขึ้น เพราะปัจจุบัน คณะกรมการพิจารณาเรื่องนี้ไม่มีเภสัชอยู่เลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ายาตัวไหนใหม่หรือไม่ใหม่ นอกจากนี้ในการเจรจาเอฟทีเอไม่ว่ากับสหรัฐ หรืออียู ต้องระมัดระวังอย่างสูง รัฐต้องยึดหลักชัดเจนว่าการเจรจาต่อรองกันจะต้องไม่กระทบกระเทือนกับการเข้าถึงยาของประชาชน เพราะสองมหาอำนาจนี้มีบริษัทยายักษ์ใหญ่จำนวนมาก และประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญหาโดยเฉพาะสิทธิบัตรยาก็เป็นประเด็นใหญ่ในข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อเสนอเบื้องต้น แต่ท่ามกลางระบบที่เป็นอยู่ ก็ยังไม่มีทางออกที่น่าพอใจ
อัจฉรา เอกแสงศรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตยาชื่อสามัญที่มีราคาถูก และร่วมมือกับภาคประชาชนในการต่อสู้กับบรรษัทยาในคดีดีดีไอ ระบุว่า ที่ผ่านมา ‘เรา’ ทำกันได้เพียงเล็กน้อยในการตรวจสอบและต่อสู้กับการจดสิทธิบัตรที่ไม่สมควร ส่วนใหญ่ก็เป็นยาต้านไวรัส ซึ่งแล้วแต่ว่าเรารับรู้ข่าวสารหรือไม่ เมื่อไร แต่ไม่มี ‘ระบบ’ จับตา ตรวจสอบอย่างจริงจัง ทำให้ที่ผ่านมา มียาในลักษณะเดียวกันอีกหลายตัวที่เล็ดรอดได้สิทธิบัตรไปอย่างไม่ควรจะได้
นอกจากนี้เธอยังเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการต่อสู้เมื่อ 10 ปีที่แล้วในกรณีดีดีไอว่าประสบปัญหาและความยากลำบากในกระบวนการทางกฎหมายเพียงไร โดยเน้นว่าปัจจัยที่สำคัญในการต่อสู้คดีคือ ผู้พิพากษา หากโชคดีจะได้คนที่เข้าใจประเด็นอันสลับซับซ้อนทางยาได้ แต่ในบางกรณีก็จะพบว่าผู้พิพากษาไม่เข้าใจมากนัก
ที่น่าสนใจสำหรับงานอภิปรายคราวนี้ คือ เสียงจากผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลทรัพย์สินทางปัญญา คมน์ทะนงชัย ฉายไพโรจน์ ซึ่งแม้จะออกตัวว่าพูดได้ในเชิงวิชาการ ไม่สามารถพูดอะไรได้มากเพราะสถานะที่เป็นอยู่ แต่ก็ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ หลายประเด็น
คมน์ทะนงชัย กล่าวว่า สำหรับผู้พิพากษาในศาลทรัพย์สินทางปัญญานั้นคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะอยู่แล้ว แต่ต้องมีช่องให้ศาลสามารถพิพากษาได้ด้วย เขาเห็นว่า ตัวแปรสำคัญในการต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะสิทธิบัตรยา ก็คือ ‘ทนายความ’
“ทนายที่เก่งเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามีน้อยมาก โดยเฉพาะสิทธิบัตรยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ เพราะมันยากมากกว่าตัวอื่นๆ ท่านจะเอาเงินที่ไหนแพงๆ ไปจ่ายทนายเก่งๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไปอยู่บริษัทยา ไปอยู่ inter law firm หมด นี่คือปัญหาของท่าน ท่านต้องหาวิธีจะหาทนายเก่งมาฟ้องคดีเหล่านี้”
“เวลาเราพิจารณาพวกนี้ จากประสบการณ์ทำคดีทรัพย์สินทางปัญญามา 7-8 ปี จะเห็นว่าครึ่งหนึ่งที่แพ้คดีเพราะทนายไม่เก่งทรัพย์สินทางปัญญา เรานั่งฟังแล้วก็รู้สึกว่าทำไมไม่ถามประเด็นนี้ แต่เราพูดไม่ได้”
“คดีสิทธิบัตรที่มีการฟ้องเพิกถอน แล้วสั่งเพิกถอนมีประมาณ 80% ลองค้นสถิติดู เพียงแต่ท่านอย่านิ่งเฉย อย่าช้า การยื่นคำคัดค้านต่อกรมทรัพย์สินเป็นเรื่องจำเป็น”
คมน์ทะนงชัย กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้พิพากษาก็ต้องทำหน้าที่ภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้ และขณะนี้กำลังมีแก้ไขกฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับ ท่ามกลางการกดดันของพี่เบิ้มอย่างอเมริกา ที่ขณะนี้ก็กำลังบีบบังคับญี่ปุ่นแก้กฎหมายเหล่านี้อยู่ ประเทศไทยเองก็กำลังแก้อยู่ ขอให้ภาคประชาชนช่วยกันจับตาและตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
หัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษาในศาลทรัพย์สินทางปัญญายังกล่าวอีกว่า การทำงานของศาลทรัพย์สินทางปัญญานั้น ผู้พิพากษาต้องทำการบ้านอย่างหนัก และศึกษาปฏิญญา กฎหมายระหว่างประเทศจำนวนมาก หากมีข้ออ้างอิงกับสิ่งเหล่านี้ ภาคประชาชนต้องรวบรวมมาให้ครบถ้วนและยื่นต่อศาลด้วย เพื่อความสะดวกของผู้พิพากษา โดยยกตัวอย่างกรณีของดีดีไอที่ภาคประชาชนชนะคดี ก็จะเห็นว่า ศาลมีการหยิบยกปฏิญญามาใช้พิจารณาด้วย ทำให้ประเด็น “ผู้เสียหาย” ที่มีสิทธิฟ้องคดี ซึ่งโดยปกติตามวิแพ่ง วิอาญา ผู้ป่วยและเอ็นจีโอ ไม่อาจนับเป็นผู้เสียหายโดยตรงด้วยนั้นก็ถูกนับรวมในกรณีนี้ อีกทั้งยังมีการบรรยายในคำพิพากษาที่เป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญ คือ “ยาเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ แตกต่างจากทรัพย์สินอื่นที่ผู้บริโภคจะเลือกใช้หรือไม่ก็ได้”
“ถ้ามองในแง่คนใช้กฎหมายอยู่ทุกวัน กรณีดีดีไอสังคมไทยได้อะไร ผมยังมองว่าอาจจะได้บ้าง แต่ยังได้ไม่มากพอ เพราะเหตุว่าปัจจุบัน ยาบางตัว มันราคาแพงแล้วโอกาสเข้าถึงยามันยาก สังคมไทยได้เฉพาะเรื่องนี้หรือยาบางตัว แต่ยาอีกหลายๆ ตัวที่ได้รับสิทธิบัตรผูกขาดกัน แล้วภาคองค์กรพัฒนาเอกชน ท่านยังไม่ได้เทคแอคชั่นสักเท่าไร ดังนั้นเรื่องนี้น่าจะเป็นงานหลักมากๆ ของท่าน”
นอกจากข้อเรียกร้องโดยตรงไปยังภาคประชาชนแล้ว คมน์ทะนงชัย ยังแสดงความเห็นในทางส่วนตัวว่า หากเปรียบเทียบกฎหมายสิทธิบัตรของไทย กับอินเดีย อินโดนีเซีย กระทั่งอเมริกา จะเห็นได้ว่ากฎหมายเรานั้นสมบูรณ์แบบ เข้มงวดในการคุ้มครองผู้ประดิษฐ์อย่างมากมาก ในขณะนี้ที่ระดับคุณภาพชีวิตของเรายังต่ำกว่าญี่ปุ่นและอเมริกาหลายช่วงตัว
การต่อสู้เรื่องสิทธิบัตร กรณียาดีดีไอที่มา: เว็บไซต์เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แห่งประเทศไทย
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ติดเชื้อฯ ไม่สามารถเข้าถึงยาได้ คือ ยามีราคาแพง เนื่องจากมีการผูกขาดจากบริษัทยาต่างประเทศ ที่มีสิทธิบัตรยา |
* เรียบเรียงจากการประชุมเชิงวิชาการ ‘ครบรอบ 10 ปี คดีเพิกถอนสิทธิบัตรยาดีดีไอ วันที่ 17 ตุลาคม 2555 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดโดย แผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะรัฐศาสตร์