ทุ่ม 5 พันล้าน ปล่อยกู้ "ผู้ประกันตน" ไปทำงานตปท. เผยให้สิทธิรายละไม่เกิน 1 แสนบาท
นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำโครงการสินเชื่อเพื่อไปทำงานต่างประเทศของ สปส.ว่า บอร์ด สปส.ได้หารือกันถึงการดำเนินโครงการดังกล่าวโดยเห็นว่า เบื้องต้นแรงงานที่จะเข้าร่วมโครงการควรเป็นแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 และมาตรา 39 ซึ่งแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อออกจากงานแล้วไปทำงานต่างประเทศจะต้องเปลี่ยนไปเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 39 ส่วนแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 จะต้องเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมระยะหนึ่ง จึงจะเข้าร่วมโครงการได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม บอร์ด สปส.จึงได้มอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบศึกษาถึงความเหมาะสมของการกำหนดระยะ เวลาการเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม
นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า ส่วนเงินกองทุนประกันสังคมที่จะใช้ในโครงการนำมาจากเงินลงทุนด้านสังคม ซึ่ง สปส.จัดสรรวงเงินไว้ทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท และที่ผ่านมา ได้ใช้ดำเนินโครงการต่างๆ ทำให้ขณะนี้มีเงินเหลืออยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการ คาดว่าจะปล่อยกู้ให้แก่แรงงานที่จะไปทำงานต่างประเทศได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท เนื่องจากปัจจุบันการทำงานไปต่างประเทศไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสูงเหมือนในอดีต แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องอัตราดอกเบี้ยว่าควรเป็นร้อยละเท่าใด ส่วนข้อกังวลเมื่อโครงการปล่อยเงินกู้ไปแล้วจะเกิดปัญหาหนี้เสียตามมานั้น ได้วางระบบป้องกันปัญหานี้โดยใช้วิธีการหักเงินเดือนจากบัญชีเงินเดือนของ แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ เพื่อผ่อนชำระหนี้กับธนาคารที่ไปยื่นกู้ไว้
"ผมมองว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการควรสูงกว่าการปล่อยสินเชื่อภาย ในประเทศ แต่อัตราดอกเบี้ยไม่ควรเกินร้อยละ 10 ต่อปี เพราะธนาคารต้องวางระบบต่างๆ ในต่างประเทศเพื่อรองรับโครงการ เช่น การหักเงินเดือนจากบัญชีเงินเดือนเพื่อผ่อนชำระหนี้เงินกู้ การโอนเงินส่งกลับมาเมืองไทยของแรงงาน โดยธนาคารจะได้รับประโยชน์ในส่วนของเงินค่าธรรมเนียมการโอนเงิน" นพ.สมเกียรติกล่าว และว่า จากการที่คณะทำงานโครงการได้หารือกับตัวแทนธนาคารต่างๆ เบื้องต้นมีหลายธนาคารที่เสนออัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7-8 เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งอยู่ในอัตราที่ไม่สูงเกินไป จึงได้ขอให้ธนาคารต่างๆ เร่งส่งข้อมูลอัตราดอกเบี้ยให้คณะทำงานพิจารณาในเดือนตุลาคม และนำเสนอบอร์ด สปส.ต่อไป
(มติชน, 8-10-2555)
เตือนแรงงานไทย เปิดเน็ต-ไปนอก
มหาสารคาม - นางสาวทัศนีย์ จิตต์ทองกุล จัดหางานจังหวัดมหาสารคาม เปิดเผยว่าปัจจุบันขบวนการฉ้อโกงทางอินเตอร์เน็ตมีรูปแบบลักษณะหลอกลวงที่ หลากหลายและพัฒนาเทคนิคการหลอกให้แนบเนียนมากยิ่งขึ้น โดยเสนองานทางอินเตอร์เน็ตไปต่างประเทศก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้มีคนไทยตก เป็นเหยื่อ ล่าสุดหลอกไปประเทศมาเลเซีย ด้วยอัตราค่าจ้างที่สูงและสวัสดิการเพื่อจูงใจให้หลงเชื่อ โดยคนงานจะต้องบันทึกคำให้การอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรและรับรองเอกสารกับศาล ยุติธรรมมาเลเซีย ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยการให้โอนเงินให้และหลังจากนั้นจะแจ้งให้โอนเงินให้อีก โดยอ้างว่าเป็นค่ารับรองเอกสารกับหน่วยงานทางราชการ
ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการเสนองานทางอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะการเสนอ ตำแหน่งงานในต่างประเทศ ควรตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทนายจ้างก่อนตัดสินใจ หรือติดต่อสถานทูตไทย หรือสำนักงานแรงงานไทยให้ช่วยตรวจสอบก่อนทุกครั้งและไม่ควรจ่ายเงินล่วงหน้า ใดๆ
(ข่าวสด, 9-10-2555)
ผู้ประกันตน"เอดส์-ไต"เซ็ง ย้ายสิทธิติดกม.ความลับฯ
หลังจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณสุขใน 3 กองทุนสุขภาพของรัฐ โดยขยายการรักษาที่เท่าเทียมไปยังกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและ กลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีการประชุมชี้แจงการสร้างความเป็นเอกภาพ และบูรณาการสิทธิประโยชน์ให้แก่สถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ทั้งนี้ นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มที่ต้องเปลี่ยนสิทธิการรักษาต้องดำเนินการแบ่งเป็น 6 กรณี คือ 1.จากสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง เป็นประกันสังคม ผู้ประกันตนจะได้สิทธิหลังจ่ายเงินสมทบครบ 90 วัน ผู้ป่วยเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญา และโรงพยาบาลที่จะรักษาอาจเป็นคนละโรงพยาบาลก็ได้ 2.จากสิทธิประกันสังคมเป็นสิทธิบัตรทอง ผู้ประกันตนยังคงสิทธิหลังออกจากงาน 180 วัน ผู้ป่วยเลือกลงทะเบียนหน่วยบริการประจำ และเลือกโรงพยาบาลที่จะรักษาอาจเป็นคนละโรงพยาบาลก็ได้ 3.จากสิทธิบัตรทองเป็นสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ได้รับสิทธินับจากวันบรรจุ โดยจะไม่มีระบบลงทะเบียน ผู้ป่วยต้องติดต่อโรงพยาบาลของรัฐที่สะดวกเข้ารับการรักษา 4.จากสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ เป็นสิทธิบัตรทอง ได้รับสิทธิบัตรทองทันทีหลังจากสิ้นสุดสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ผู้ป่วยเลือกลงทะเบียนหน่วยบริการประจำและเลือกโรงพยาบาลที่จะรักษาอาจเป็น คนละโรงพยาบาล 5.จากสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจเป็นสิทธิประกันสังคม ผู้ประกันตนได้สิทธิหลังจ่ายเงินสมทบครบ 90 วัน และเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาและโรงพยาบาลรักษาที่อาจจะเป็นคนละแห่งก็ได้ และ 6.จากสิทธิประกันสังคมเป็นสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกันตนยังคงสิทธิหลังออกจากงาน 180 วัน ไม่มีระบบลงทะเบียนให้ผู้ป่วยติดต่อเลือกโรงพยาบาลของรัฐที่สะดวกเข้ารับการ รักษา
"ทั้ง 6 กรณี ผู้ป่วยสามารถเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาแตกต่างจากโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษา ได้เฉพาะที่เป็นโรงพยาบาลรัฐบาลเท่านั้น และในการย้ายโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องแสดงความจำนงแก่ผู้ประสานของโรงพยาบาลเดิม เพื่อขอข้อมูลทางการแพทย์ไปให้โรงพยาบาลใหม่ เนื่องจากไม่มีระบบออนไลน์ เพราะข้อมูลของผู้ป่วยจะต้องเป็นความลับตามที่กฎหมายกำหนด" นพ.พีรพลกล่าว
นางสุพัชรี มีครุฑ ผู้ตรวจราชการ สปส. กล่าวว่า ในส่วนของผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตน ทั้งที่เป็นผู้ประกันตนเดิม และผู้ที่เปลี่ยนจากสิทธิอื่นไปเข้าประกันสังคม หากเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาเป็นโรงพยาบาลเอกชน จะไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลรักษาเป็นโรงพยาบาลอื่นได้ ต้องรักษากับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญาที่ระบุในบัตรประกันสังคมเท่านั้น เนื่องจากระบบของ สปส.จะทำสัญญากับโรงพยาบาลคู่สัญญาเท่านั้น แต่หากเป็นผู้ประกันตนที่โรงพยาบาลตามบัตรเป็นโรงพยาบาลสังกัด สธ. จะได้รับการอนุโลมให้เข้ารักษาในโรงพยาบาลสังกัด สธ.อื่น ที่ไม่ใช่โรงพยาบาลตามบัตรได้ แต่ต้องอยู่ภายในโรงพยาบาลเดียวกัน
"สำหรับสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยทั้งสิทธิประกันสังคมและสิทธิบัตรทอง เห็นว่ามีความแตกต่างแค่ในส่วนของเงินที่จ่ายเท่านั้น เช่น กรณีการตรวจซีดีโฟร์ (CD4) ผู้ป่วยเอดส์ สปส.จ่าย 500 บาทต่อการตรวจรู้ผล ขณะที่ สปสช.จ่าย 400 บาท หรือการตรวจปริมาณไวรัสในร่างกายที่ สปส.จ่าย 2,500 บาทต่อการตรวจรู้ผล ส่วน สปสช.จ่ายชดเชยเป็นน้ำยา 1.1 เท่า พร้อมค่าบริหารจัดการ 250 บาท เป็นต้น ซึ่งในอนาคต สปส.จะพยายามให้ได้มาตรฐานเดียวกัน" นางสุพัชรีกล่าว
(ประชาชาติธุรกิจ, 9-10-2555)
ราชภัฏขอพนักงานเป็นขรก. ชี้ออกนอกระบบไม่ส่งผลต่อคุณภาพ
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. จากการประชุมคณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์บริหารงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ตามแนวทางการปฏิรูประบบราชการ ผศ.ดร.ณรงค์ พุทธิชีวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (มรส.) ประธานคณะกรรมการฯ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ คณะกรรมการฯ ได้เสนอว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏต้องมีทางเลือก 3 ทาง ดังนี้ 1. เป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการ 2. เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และ 3. เป็นมหาวิทยาลัยทิศทางใหม่ โดยหน่วยงานบางส่วนอยู่นอกระบบราชการ แต่เป็นหน่วยงานในกำกับ
ผศ.ดร.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมเห็นควรให้ดำเนินการพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏตามแนวทางการปฏิรูปของ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และจะเสนอให้ทบทวนมติ ครม.เพื่อขอเปลี่ยนพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการ โดยมีหลักการดังนี้ 1. ขอคืนอัตราข้าราชการที่เกษียณแล้วให้กลับมาเป็นข้าราชการ 2. ขอให้เปลี่ยนอัตราพนักงานที่จะขอเพิ่มเติมให้เป็นข้าราชการ และ 3. ขอให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีโอกาสเลือกในการปรับเป็นข้าราชการหรือคงสถานภาพ เดิม ทั้งนี้ จะได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของพนักงานมหาวิทยาลัยที่สังกัดมหาวิทยาลัย ราชภัฏทั่วประเทศ โดยให้อธิการบดีดำเนินการตรวจสอบความต้องการของแต่ละมหาวิทยาลัย เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะได้ประชุมร่วมกับ คปร.ต่อไป
“อุดมศึกษา ไม่ควรมีทางเลือกเดียว หากอ้างว่าจำเป็นต้องออกนอกระบบเพื่อให้เกิดคุณภาพ ก็ต้องพิจารณาว่า ตลอดระยะเวลา 4–5 ปีที่ผ่านมา เวลามีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับอยู่ในระดับบนจะเป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการ หรืออย่างน้อยก็อาศัยระบบราชการเป็นกลไกหล่อเลี้ยง นั่นหมายความว่า การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพของมหาวิทยาลัยอย่างมีนัย สำคัญ” ผศ.ดร.ณรงค์ กล่าว.
(ไทยรัฐ, 9-10-2555)
ปราจีนบุรี-พนง.แพน ประท้วงจ่ายค่าชดเชยหลังถูกไล่ออก
(10 ต.ค) กลุ่มพนักงานบริษัทกบินทร์บุรี แพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด ตั้งอยู่บริเวณ หมู่ 5 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จำนวนกว่า 300 คน ได้มารวมตัวกันที่หน้าบริษัท เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยหลังจากที่บริษัทหยุดกิจการ และ ปลดพนักงานเกือบทั้งหมดออก อีกทั้งไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้ตามที่กรมแรงงานกำหนด โดยตั้งเวทีปราศรัยบนถนนสายสุวรรณศรสายเก่า กบินทร์แพน-เทศบาลตำบลกบินทร์ ปิดช่องทางการจราจร 1 ช่องทาง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กบินทร์บุรี คอยอำนวยความสะดวก
นางนวลจันทร์ อินทร์ธิรักษ์ พนักงานฝ่ายผลิต เปิดเผยว่า ถูกบริษัทประกาศเลิกจ้างตั้งวันที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยให้ค่าตอบแทนแค่ 25% แต่พนักงานทุกคนไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เพราะบริษัทเป็นโรงงานกลุ่มแพนที่ผลิตรองเท้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกเพื่อ ส่งออก แต่จู่ๆ มาบอกเลิกจ้างโดยอ้างโรงงานไม่มีออเดอร์จากต่างประเทศ จึงทำให้โรงงานขาดสภาพคล่อง และค่าใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับต้นปีหน้าทางรัฐบาลได้ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทเลิกจ้าง ส่วนพนักงานที่มีเงินเดือนประจำจะถูกโอนย้ายไปทำที่บริษัทในเครือ แต่จะไม่ต่อสัญญาให้ ส่วนพวกตนทำมานานกว่า 10-20 ปี จึงออกมาเรียกข้อเงินค่าสวัสดิการที่ควรได้ทั้งหมดเต็ม 100% ถ้าไม่ได้จะใช้มาตรการที่รุนแรง และอาจปิดถนนสายสุวรรณศรทั้งหมด
(ครอบครัวข่าว, 10-10-2555)
กองทุนประกันสังคมเล็งลงทุนเพิ่มใน ตปท.200 ล้านดอลล์ ปลายปีนี้-ต้นปีหน้า
นายวิน พรหมแพทย์ หัวหน้างานลงทุนต่างประเทศและอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า กองทุนประกันสังคมมีแผนจะเข้าลงทุนเพิ่มในตลาดต่างประเทศจำนวนเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงประมาณปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการลงทุนในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 5% จากปัจจุบัน 3% โดยกองทุนจะเน้นลงทุน Emerging market ได้แก่ โปแลนด์ เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น
ทั้งนี้ วงเงิน 200 ล้านดอลลาร์จะแบ่งลงทุน 3 กล่ม ได้แก่ 1) พันธบัตรประเทศที่มีความมั่นคงสูง และมีระดับหนี้ภาครัฐต่ำสัดส่วน 60% 2)หุ้นต่างประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าจำเป็น เช่น อุปโภคบริโภค ค้าปลีก และเวชภัณฑ์ สัดส่วน 25% และ 3) กองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศที่มีรายได้จากค่าเช่ามั่นคง สัดส่วน 15% โดยจะมอบหมายให้ บลจ.ธนชาต ร่วมกับบริษัทจัดการกองทุนต่างประเทศ จัดตั้งกองทุน private fund
นายวิน กล่าวว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ กองทุนฯสามารถทำกำไรได้แล้ว 2.1 หมื่นล้านบาท มาจากดอกเบี้ยรับ 1.6 หมื่นล้าน ที่เหลือเป็นเงินปันผลจากการลงทุนในหุ้น และทั้งปี 55 ตั้งเป้าทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 4 หมื่นล้านบาท
ในระยะยาวกองทุนประกันสังคมจะมีอัตราผลตอบแทนที่ระดับ 5.5 - 6% เพราะต้องมีภาระจ่ายบำนาญเพิ่มขึ้น ที่เริ่มจ่ายในปี 2556 และต้องจ่ายมากที่สุดในปี 2570 ซึ่งกองทุนฯเน้นลงทุนระยะยาวรวมทั้งผลตอบแทนที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง จึงสนใจที่จะลงทุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่เห็นว่าประเทศในอาเซียนจะมีความต้องการมากขึ้น หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เช่น ประเทศไทย อินโดนีเซีย
สำหรับปีที่ผ่านมากองทุนมีอัตราผลตอบแทน 6.40% และเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 7.17% รวมทั้งมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 7.55% ต่อปี
ทั้งนี้ สิ้นมิ.ย.55 พอร์ตลงทุนมีจำนวน 9.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล,พันธบัตรธปท.และตั๋วเงินคลัง 6 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 66.18% พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (กระทรวงคลังค้ำประกัน) 8.2 หมื่นล้านบาท หรือมีสัดส่วน 8.9% หุ้นกู้เอกชน(อยู่ในอันดับความน่าเชื่อถือ) 4.1 หมื่นล้านบาท หรือมีสัดส่วน 4.46%
เงินฝากธนาคาร 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.24% ตราสารหนี้รัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท หรือสัดส่วน 5.41% นอกจากนี้การลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนต่างประเทศ 3.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.03% และลงทุนหุ้นไทย 8 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 8.77%)
(อินโฟเควสท์, 10-10-2555)
"ทีดีอาร์ไอ" ชี้ประชานิยม "จบใหม่" เงินเดือน 1.5 หมื่น ทำ "ป.ตรี" เตะฝุ่นปีหน้า 1.6-1.7 แสนคน
นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีปี 2556 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือ 1.6-1.7 แสนคน จากปัจจุบันที่มี 1.45 แสนคน นายยงยุทธกล่าวว่า อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ บวกกับการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท/เดือน ในปี 2557 เพราะปัจจัยทั้ง 2 ประการทำให้นายจ้างคงอัตราการจ้างงานไว้เท่าเดิม ไม่จ้างคนใหม่เพิ่ม "หากดูตัวเลขอัตราการว่างงานหลังจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในเดือน เม.ย. จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจาก 0.7% เป็น 0.8% หรือเพิ่มจากประมาณ 3 แสน เป็น 4 แสนคน แสดงให้เห็นว่านายจ้าง Freeze ตำแหน่งงานไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบหนักต่อผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่จะสำเร็จการศึกษาใน เดือน ก.พ.ปีหน้า" นอกจากนี้แล้ว การเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาทในปี 2557 แม้จะเพิ่มเฉพาะฝั่งข้าราชการ แต่จะมีผลกระทบในเชิงจิตวิทยาให้เอกชนปรับเงินเดือนเพิ่มตามไปด้วย และชะลอการจ้างงานใหม่ลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์แม้จะมีความต้องการแรงงานเพิ่ม และคาดว่าจะดูดซับแรงงานได้ประมาณ 1 แสนคน แต่เชื่อว่าจะเน้นจ้างงานผู้จบการศึกษาระดับ
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-10-2555)
ลุ้นอัตราจ้าง สอศ.ขึ้นพนักงานราชการ 1 หมื่นอัตรา
เมื่อวันที่ 11 ต.ค. นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าในการผลักดันกลุ่มครูและเจ้าหน้าที่ชั่วคราวในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 19,998 คน เปลี่ยนสถานะเป็นพนักงานราชการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงานว่า นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามที่ สอศ.ได้เสนอแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนด เป็นวาระการประชุม ครม.
ทั้งนี้ สำหรับตนแล้วไม่มั่นใจว่า ครม.จะจัดสรรให้ทั้งหมด เพราะอาจจะติดขัดในเรื่องของงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินการ เนื่องจากกรอบอัตรากำลังจำนวนนี้ไม่ได้จัดขอไว้ในหมวดงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี 2556 ซึ่งหาก ครม.จะอนุมัติให้ก็คงต้องใช้เม็ดเงินจากงบประมาณกลางของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเงินประมาณ 3,600 ล้านบาท แต่ถ้าอนุมัติให้ก่อนครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 10,000 อัตรา ก็จะใช้เม็ดเงินประมาณ 1,800 ล้านบาท
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า หาก ครม.อนุมัติให้เปลี่ยนสถานะครูและเจ้าหน้าที่ของ สอศ.เป็นพนักงานราชการก่อนครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 10,000 อัตรา ตนได้มอบเป็นนโยบายให้กับนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด สอศ.ไว้ล่วงหน้าว่า ร้อยละ 80 ของจำนวนที่ได้รับอนุมัติมาให้พิจารณาตามหลักความอาวุโส ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 ให้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีและ ครม.เมตตาในเรื่องนี้ อย่างน้อยแต่ละวิทยาลัยก็จะยังพอเหลือเงินจากค่าใช้จ่ายรายหัวของนักเรียน นักศึกษา ซึ่งแต่ละปีต้องนำมาใช้จ้างครูและเจ้าหน้าที่อัตราจ้างชั่วคราว จะได้นำมาใช้ในการพัฒนาวิทยาลัยในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนต่อไป.
(ไทยรัฐ, 11-10-2555)
พนง.ผลิตรองเท้าส่งออกบุกศาลากลางปราจีนฯ ทวงสิทธิเงินค่าถูกเลิกจ้าง
(11 ต.ค.) พนักงานบริษัท กบินทร์บุรีแพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด กว่า 300 คนได้รวมกลุ่มประท้วงหน้าศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเลิกจ้าง โดยมีนายสมสกุล โมราวรรณ อายุ 40 ปี เป็นแกนนำ
ทั้งนี้ พนักงานดังกล่าวได้ถูกบอกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.55 โดยอ้างว่าประสบภาวะขาดทุนทำให้ต้องเลิกจ้างพนักงาน และบริษัทจะจ่ายให้พนักงานเพียง 30% แต่พนักงานไม่ยอมจึงมีการชุมนุมเรียกร้องสิทธิดังกล่าว
นอกจากนั้น ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้แก่นายอรุณ พุมเพรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งข้อเรียกร้องประกอบด้วย ขอให้ทางบริษัทออกใบรับรองการทำงาน ใบผ่านงานจากบริษัท โดยระบุว่า บริษัทปิดกิจการเลิกจ้าง และไม่ให้พนักงานเขียนใบลาออก ขอให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมาย มาตรา 118 ขอให้หน่วยงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานให้การดูแลและบรรเทาความเดือดร้อนให้ แก่ลูกจ้าง โดยให้มีการเจรจากับบริษัทฯ ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทไม่ยอมพูดคุยเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
สำหรับบริษัท กบินทร์บุรีแพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด ได้ทำการผลิตรองเท้าส่งออกต่างประเทศยี่ห้อดัง เช่น โปโล, ฮัมเมล เป็นรองเท้าส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และทวีปยุโรป ทางบริษัทรับทำยี่ห้ออื่นๆ อีกหลายยี่ห้อ
ด้านนายอรุณ พุมเพรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ได้เรียกประชุมตัวแทนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจำนวน 15 คนที่ห้องประชุมชั้น 2 พร้อมกล่าวว่า จังหวัดปราจีนบุรีจะดูแลเรื่องนี้ และขอให้ทุกคนขึ้นทะเบียนคนว่างงานไว้ พร้อมจะประสานบริษัทฯ ให้คิดค่าตอบแทนต่อรองกับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างต่อไป หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-10-2555)
ก.แรงงาน ชู 3 มาตรการ เตรียมพร้อมรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 55 นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นวันละ 300 บาทใน 70 จังหวัด ซึ่งเริ่มมีผลในวันที่ 1 ม.ค. 56 ว่า กระทรวงแรงงานได้วางมาตรการไว้ 3 มาตรการ ได้แก่ 1. การให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กรมการจัดหางาน (กกจ.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และสำนักงานประกันสังคมทั้งในส่วนกลางและจังหวัด บูรณาการการทำงานร่วมกันโดยลงพื้นที่ไปรับพูดคุยกับสถานประกอบการภายใน จังหวัด โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็ม เพื่อขอความร่วมมือปรับขึ้นค่าจ้างตามกฎหมาย และรับฟังปัญหาและผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง รวมทั้งชี้แจงถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล เช่น มาตรการการลดภาษี นอกจากนี้ ให้ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานในจังหวัดต่างๆ ไปพูดคุยกับสถานประกอบการ เพื่อเร่งพัฒนาฝีมือแรงงานตามความต้องการของสถานประกอบการเพื่อเพิ่มผลผลิต
2. การสำรวจและเก็บข้อมูลผู้ว่างงานและตกงาน เนื่องจากผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างโดยให้ กกจ.จัดหาตำแหน่งงานรองรับ และ 3. การส่งเสริมการมีงานทำโดยการจัดฝึกอบรมวิชาชีพ เพื่อประกอบอาชีพอิสระโดยเฉพาะแรงงานและประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
"ถึงวันนี้ประเทศไทยจะต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อยกระดับทักษะ ฝีมือและคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยให้ดีขึ้น ทำให้แรงงานไทยมีศักยภาพแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนได้เพราะเหลือไม่ถึง 3 ปีข้างหน้า ไทยจะต้องก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ขณะนี้ทุกประเทศในอาเซียนปรับขึ้นค่าจ้างกันไปหมดแล้ว กระทั่งบางประเทศ เช่น มาเลเซียมีอัตราค่าจ้างสูงกว่าไทย อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบทำให้แรงงานตกงานเป็น จำนวนมาก เนื่องจากเวลานี้ไทยประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างมาก แต่สิ่งที่กระทรวงแรงงาน หน่วยงานรัฐและเอกชนต่างๆ จะต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาทักษะฝีมือทักษะภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนให้แก่แรงงานไทยเพื่อรอง รับเออีซี"
(คมชัดลึก, 12-10-2555)