จดหมายเปิดผนึกถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี)
กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ เขื่อนราษีไศล-เขื่อนหัวนา
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕
เรื่อง การแก้ไขปัญหากรณีผลกระทบจากโครงการเขื่อนราษีไศลและโครงการเขื่อนหัวนา
ตามที่รัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และภาคประชาชนในนามองค์กรเครือข่ายชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ได้มีการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาผลกระทบจากกรณีเขื่อนทั้งสองเขื่อนจนเกิดผลเป็นรูปธรรมในบางส่วน เช่น การแต่งตั้งประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหากรณีเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา และการอนุมัติ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบอนุมัติในหลักการจ่ายเงินชดเชยแก่ราษฎร เป็นเงิน ๑๓๓,๕๔๒ ล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าวได้ เหตุเพราะกรมชลประทานยังไม่มีงบประมาณดำเนินการ
ปัจจุบันก็ยังมีปัญหาอุปสรรคอีกหลายด้าน และหลายเรื่องที่ไม่สามารถดำเนินการต่อเนื่องให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา และมีความจำเป็นที่จะต้องปรึกษาแนวทางด้านนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้เป็นแนวทางในการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งแยกออกเป็นรายกรณีดังนี้
ก.กรณีเขื่อนราษีไศล
ความเป็นมา
เมื่อมีการเก็บกักน้ำได้เกิดผลกระทบขึ้นอย่างกว้างขวาง จึงทำให้ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผ่านมาแล้วกว่า ๑๐ รัฐบาล
ภายหลังการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรมปี ๒๕๔๕ เป็นผลให้การแก้ปัญหาเขื่อนราษีไศลถูกโอนมาอยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จากการออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องของชาวบ้านในนามสมัชชาคนจนราษีไศล-หัวนา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ จนถึงปัจจุบัน ได้เกิดแนวทางการแก้ไขปัญหา คือ (๑) การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการเขื่อนราษีไศล เพื่อพิจารณาชดเชยการสูญเสียที่ดินทำกินของราษฎร ปัจจุบันคงเหลืออีกประมาณร้อยละ ๓๐ (๒) การศึกษาวิจัยผลกระทบด้านสังคม โดยสถาบันวิจัยสังคมของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ปัจจุบันผลการศึกษาดังกล่าวได้ผ่านมติรับทราบและเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีแนวทางในการป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบอย่างยั่งยืน ดังนี้
๑. แผนแก้ไขและป้องกันผลกระทบ
๑) การแก้ไขผลกระทบจากการสูญเสียที่ดินและพื้นที่การใช้ประโยชน์
๑.๑. การจ่ายค่าชดเชยที่ดิน ๑.๒จ่ายค่าสูญเสียรายได้จากการใช้ประโยชน์ในบุ่งทาม ๑.๓ ให้ตั้งคณะทำงาน/กรรมการชดเชยผลกระทบ
๒) การแก้ไขและป้องกันผลกระทบทางกายภาพ
๒. แผนควบคุมติดตาม/เฝ้าระวัง/ใช้ประโยชน์
๑) การตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเขื่อนราศีไศล ๒) การศึกษาเพื่อติดตามสถานภาพผลกระทบและประเมินผลทุก ๕ ปี (คณะทำงาน/ทีมประเมินผล) ๓) การตั้งกองทุนเพื่อประกันความเสี่ยง ๔) การตั้งอาสาสมัครเฝ้าระวัง-พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
๕. แผนการจัดการความรู้พื้นที่ชุ่มน้ำป่าทาม
กลไกลในการแก้ไขปัญหา
๒. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการศึกษาและแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการเขื่อนราษีไศล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเป็นประธาน เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ครอบคลุมครบทุกด้าน จะต้องมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน ๕ ชุด เพื่อร่างแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหา และนำเสนอต่อ คณะรัฐมนตรี
๑. คณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการบริหารเขื่อนราศีไศล(ตั้งแล้ว)
๒. คณะอนุกรรมการแก้ไขและป้องกันผลกระทบทางกายภาพ(ตั้งแล้ว)
๓. คณะอนุกรรมการด้านการฟื้นฟูชีวิตชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติ (ตั้งแล้ว)
๔. คณะอนุกรรมการจัดการองค์ความรู้พื้นที่ชุ่มน้ำป่าทาม(ตั้งแล้ว)
๕. คณะอนุกรรมการศึกษาและพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จากการสูญเสียป่าทามที่เป็นแหล่งประกอบอาชีพและยังชีพ(ยังไม่ได้ตั้ง)
ปัญหาและอุปสรรค
๑. กรณีค่าชดเชยที่ดินยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ที่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจริงทั้งหมด
๒. กรณีการแก้ไขปัญหาตามผลการศึกษา ปัจจุบันคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการเขื่อนราษีไศล ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเป็นประธานได้แต่งตั้งอนุกรรมการ จำนวน ๔ ชุดแต่ในปัจจุบันยังเหลืออีกคณะอนุกรรมกรรอีก ๑ ชุด ที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง คือ คณะอนุกรรมการศึกษาและพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จากการสูญเสียป่าทามที่เป็นแหล่งประกอบอาชีพและยังชีพ ตามผลการศึกษา
แนวทางในการแก้ไขปัญหา เสนอต่อรัฐบาล
๒. เร่งรัดให้มีการประชุมอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการเขื่อนราษีไศลระดับจังหวัดทั้ง ๓ จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ และศรีสะเกษ เพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน
๓. เร่งดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาและพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จากการสูญเสียป่าทามที่เป็นแหล่งประกอบอาชีพและยังชีพ หรือ ค่าสูญเสียรายได้จากการใช้ประโยชน์บุ่งทาม ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยสังคมของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ซึ่งมีมติ ครม. เห็นชอบไปแล้ว
๔. รัฐบาลควรเร่งรัดการแก้ไขปัญหากรณีผลกระทบจากเขื่อนราษีไศลให้แล้วเสร็จทุกกรณี เนื่องจากราษฎรได้รับความเดือดร้อนมานานกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว
ข.กรณีเขื่อนหัวนา
ความเป็นมา
ในการก่อสร้างเขื่อนหัวนา ไม่ได้มีการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมก่อนการก่อสร้าง ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชน และไม่มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ เช่นเดียวกับเขื่อนราษีไศล ทำให้ชาวบ้านในเขตพื้นที่เขื่อนหัวนามีความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การอพยพชาวบ้านออกจากหมู่บ้าน และยังมีความกังวลว่าน้ำอาจท่วมที่ทำกิน เมื่อมีการเก็บกักน้ำแล้วได้ส่งผลกระทบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการสูญเสียป่าทามและที่ทำกินของชาวบ้าน โดยไม่ได้รับการดูแลแก้ไขจากรัฐบาล ซึ่งมีกรณีเขื่อนราษีไศลเป็นตัวอย่าง และด้วยกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา ทำให้เพิ่มความกังวลให้กับชาวบ้าน เช่น
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ได้ให้ข้อมูลกับสภาตำบลในพื้นที่ว่า จะก่อสร้างเป็น “ฝายยาง” เพื่อเก็บน้ำไว้เพียงระดับตลิ่งแม่น้ำมูน โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ณ บ้านหัวนา ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ แต่เมื่อลงมือก่อสร้างกลับสร้างเขื่อนคอนกรีต ขนาด ๑๔ บานประตู ณ บ้านกอก ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากที่ตั้งเดิม ตามลำน้ำเป็นระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร
การก่อสร้างหัวงานของโครงการ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน จ่ายค่าชดเชยที่ดิน
การสร้างพนังกั้นน้ำ บริษัทรับเหมามาขุดดินในที่สาธารณะของชุมชน และที่ดินของ
พนังกั้นน้ำเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน
พ.ศ.๒๕๓๖ ในพื้นที่ อ.ราษีไศล อ.อุทุมพรพิสัย กรมที่ดินได้ร่วมกับสภาตำบล ออก
พ.ศ.๒๕๔๓ กรมพัฒนาฯร่วมกับชาวบ้านปักหลักเขตระดับน้ำ ๑๑๕ ม.รทก. แต่ในช่วง
ด้วยความวิตกกังวลของชาวบ้านดังกล่าวนั้น เมื่อมีการเก็บกักน้ำของเขื่อนราษีไศลซึ่งได้เกิดผลกระทบที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนและรุนแรง ทำให้ชาวบ้านในเขตพื้นที่เขื่อนหัวนาได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาในนามสมัชชาคนจน จึงได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อคราวประชุมวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ดังนี้
๑) เห็นชอบให้ระงับการถมลำน้ำมูนเดิมไว้ก่อน เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
๒) เห็นชอบให้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดโครงการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.๒๕๔๐
๓) เห็นชอบให้ตรวจสอบทรัพย์สินของราษฎรที่คาดว่าจะเสียหายจากการดำเนินโครงการฝายหัวนาร่วมกับราษฎร
ภายหลังการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรมปี ๒๕๔๕ เป็นผลให้การแก้ปัญหาเขื่อนราษีไศลถูกโอนมาอยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กลไกการแก้ไขปัญหา
๑. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ มีมติ รับทราบผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม โครงการเขื่อนหัวนา และเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการเขื่อนหัวนา โดยมีรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
๒. ปัจจุบัน ปี ๒๕๕๕ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการเขื่อนหัวนา โดยมีนายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา จำนวน ๓ ชุด ได้แก่
๑) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดศรีสะเกษ
๒) คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดอุบลราชธานี
๓) คณะอนุกรรมการสืบเสาะราคาที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธ์
๓. แนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาวโดยดำเนินการตามแผนฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นตามผลการศึกษา โดยจะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนฟื้นฟู อีก ๑ คณะ
ปัญหาอุปสรรค
๑. ปัจจุบันการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่เกิดความล้าช้าเนื่องจากกรมชลประทานมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการไม่พอเพียงต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหา
๒. การถมลำน้ำมูนเดิมของกรมชลประทาน ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามสัญญาที่ทำร่วมกับบริษัทเอกชน ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในปลายปี ๒๕๕๕ นี้ ซึ่งจะนำไปสู่การกักเก็บน้ำในอนาคต โดยใช้งบประมาณกว่า ๗๘ ล้านบาท แต่การแก้ไขปัญหาผลกระทบให้กับราษฎรกลับล่าช้า ทำให้ราษฎรในพื้นที่เกิดความวิตกกังวลว่าจะมีการปิดประตูเขื่อนกักเก็บน้ำก่อนการจ่ายค่าชดเชย และจะเกิดความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหา ซ้ำรอยเขื่อนราษีไศล
๓. การกำหนดขอบเขตอ่างเพื่อกักเก็บน้ำในระดับ +๑๑๒ ม.รทก. และจ่ายค่าชดชดเชยในระดับ +๑๑๔ ม.รทก. โดยคำนิยามของกรมชลประทานตามมติ ครม. นั้นจะมีการดำเนินการจ่ายในระดับ +๑๑๔ ม.รทก. กับพื้นที่ทั้งหมดจากหน้าเขื่อนหัวนาจนเขื่อนราษีไศลนั้นทำให้การจ่ายค่าชดเชยไม่ครอบคลุมพื้นที่ได้รับผลกระทบจริง ดังนั้นมติที่ประชุมของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดศรีสะเกษ วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานดำเนินด้านการปักขอบเขตอ่าง เมื่อระดับน้ำที่หน้าเขื่อนหัวนาอยู่ในระดับ +๑๑๒ ม.รทก. และ +๑๑๔ ม.รทก. เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจ่ายค่าชดชดเชย โดยได้มีการดำเนินการปักขอบเขตอ่างร่วมกันระหว่าง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ราษฎร ในพื้นที่ กรมชลประทาน และคณะทำงานปักขอบเขตอ่าง ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นช่วงฤดูน้ำลด อยู่ในระดับ +๑๑๔ มร.ทก ที่หน้าเขื่อนหัวนา พร้อมกับการจัดทำแผนที่ตามขอบเขตที่ได้รับผลกระทบจริง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการนำเอา เอกสารสำคัญ รว๔๓ก. มาทาบกับแผนที่ขอบเขตอ่างในระดับ +๑๑๔ มร.ทก ที่หน้าเขื่อนหัวนา เพื่อคัดแยกรายชื่อและจำนวนแปลงที่ดินที่ได้รับผลกระทบจริงตามแผนที่ดังกล่าว ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการระดับจังหวัดและคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีรองนายกเป็นประธาน ในการจ่ายค่าชดเชยต่อไป ซึ่งชาวบ้านยังมีความกังวลใจว่าหากรัฐบาลไม่ดำเนินการจ่ายตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ตามผลการปักขอบเขตของคณะทำงานวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ แล้ว ก็จะเกิดกรณีปัญหา “นานอกอ่าง” และแก้ไขไม่แล้วเสร็จ ขาดความเป็นธรรมและสร้างปัญหาต่อเนื่อง เหมือนเช่นกรณีเขื่อนราศีไศล
๔. กรมชลประทานยังมีความพยามสร้างผนังกั้นน้ำ DIKE หรือคันเขื่อน ในพื้นที่โครงการเขื่อนหัวนามาตลอด ทั้งที่ยังไม่ได้แก้ไขปัญหากรณีค่าชดเชยราษฎรผู้เดือดร้อนให้แล้วเสร็จ และไม่มีแนวทางการศึกษาผลกระทบจากคันเขื่อนหรือผนังกั้นน้ำก่อนการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งกรณีตัวอย่างเขื่อนราษีไศลได้เกิดปัญหาพื้นที่นานอกอ่างที่แก้ไขไม่แล้วเสร็จมาจนถึงปัจจุบัน
แนวทางในการแก้ไขปัญหา เสนอต่อรัฐบาล
๒. ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยการจัดสรรเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องและจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการอย่างเพียงพอ
๓. ผู้เดือดร้อนจากโครงการเขื่อนหัวนาและชาวบ้านกลุ่มสมัชชาคนจนเขื่อนหัวนา ยังยืนยันข้อเรียกร้องเดิม คือ ให้มีการจ่ายค่าชดเชยให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินการปิดประตูเขื่อนหัวนา
๔. ให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการตามแผนฟื้นฟูผลกระทบ ทั้งในเรื่องของอาชีพ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ตามผลการศึกษาที่มีมติ ครม. รองรับแล้ว
๕. การกำหนดราคาในการจ่ายค่าชดเชยที่ดินทำกินของราษฎร ให้ยึดหลักการรวมกันเพื่อเป็นกรอบการทำงานในการแก้ไขปัญหากรณีเขื่อนหัวนา ดังนี้
๖. รัฐบาลและกรมชลประทานจะต้องไม่ดำเนินก่อสร้างผนังกั้นน้ำ DIKE ในพื้นที่โครงการเขื่อนหัวนา เพื่อป้องกันปัญหาพื้นที่นานอกอ่างเหมือนกรณีเขื่อนราษีไศลที่แก้ไขไม่แล้วเสร็จมาจนถึงปัจจุบัน
ค.ข้อเสนอต่อนโยบายการจัดการน้ำของรัฐบาลในอนาคต
๑. รัฐบาลจะต้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบที่จะเกิดจากการดำเนินโครงการ โขง เลย ชี มูล ต่อ
ราษฎรกลุ่มผู้เดือดร้อนจากโครงการโขง ชี มูล เดิมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะราษฎรเขื่อนราศีไศลและเขื่อนหัวนา ก่อนที่จะมีการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ใดๆต่อไปในอนาคต เพื่อแสดงจริงใจของรัฐบาลว่าโครงการดังกล่าวจะไม่สร้างปัญหาและผลกระทบซ้ำเติมความเดือดของราษฎรในพื้นที่อีกในอนาคต
๒. โครงการจัดการน้ำตามแผนงานที่รัฐบาลจะใช้เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาทในการจัดการซึ่งมีแผนงานมากมายที่ไร้หลักประกันว่าจะไม่ก่อผลกระทบซ้ำรอยโครงการเก่าๆ ในอดีต
เราขอเสนอต่อรัฐบาลดังนี้
๒.๑ ให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างรอบด้าน
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและโปรดพิจารณา