หลังจาก ปคอป มีมติอนุมัติให้การเยียวยาแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ครอบครัวละ 7.75 ล้านบาท ก็มีข้อโต้แย้งไปมากันทั้งสองฝ่าย สิ่งที่น่าเสียดายคือ ข้อโต้แย้งทั้งสองฝ่ายมักตกวนอยู่ในหลุมของ เงินจำนวนเจ็ดล้านกว่าบาทนี้ มันคุ้มชีวิตคนหรือไม่ ชีวิตของคนที่ตายไปไม่มีค่าพอกับเงินก้อนนี้บ้างละ
บทความนี้จะไม่จำเป็นต้องเขียนเลย ถ้าทุกคนในสังคมเข้าใจถึงจุดประสงค์หลักของการเยียวยาและจริยธรรมของการเยียวยาที่เป็นต้นกำเนิดให้เกิดการกระทำนี้ขึ้น คำถามที่ขึ้นอยู่ในหัวผมตอนนี้คือ ทำไมๆ ประเทศฝรั่งเศสเวลามีการเยียวยาจากรัฐให้แก่เหยื่อที่ได้รับอันตรายไม่ว่าจากไหนก็แล้วแต่ ทำไมถึงไม่มีใครส่งข้อความโต้ไปมาทางเฟซบุค ออกมาเรียกร้อง ออกมาฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกการเยียวยาเฉกเช่นที่เป็นอยู่ในเมืองไทย
การเยียวยามีขึ้นมาเพื่อ ‘ชดเชย’ (compensation) ต่อความเสียหายที่ไม่อาจย้อนกลับได้ ยกตัวอย่างเช่น สมมติมีคนไข้ไปหาหมอแล้วเกิดอุบัติเหตุแทรกซ้อนขึ้น จนคนไข้ต้องทำการตัดแขนนั้นทิ้ง การสูญเสียแขนจึงเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ เพราะเราไม่สามารทำการผลิตแขนของผู้ป่วยให้เหมือนเดิม แล้วนำไปต่อใช้การได้อีกเช่นเคย เราไม่สามารถกดปุ่มไทม์แมชชีนย้อนกลับไปก่อนเกิดเหตุได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้เรามีความเสียหายเกิดขึ้นจริง และตามกฎหมายแพ่งแล้ว ผู้ใดทำการละเมิดบุคคลอื่นย่อมต้องทำการชดเชยความเสียหายนั้น ความเสียหายนั้น ถ้าปกติชดเชยด้วยสิ่งที่สูญเสียไปได้หรือสิ่งที่เสียไปสามารถตีราคาตามท้องตลาดได้อย่างแน่นอนย่อมไม่มีปัญหา เช่น ถ้าสมมตินาย ก ทำแจกัน นาย ข แตก นาย ก ต้องชดใช้ด้วยแจกันที่มีคุณลักษณะเดียวกันทุกประการ หรือถ้านาย ก ไม่สามารถหาได้ เช่น แจกันที่แตกมีใบเดียวในโลก นาย ก ก็ต้องชดใช้ด้วยเงินตามราคา
แต่ในกรณีที่การเสียหายเป็นการเสียหายที่ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นชีวิตคน มันจึงเป็นการที่ซับซ้อนกว่ามาก เพราะคนไม่สามารถถูกสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมได้ เราไม่สามารถชดเชยชีวิตคนที่ตายไปด้วยการผสมพันธุ์ผลิตมนุษย์ขึ้นมาใหม่ เพราะมนุษย์เป็นของหนึ่งเดียว (unique) ต่อให้สเปริ์มกับไข่เดียวกันผสมกัน ก็ได้มนุษย์ที่แตกต่างกัน
ในเมื่อชดเชยด้วยสิ่งของไม่ได้แล้วจึงเหลือแค่ช่องทางเดียวคือ การใช้ตัวเงินชดเชยความเสียหาย ปัญหาที่ตามมาคือ มนุษย์ควรมีราคาเท่าไร ควรมีการตีราคามนุษย์หรือไม่ การตีราคามนุษย์นั้นผิดจริยธรรมหรือไม่ ในเมื่อการตีราคาของมนุษย์เป็นของร้อนที่ไม่ควรแตะแล้ว เราควรละเลยไม่เยียวยาผู้เสียหายเลยหรือ? คำตอบคือไม่ใช่ การเยียวยายังต้องมีอยู่ ตามปกติแล้วการเยียวยาจะเกิดได้ต้องมีองค์ประกอบสามประการ คือ 1)ความผิด 2) ความเสียหาย 3)ความสัมพันธ์ระหว่างความผิดกับความเสียหาย
ความผิด
กรณีที่สองคือ ความเสียหายที่เกิดจากรัฐ เนื่องจากรัฐหรือบุคลากรของรัฐทำความเสียหายแก่เอกชนในขณะปฏิบัติหน้าที่จากคำสั่งของฝ่ายปกครองแล้ว ถ้าเกิดความเสียหายกับเอกชน รัฐในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องทำการชดเชยความเสียหาย เช่นกรณีถ้ามีความเสียหายจากการล้อมปราบ ซึ่งเป็นคำสั่งของ ครม แล้วเกิดความเสียหายนั้น รัฐจึงต้องชดเชยความเสียหายขึ้น ย้ำอีกทีนะครับ ต้องในขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่นอกเวลาปฏิบัติหน้าที่ มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นการผิดระหว่างเอกชนกับเอกชนเอง
กรณีที่สามเป็นกรณีพิเศษ ที่เรียกว่า การรับผิดโดยปราศจากความผิด* เป็นการเยียวยาให้กับเหยื่อโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนเป็นฝ่ายผิดเลย เพียงแต่ว่ากรณีนี้เป็นการสูญเสียร้ายแรงเอากลับมาไม่ได้ และเพื่อความเป็นมนุษยธรรมและความปรองดองในสังคมแล้ว รัฐจึงต้องมีหน้าที่ในการเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้น เช่น ในกรณีที่มีฝ่ายหนึ่งชอบอ้างว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากชายชุดดำซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใคร ในกรณีนี้จับมือใครดมหาความผิดไม่ได้ แต่ว่ามีผู้เสียหายจริงและต้องการความเยียวยา รัฐจึงต้องเข้ามาช่วยโอบอุ้มเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ปกติ คราวนี้คงจะตอบคำถามได้นะครับว่า ทำไมรัฐถึงต้องช่วยเยียวยา ทำไมถึงต้องใช้ภาษีในการเยียวยา
ความเสียหาย
อย่างไรก็ตามเพื่อถ่วงดุลอำนาจของคณะกรรมการพิจารณาค่าชดเชยแล้ว รัฐต้องมอบอำนาจให้ผู้ได้รับสิทธิประโยชน์สามารถปฏิเสธจำนวนเงินก้อนนี้ได้ และทำการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อพิจารณาเงินก้อนนี้ใหม่ แต่รัฐไม่ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาฟ้องร้องต่อศาลเพื่อระงับการเยียวยา เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะรัฐกับผู้ได้รับประโยชน์นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องทางปกครองหรือเอกชนบุคคลอื่น
เงินเยียวยาจากรัฐที่ให้กับผู้เสียชีวิตจึงไม่ได้ และไม่ควรสะท้อนว่า ผู้เสียชีวิตมีมูลค่าเท่าไร แต่ควรหมายถึงการแสดงสัญลักษณ์ระหว่างรัฐกับผู้เสียหายว่า รัฐไม่ได้ทอดทิ้งผู้เสียหาย และทำการเยียวยาด้วยตัวเงิน ถึงแม้ว่า บางทีอาจจะชดเชยไม่ได้กับชีวิตผู้ที่ตายไป เงินก้อนนี้มีไว้เพื่อช่วยให้ครอบครัวผู้สูญเสียนำมาเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในการมีชิวิตอยู่ในสังคม ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าหลังจากรัฐให้เงินก้อนนี้แล้ว ภาระหน้าที่ที่รัฐมีต่อผู้สูญเสียเป็นอันจบกัน รัฐควรจะติดตามว่า ครอบครัวผู้เสียหายสามารถปรับตัวกับความสูญเสียแล้วมีชีวิตอยู่ต่อในสังคมอย่างปกติสุขหรือไม่ ผู้เสียหายยังขาดสิ่งใดหรือต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ หรือไม่
ความสัมพันธ์ระหว่างความผิดและความเสียหาย
ในกรณีความเสียหาย 91 ศพ ผู้ตายเสียชีวิตจากกระสุนปืน โดยคำสั่งของรัฐ รัฐย่อมมีหน้าที่ในการเยียวยา (หรือถ้ายังมีคนแย้งว่าเป็นฝีมือชายชุดดำ ช่วยกรุณาย้อนอ่านการรับผิดโดยปราศจากความผิดอีกครั้ง*)
บทส่งท้าย
1) ทุกคนในสังคมเข้าใจว่า การช่วยคนที่ลำบากเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้เกิดความปรองดองกันในสังคม น่าแปลกใจอย่างที่สุดที่สังคมบ้าศีลธรรมและชอบทำบุญอย่างสังคมไทยนั้นกลับตั้งคำถามนี้ขึ้นมา
2) ถ้าสังคมไทยยังปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่เคารพการตัดสินใจของเสียงข้างมาก นโยบายบริหารจากเสียงข้างมาก เราไม่ต้องมาดีเบทกันในเฟซบุคเรื่องมูลค่าการเยียวยาเลย เพราะเรามอบหน้าที่ให้ฝ่ายบริหารเป็นคนประเมินค่าเยียวยาแล้ว และหน้าที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือ การเคารพการตัดสินใจของสถาบันสาธารณะที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน