กรณีที่นายทุนข้ามชาติภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เลิกจ้างพนักงาน 4 แห่งเกิดขึ้นในช่วงภาวะปกติและไม่ปกติ คือ ทั้งก่อนและหลังอุทกภัย ปีพ.ศ. 2554 อีกทั้งสาเหตุของการเลิกจ้างเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับอุทกภัย ประเด็นหลักที่จะนำเสนอคือ เมื่อแรงงานรวมตัวกันเรียกร้องผลประโยชน์จากนายจ้าง และมีสหภาพแรงงานในการเจรจาต่อรอง เสรีภาพในการแสดงออกของพวกเขาก็ถูกละเมิด ถูกขัดขวางเพราะถูกเลิกจ้างอย่างเสรีโดยฝ่ายทุน ซึ่งนำไปสู่การไร้เสถียรภาพของระบบประชาธิปไตย
ผู้เขียนต้องการรณรงค์ปัญหาการเลิกจ้างที่นำไปสู่ภาวะสั่นคลอน/ไร้เสถียรภาพของสหภาพแรงงาน 4 แห่ง ได้แก่ 1) สหภาพแรงงานเอจีซีสัมพันธ์แห่งประเทศไทย 2) สหภาพแรงงานริโก้ประเทศไทย 3) สหภาพแรงงานอิเลคทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ (Hoya) และ 4) สหภาพแรงงานอิเลคทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ (MMI) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ให้รัฐแก้ไขปัญหาแรงงาน 4 กรณีอย่างเร่งด่วน
2. ให้สื่อ สาธารณชน ขบวนการแรงงาน นักศึกษาเข้าใจและตระหนักถึงการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การรวมตัวเจรจาต่อรองผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานมากขึ้น
3. ตั้งคำถามต่อนายทุนเอกชนถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม การใช้กลไก CSR (Corporate Social Responsibility) จรรยาบรรณทางการค้าของบรรษัทข้ามชาติ รวมถึงกลไกรัฐในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนว่า ทำไมไม่สามารถรองรับปัญหาความไม่เป็นธรรมต่อแรงงานในภาวะปกติและไม่ปกติ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว บทความจะนำเสนอหัวข้อ
1. การเลิกจ้างพนักงาน : หลากหลายสาเหตุและวิธีการ
2. การทำลายเสรีภาพในการแสดงออกของผู้ใช้แรงงาน
3. การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมผ่านกลไกต่างๆ
4. ข้อเรียกร้องต่อรัฐ
1. การเลิกจ้างพนักงาน : หลากหลายสาเหตุและวิธีการ
ปรากฏการณ์การเลิกจ้างพนักงานหลังน้ำลดเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง นายจ้างแต่ละแห่งใช้ยุทธวิธีและข้ออ้างที่แตกต่างกันไป ตัวเลขล่าสุดจำนวนคนงานถูกเลิกจ้างมีประมาณ 25,501 คนในสถานประกอบการ 89 แห่ง โดยเป็นการเลิกจ้างใน จ.พระนครศรีอยุธยา มากที่สุด 16,371 คน รองลงมาคือ จ.ปทุมธานี 8,456 คน [1] เหลือแรงงานที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกเลิกจ้างหรือไม่อีกประมาณ 30,000-40,000 คน ขณะที่สถานประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ยังไม่สามารถเปิดกิจการได้มีจำนวน 1,337 แห่ง ลูกจ้าง 233,536 คน ในจำนวนนี้บางส่วนได้เข้าร่วมโครงการป้องกันและบรรเทาการเลิกจ้างที่มียอด รวมจำนวน 257,887 คน จึงทำให้ตัวเลขการเลิกจ้างยังมีไม่มากนัก แต่ยอดรวมแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมีประมาณ 1 ล้านคน ไม่เพียงแค่การเลิกจ้างเท่านั้น แต่ยังมีปรากฏการณ์ลดฐานเงินเดือนเหลือ 75% 50% 25% โดยใช้ช่องทางของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 75 [2] รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิตภายในประเทศ และต่างประเทศ เป็นต้น
เสรีภาพของนายทุนหมายถึงการตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ตระหนักถึงผลกระทบ ความเดือดร้อนของอีกฝ่าย ในขณะที่อีกฝ่ายไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น เสรีภาพในการพูด เจรจาต่อรอง ปรึกษาหารือร่วม และรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน ยุทธวิธีและข้ออ้างของนายจ้างสามารถเห็นได้จากสถานการณ์ปัญหาของพนักงานบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 4 แห่ง ดังนี้
เสรีภาพของทุนในการขัดขวางการรวมตัวและจัดตั้งสหภาพแรงงาน มี 2 กรณีคือ
1.1 การเลิกจ้างพนักงานเอจีซี อิเล็กทรอนิกส์จำนวน 61 คน
1.2 การเลิกจ้างพนักงานริโก้ แมนูแฟคเจอริ่ง จำนวน 54 คน
เสรีภาพของทุนในการขัดขวางกระบวนการสร้างความเติบโตของสหภาพแรงงาน มี 2 กรณีคือ
1.3 การเลิกจ้างพนักงานโฮยา กลาสดิสก์ จำนวนประมาณ 2,000 คน
1.4 การเลิกจ้างพนักงานเอ็มเอ็มไอ พรีซิชั่น จำนวน 200 คน
เสรีภาพของทุนในการขัดขวางการรวมตัวและจัดตั้งสหภาพแรงงาน
1.5 การเลิกจ้างพนักงานเอจีซี อิเล็กทรอนิกส์จำนวน 61 คน
พนักงานเอจีซีอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 61 คนเป็นพนักงานของบริษัทเอจีซีอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย จำกัด หรือรู้จักกันในนามอาซาฮี ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา มีพนักงานรวมทั้งสิ้น 4,200 คน ผลิตเลนส์กระจกสำหรับฮาร์ดดิสก์ พนักงานที่ถูกเลิกจ้างยังเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน 2 แห่งคือ สหภาพแรงงานเอจีซีสัมพันธ์แห่งประเทศไทยและสหภาพแรงงานเอจีซีเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ก่อนเกิดเหตุการณ์อุทกภัยในจังหวัด ทั้งหมดร่วมชุมนุมคัดค้านการลดเงินเดือนพนักงานในวันที่ 12 ก.ค. 54 จึงถูกตั้งข้อหาสร้างความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตลอดเวลา ยุยงพนักงานให้เกิดความแตกแยก และแตกความสามัคคี ทำลายบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ยุยงไม่ให้พนักงานทำงานล่วงเวลา อีกทั้งบริษัทไม่พอใจพฤติกรรมก้าวร้าวจากการผละงานเมื่อวันที่ 24-25 ธันวาคม 2553
จากความไม่พอใจของนายจ้างที่ลูกจ้างเคยผละงานขอโบนัสเพิ่มปี 2553 ทำให้พนักงานเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเลิกจ้างครั้งนี้ และสั่งสมมาจนถึงช่วงของการรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรงงานเอจีซีสัมพันธ์แห่งประเทศไทย กระทั่งบริษัทประกาศใช้มาตรา 75 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ซึ่งทำให้พนักงานไม่พอใจ และออกมาชุมนุมกันที่โรงอาหารประมาณ 600 คน เพื่อสอบถามสาเหตุที่แท้จริงจากผู้บริหาร และผู้บริหารได้อ้างว่าสาเหตุการลดเงินเดือนมาจากปัญหาในกระบวนการผลิตสินค้าที่ทำให้ลูกค้า Claim สินค้ากลับมาให้แก้ไข และจำเป็นต้องปิดปรับปรุงกระบวนการผลิตชั่วคราว แต่พนักงานต้องมารายงานตัวทุกสัปดาห์ ด้วยเหตุนี้ สหภาพแรงงานจึงเรียกร้องให้บริษัทหยุดใช้มาตรา 75 เพราะค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้น รายได้ที่เป็นอยู่ไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต
สาเหตุของการนำไปสู่การเลิกจ้างสามารถแจกแจงรายละเอียดเพิ่มเติมได้ดังนี้
1) การออกมาเรียกร้องโบนัสเพิ่มของพนักงาน
วันที่ 21-24 ธันวาคม 2553 พนักงานบริษัทรวมตัวกันจำนวนกว่า 3 พันคนเรียกร้องขอให้นายจ้างเพิ่มโบนัสจาก 2.1 เท่าของเงินเดือนเป็น 2.5 เท่า เนื่องจากโรง 4 (ผลิตเลนส์กระจกสำหรับกล้องดิจิตอล) ได้รับโบนัสมากกว่าถึง 2.7 เท่า ในขณะที่โรง 1-3 (ผลิตกระจกสำหรับฮาร์ดดิสท์) ได้ 2.1 เท่า อีกทั้ง ยังขอให้นายจ้างจัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่พนักงานทุกคน เนื่องจากที่มีอยู่นั้นจัดให้เฉพาะพนักงานระดับซุปเปอร์ไวเซอร์ขึ้นไป
พนักงานได้ออกมาชุมนุมกันที่หน้าโรงงานเป็นเวลา 3 วันและไปยังศาลากลางเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่รัฐไกล่เกลี่ย ผลการไกล่เกลี่ยคือ นายจ้างยังให้โบนัสเป็น 2.1 เท่า แต่เพิ่มเงินพิเศษแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ๆ ละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 4,000 บาท และบริษัทไม่เอาผิดพนักงานที่ออกมาชุมนุมหน้าโรงงาน
2) การก่อตั้งสหภาพแรงงานเอจีซีสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
วันที่ 25 มกราคม 2554 พนักงานที่เคยเรียกร้องโบนัส ร่วมกันจัดตั้งสหภาพแรงงานใหม่ จากที่เคยมีอยู่เดิม (สหภาพแรงงานเอจีซี เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย) เป็นสหภาพแรงงานเอจีซีสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
วันที่ 8 กรกฎาคม 2554 ประธานสหภาพแรงงานไปร้องเรียนคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จังหวัดหลังจากที่ถูกนายจ้างกดดันให้ลาออกพร้อมกับเสนอเงินให้ และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ได้เรียกตัวไปสอบสวนเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3) การปรับลดเงินเดือนพนักงาน
วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 เวลา 11.00 น. หัวหน้างานแต่ละส่วน (ระดับ senior และ engineer) แจ้งปากเปล่าแก่พนักงานในไลน์ผลิตว่า วันดังกล่าวไม่มีการผลิต เนื่องจากมีปัญหาด้านคุณภาพงานที่ลูกค้าเคลม คือ มีสิ่งเจือปนในชิ้นงาน พร้อมกับแจ้งว่าบริษัทจะใช้มาตรา 75 จ่าย 75% เป็นเวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย คนงานจึงหยุดทำงานและทำความสะอาดไลน์การผลิต
เวลา 14.00 น. ฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้เรียกประชุมคณะกรรมการสหภาพแรงงาน เพื่อ
แจ้งเรื่องการใช้มาตรา 75 ด้วยเหตุผลเกิดปัญหาคุณภาพงาน และกำหนดให้พนักงานมารายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ทางสหภาพยังยืนยันให้บริษัทจ่ายเต็ม 100% หรืออย่างน้อยสุดเหลือ 80% แต่การเจรจาไม่สามารถหาข้อยุติได้
วันที่ 12 กรกฎาคม 2554 เวลา 10.00 น. สหภาพฯ ได้ทำหนังสือแจ้งสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ถึงข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อให้ไกล่เกลี่ยหาข้อยุติเรื่องการใช้มาตรา 75 ว่าถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรมต่อพนักงานหรือไม่ แต่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดแจ้งทางโทรศัพท์กลับมาว่า ไม่ว่างเข้ามาไกล่เกลี่ย ทั้งยังไม่ทราบเรื่องการใช้มาตรา 75 ของบริษัท จึงขอให้พนักงานมาร้องทีหลังหากบริษัทประกาศใช้แล้วอย่างเป็นทางการ
จนกระทั่งเวลา 12.00 น. บริษัทปิดประกาศการใช้มาตรา 75 บังคับต่อพนักงานจำนวน 2,700 คน ที่หน้าอาคาร ลงลายมือชื่อวันที่ประกาศวันที่ 11 ก.ค. 54 ซึ่งไม่ตรงกับวันที่ติดประกาศจริง ทำให้พนักงานส่วนใหญ่เกิดความคับข้องใจ จึงออกมาจับกลุ่มรวมตัวกันบริเวณโรงอาหารชั้น 1 ประมาณ 600 คนในเวลา 13.10 น. เพื่อหาความชัดเจนต่อการใช้มาตรา 75 สมาชิกสหภาพฯ จึงขึ้นไปสอบถาม และเรียกร้องให้ให้บริษัทจ่ายค่าจ้างเต็ม 100%
วันที่ 13 กรกฎาคม 2554 กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานที่ 1 ออกบันทึกข้อความรายงานเรื่องการหยุดกิจการชั่วคราวของบริษัทดังกล่าวให้แก่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ความว่าบริษัทจำเป็นต้องหยุดเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต และได้สรุปว่า พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทั้งสองฝ่ายควรมีการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์กันต่อไป อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงยืนยันลดเงินเดือนพนักงานต่อไป
4) การเลิกจ้างสมาชิกและกรรมการสหภาพแรงงานที่มีบทบาทปกป้องผลประโยชน์ของสมาชิก
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 เวลา 6.30 น. ฝ่ายทรัพยากรบุคคลโทรศัพท์เข้ามาในไลน์ เรียกพนักงานกะดึก (shift c) เข้าไปพบรอบแรกประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้มีรายชื่อใน 61 คนที่ถูกเลิกจ้าง (หลายคนไม่ได้ถูกเรียกพบ แต่รู้เมื่อมีการติดประกาศเลิกจ้าง) โดยได้พบกับทนายความของนายจ้าง และทนายความแจ้งข้อหาทางวาจาว่า “เรามีความผิดที่ผละงาน ชุมนุม” ซึ่งลูกจ้างโต้กลับว่า “ทำไมไม่มีเอกสารเลิกจ้างมาให้ดู” ทนายความตอบว่า “ถึงเอามาให้ดู พวกคุณก็ไม่เซ็นชื่อกันหรอก” ต่อมาในเวลา 7.40 น. บริษัทติดประกาศก่อนเข้างานกะเช้า เพื่อห้ามไม่ให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างเข้างานโดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างไกล่เกลี่ยกับนายจ้าง นายจ้างก็เปิดรับพนักงานใหม่อีกประมาณ 500 อัตรา
1.2 การเลิกจ้างพนักงานริโก้ แมนูแฟคเจอริ่ง จำนวน 54 คน
บริษัท ริโก้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผลิตเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องโทรสาร และชิ้นส่วนอุปกรณ์ดังกล่าวส่งไปยังต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ทวีปยุโรป อเมริกา ทวีปเอเชีย โอเชียเนียและออสเตรเลีย ตั้งอยู่ที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง มีพนักงานทั้งสิ้น 724 คน ส่วนมากเป็นพนักงานหญิง 70% ชาย 30% ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เฉลี่ยเงินเดือนประมาณ 6,000 บาท เวลาทำงานตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. เวลาพัก 1.15 ชั่วโมง ทำงานทุกวันจันทร์-ศุกร์ วันหยุดประจำสัปดาห์ 2 วันคือ เสาร์-อาทิตย์ สวัสดิการที่ได้รับ ได้แก่ เบี้ยขยัน รถรับส่ง ค่าข้าวมื้อเที่ยงและทำงานล่วงเวลาฟรี ค่าเช่าบ้าน โบนัสขึ้นอยู่กับผลกำไรซึ่งไม่แน่นอน ค่าความชำนาญ ชุดยูนิฟอร์ม ตรวจสุขภาพประจำปีและปรับเงินขึ้นทุกปีโดยการตัดเกรดพนักงาน [3]
เหตุการณ์การเลิกจ้างพนักงานดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่พนักงานการทนสภาพการทำงานไม่ไหว การรวมตัวเรียกร้องโบนัสเพิ่ม และการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1) สภาพปัญหาการทำงานของพนักงาน มีดังนี้
1. ลาป่วย 1 วัน ต้องมีใบรับรองแพทย์
2. อุปกรณ์ความปลอดภัย ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมีพนักงานบางส่วนทำงานเกี่ยวกับสารเคมี
3. ไม่จัดที่ทำงานเฉพาะสำหรับพนักงานที่ตั้งครรภ์ โดยให้ปฏิบัติงานในส่วนเดียวกันกับฝ่ายผลิต
4. การปรับเงินขึ้นและโบนัสไม่เป็นธรรม
5. โรงอาหารที่สำหรับกินข้าวและช้อนไม่เพียงพอต่อความต้องการของพนักงาน
6. บังคับพนักงานทำงานล่วงเวลา
7. ห้องพยาบาลไม่เพียงพอและไม่มีการจัดพยาบาลและหมอให้ตามที่กฎหมายกำหนด
8. ใน"ไลน์ผลิต" เข้าห้องน้ำต้องลงเวลา
9. ผ้าปิดจมูกเป็นผ้าธรรมดาป้องกันสารเคมีไม่ได้
จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น พนักงานไม่ได้รับความเป็นธรรม จนกระทั่งมีประกาศผลโบนัสออกมา
2) ความไม่พอใจกับประกาศผลโบนัสของบริษัทและการจัดตั้งสหภาพแรงงาน
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 บริษัทฯได้ประกาศการจ่ายเงินโบนัสประจำปี ค่ากลางเท่ากับ 2.7 เดือน ซึ่งเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่ความเป็นจริงในปี 2554 บริษัทฯ ได้ทำการผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2553 ทำให้พนักงานส่วนมากไม่พอใจกับการประกาศผลโบนัสครั้งนี้
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา 18.10 น.พนักงานได้รวมตัวกันที่หน้าบริษัทฯและได้ทำข้อเรียกร้องพร้อมลงลายมือชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องจำนวน 274 คน โดยแต่ละแผนกส่งตัวแทนพนักงานแผนกละ 3คน เพื่อขึ้นไปเป็นตัวแทนในการเจรจากับนายจ้างรวมทั้งหมด 21 คน รวมทั้งแต่งตั้งผู้แทนเจรจาข้อเรียกร้องฝ่ายลูกจ้าง จำนวน 7 คน
หลังจากนั้นก็ได้มีการเจรจากับนายจ้างคนญี่ปุ่นและผู้บริหารคนไทย และได้ข้อสรุปว่า ผู้บริหารจะนัดชี้แจงเงินบวกพิเศษเพิ่มในวันที่ 2 ธันวาคม 2554 เวลา 17.30น ที่โรงอาหาร
ในช่วงของวันที่ 1 ธันวาคม 2554 พนักงานได้ลงลายมือชื่อเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งสหภาพแรงงานทั้งหมด 306 คน ต่อมาเมื่อ เวลา 18.30 น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้วได้มีพนักงานจำนวน 13 คน ซึ่งเป็นตัวแทนที่จะดำเนินการจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ประชุมเตรียมการจัดตั้งและกรอกเอกสารบางส่วน และได้นัดกรอกเอกสารเพิ่มเติมอีกในวันที่ 3 ธันวาคม 2554
วันที่ 2 ธันวาคม 2554 เวลา 08.15น ทางบริษัทฯได้มีการเรียกพนักงานกะดึกของคืนวันที่ 1ธันวาคม 2554 มารับฟังการประกาศผลโบนัสเป็นกลุ่มแรก พร้อมทั้งได้มีการบังคับให้พนักงานลงลายมือชื่อยินยอมรับเงินโบนัส ส่วนพนักงานที่เข้าทำงานกะเช้าของวันที่ 2 ธันวาคม 2554 ทางผู้บริหารได้เรียกแต่ละแผนกไปชี้แจงในห้อง Training Room พร้อมทั้งให้เซ็นยอมรับเงินโบนัสโดยไม่ได้เจรจากับตัวแทนพนักงาน ซึ่งมีพนักงานที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หลังเลิกงานพนักงานจึงรวมตัวกันอีกครั้งที่หน้าบริษัทฯ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับพนักงานที่ทำงานกะเช้า แต่ครั้งนี้ไม่มีการเจรจาใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากทางผู้บริหารกลับบ้านก่อน พนักงานจึงได้มีการลงลายมือชื่อจำนวน 284 คนเพื่อจะยื่นข้อเรียกร้องให้กับบริษัทฯใหม่อีกครั้ง
วันที่ 3 ธันวาคม 2554 เวลา 13.00น พนักงานที่เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพแรงงานพร้อมเพื่อนพนักงานอีกส่วนหนึ่งได้มาปรึกษาเรื่องการจัดตั้งสหภาพแรงงานพร้อมทั้งกรอกเอกสารเพิ่มเติมบางส่วนที่ยังไม่เรียบร้อยเพื่อจะดำเนินการไปยื่นจดทะเบียนที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง โดยมีพนักงานลงลายมือชื่อสนับสนุนจำนวนทั้งหมด 306 คน
วันที่ 4 ธันวาคม 2554 เวลา 09.00น พนักงานได้มาประชุมเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในการยื่นข้อเรียกร้องและการมีสหภาพแรงงงานในสถานประกอบการพร้อมทั้งจัดเตรียมข้อมูลเพื่อที่จะทำการยื่นข้อเรียกร้องใหม่เพื่อจะยื่นอีกครั้งในวันที่ 6 ธันวาคม 2554
ทว่าเมื่อถึงวันที่ 6 ธันวาคม 2554 ทางบริษัทฯได้ติดประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวนทั้งหมด 41 คน โดยตั้งข้อหาพนักงานทั้งหมด 12 ข้อหา เช่น สร้างความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ยุยงให้เกิดความแตกแยก ไม่ปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดี ทำลายความหวัง ความก้าวหน้าของเพื่อน พนักงานและบริษัทฯ พูดจาให้ร้ายบริษัทฯ สร้างเรื่องเพื่อทำให้พนักงานเกิดความระแวงต่อกัน แสดงกิริยา วาจา ก้าวร้าว ทัศนคติไม่ดี คิดร้ายต่อบริษัทฯ เป็นต้น
ส่วนข้อเรียกร้องที่ได้เตรียมมายื่นให้กับบริษัทฯนั้น ไม่สามารถยื่นได้เนื่องจากถูกเลิกจ้างก่อน พนักงานส่วนหนึ่งจึงนำสำเนาข้อเรียกร้องพร้อมลายมือชื่อที่สนับสนุนข้อเรียกร้องไปยื่นให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง สำหรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทั้งหมดได้ออกมาชุมนุมกันที่หน้าบริษัทฯ จนกระทั่งเวลา 14.20 น. เจ้าหน้าที่สำนักงานและสวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองได้เดินทางมาเจรจาเพื่อหาข้อยุติระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างโดยได้ข้อสรุปว่าให้เรียกพนักงานจำนวน 22 คนที่ไม่มีรายชื่อถูกเลิกจ้างกลับเข้าไปทำงานโดยให้สัญญาว่าจะไม่มีการเลิกจ้างและเอาผิดใดๆ กับพนักงานทั้ง 22 คนนี้
วันที่ 7 ธันวาคม 2554 ทางบริษัทฯได้ติดประกาศเลิกจ้างพนักงานเพิ่มอีก 4 คน ซึ่งเป็นพนักงานที่มีรายชื่ออยู่ในจำนวนพนักงาน 22 คนข้างต้น
วันที่ 8 ธันวาคม 2554 เวลาประมาณ 07.30น. กลุ่มพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง 45 คนได้มารวมตัวกันที่หน้าบริษัทฯ เพื่อที่จะเข้าไปรายงานตัวกับบริษัท แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยอ้างว่าไม่ได้รับคำสั่งจากฝ่ายบุคคลว่า ให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงาน โดยติดประกาศหน้าป้อม รปภ. ว่าทางบริษัทฯได้ประกาศแจ้งให้ทราบว่า ห้ามไม่ให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างเข้ามากระทำการใดๆภายในบริษัทฯ มิเช่นนั้นทางบริษัทฯจะดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนพนักงานที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้าง ทางบริษัทฯได้ทำหนังสือให้เซ็นชื่อ เพื่อกันไม่ให้เข้าร่วมชุมนุม ถ้าไม่เช่นนั้นจะถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายและพยายามข่มขู่พนักงานให้เกิดความกลัว
วันที่ 9 ธันวาคม 2554 เวลา 13.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ได้มีการนัดเจรจาแต่ทางนายจ้างได้มีการโทรแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองว่าไม่สบายและไม่สามารถมาเจรจาได้ จึงขอเลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 13 ธันวาคม 2554 เวลา 14.00น
วันที่ 12 ธันวาคม 2554 ได้มีการเลิกจ้างพนักงานเพิ่มอีก 9 คน ที่อยู่ในกลุ่ม 22 คน โดยตั้งข้อกล่าวหาว่า ขาดงาน ทำผิดซ้ำคำเตือน และร่วมชุมนุมกับพนักงานที่อยู่ด้านนอก ซึ่งพนักงานทั้ง 9 คนได้โทรศัพท์ลางานกับหัวหน้างานเรียบร้อยแล้ว และเป็นพนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผู้ก่อตั้งสหภาพแรงงานด้วย
เสรีภาพของทุนในการขัดขวางกระบวนการสร้างความเติบโตของสหภาพแรงงาน
1.3 การเลิกจ้างพนักงานโฮยา กลาสดิสก์ จำนวนประมาณ 2,000 คน
1 ธ.ค. 54 บริษัท โฮยา กลาสดิสค์ (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน ได้ประกาศว่าจะเลิกจ้างคนงานเกือบ 2,000 คนจากทั้งหมด 4,639 คน หลังจากที่ประกาศใช้มาตรา 75 มาตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 54 โดยได้แจ้งกับสหภาพแรงงานอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสัมพันธ์ว่า จะเปิดเป็นโครงการเลิกจ้างโดยสมัครใจ จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายและบวกอีก 25% ส่วนเหตุผลในการเลิกจ้างครั้งนี้บริษัทระบุว่า มาจากการขาดทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย. 54 กอปรกับปัญหาอุทกภัย
แต่ทางสหภาพแรงงานฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อปี 2553 บริษัทยังมีกำไรอยู่ถึง 591 ล้านบาท และเหตุการณ์น้ำท่วมนั้นก็ท่วมที่โรงงานของโฮย่าใน จ.อยุธยา เท่านั้น
สาเหตุเบื้องหลังของการเลิกจ้างพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานนี้สามารถมองย้อนกลับไปในช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เมื่อปี 2550 กล่าวคือ
จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 คนงานบริษัทโฮย่าฯ จำนวน 3,289 คนได้ร่วมกันลงชื่อยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อบริษัทฯ แต่ไม่สามารถเจรจากันได้ จึงเกิดเป็นข้อพิพาทแรงงาน และไกล่เกลี่ยกันโดยมีเจ้าหน้าที่ประนอมข้อพิพาทของรัฐเป็นตัวกลาง สุดท้ายสามารถตกลงกันได้
ในระหว่างที่มีการยื่นข้อเรียกร้องนั้น คนงานบริษัทโฮย่าฯ 18 คน ได้ยื่นขอจดทะเบียนสหภาพแรงงานอิเล็คทรอนิคส์และ เครื่องไฟฟ้าสัมพันธ์ (สอฟส.) และได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2550 มีการจัดประชุมใหญ่โดยมีสมาชิกสหภาพฯ ทั้งสิ้น 2,960 คน ได้คณะกรรมการสหภาพฯ ชุดแรก จำนวน 21 คน ซึ่งทั้ง 21 คนนี้ ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการลูกจ้างด้วย
ทว่าในการจัดตั้งสหภาพ มีปัญหาในการดำเนินกิจการ คือ ได้รับแรงกดดันจากฝ่ายบริหารของบริษัทฯ มาโดยตลอด ซึ่งสรุปได้ดังนี้ [4]
- การออกประกาศระเบียบของบริษัทฯ ไม่ให้สหภาพฯ ดำเนินกิจกรรมของสหภาพแรงงานในบริษัทฯ
- บริษัทฯ ปฏิเสธการประชุมร่วมกับสหภาพฯ คณะกรรมการลูกจ้าง คณะกรรมการสหภาพฯ ได้ทำหนังสือยื่นต่อฝ่ายบริหารของบริษัทฯ ขอให้จัดประชุมร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาตามที่คนงานร้องเรียน เพื่อการจัดสวัสดิการของคนงาน และเพื่อการสร้างระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ฝ่ายบริหารของบริษัทฯ ไม่ยอมประชุมพูดคุยร่วมกับคณะกรรมการสหภาพฯ และคณะกรรมการลูกจ้าง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์มาตรา 50 ที่ว่า
“นายจ้างต้องจัดให้มีการประชุมหารือกับคณะกรรมการลูกจ้างอย่างน้อย 3 เดือนต่อ 1 ครั้ง หรือเมื่อกรรมการลูกจ้างเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการลูกจ้างทั้งหมด หรือสหภาพแรงงานร้องขอ...”
การเลิกจ้างพนักงานโรงที่ 2 ที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเกือบทั้งหมดสามารถตีความถึงการพยายามทำลายการเติบโตของสหภาพแรงงานในจังหวะช่วงวิกฤตน้ำท่วม
1.4 การเลิกจ้างพนักงานเอ็มเอ็มไอ พรีซิชั่น จำนวน 200 คน
บริษัทเอ็มเอ็มไอ พรีชิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด (MMi Precision (Thailand) Limited) นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ตั้งอยู่ที่อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผลิตชิ้นอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ มีพนักงานทั้งสิ้น 250 คน พนักงานประจำประมาณ 200 คน คนงานเหมาค่าแรง (sub-contract) 50คน
ในช่วงเกิดอุทกภัย วันที่ 22 ตุลาคม 2554 น้ำทะลักท่วมนิคมอุตสาหกรรมนวนคร รวมทั้งบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ นายจ้างจึงสั่งหยุดงานทันทีโดยที่ยังไม่ได้แจ้งกับพนักงานว่าจะจ่ายค่าจ้างเท่าไร
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ฝ่ายบุคคลบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ ได้แจ้งการเลิกจ้างคนงานทางโทรศัพท์ และให้มารับเช็คในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. มีคนงานไม่ถึง 10 คนที่ทำงานอยู่แผนกตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานย้ายไปทำงานที่บริษัทฯในเครือของเอ็มเอ็มไอฯ จ.ชลบุรี มีสมาชิกสหภาพบางคนที่ไม่พร้อมที่จะไปทำงานที่จังหวัดชลบุรีเนื่องจากไม่สะดวกในการเดินทางและมีภาระต้องดูแลครอบครัว บริษัทเอ็มเอ็มไอฯ ก็จะยื่นคำขาดกับคนงานว่าถ้าไม่ไปก็จะไม่ได้อะไร ? [5]
เลขาธิการสหภาพแรงงานอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์เมื่อทราบข่าวว่าบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ จะเลิกจ้าง จึงรีบโทรศัพท์ถึงฝ่ายบุคคล สหภาพแรงงานขอเจรจากับทางบริษัทฯเป็นการด่วนเพราะอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อเรียกร้อง แต่ทางฝ่ายบุคคลแจ้งว่าจะมีการเลิกจ้างคนงานประมาณ 90% ของคนงานทั้งหมด ส่วนคนงานที่เหลือเป็นช่าง และขอปฏิเสธเจรจาพูดคุยกับทางสหภาพแรงงาน ขณะเดียวกันสหภาพแรงงานไม่สามารถรวมกลุ่มเพื่อชี้แจงได้ เพราะสมาชิกได้หนีน้ำไปอยู่กับครอบครัวต่างจังหวัด และได้พยายามติดต่อสมาชิกทางโทรศัพท์เพื่อให้ต่อรองเรื่องสิทธิต่างๆ
เช้าวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ณ โกดังแห่งหนึ่งใกล้นิคมอุตสาหกรรมนวนคร บริษัทเอ็มเอ็มไอฯ เลิกจ้างพนักงานเกือบ 200 คน และกำลังขออำนาจศาลแรงงานเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง 7 คน ขณะเดียวกันกรรมการสหภาพแรงงานพยายามขอเจรจาพูดคุยกับตัวแทนของบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ แต่ก็ถูกปฏิเสธตลอด
นางสาวแสงอรุณ แก่นเพ็ชร เลขาธิการสหภาพแรงงานได้ชี้แจ้งกับสมาชิกเรื่องนโยบายการเลิกจ้างของบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ ขณะเกิดวิกฤตอุทกภัยน้ำท่วม ซึ่งสวนทางกับอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (นายอาทิตย์ อิสโม) ที่ออกรายการทางทีวีช่องไทยพีบีเอสเมื่อคืนว่าจะไม่มีการเลิกจ้างคนงาน แต่พอรุ่งเช้าก็เจอสภาพการเลิกจ้างซึ่งตรงข้ามกับถ้อยคำของอธิบดีอย่างสิ้นเชิง
ประธานสหภาพแรงงานฯ กล่าวว่าขณะนี้สิทธิประโยชน์ตามข้อตกลงตามสภาพการจ้างบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ จ่ายให้ไม่ครบ เช่น เบี้ยขยัน ค่าอาหาร วันหยุดพักผ่อนประจำปี โบนัสและที่ตนกังวลใจมากไปกว่านั้นคือ เพื่อนสมาชิกหากถูกเลิกจ้างจะไปทำงานที่ไหน ? เพราะแต่ละคนทำงานให้กับบริษัทเอ็มเอ็มไอฯ มาเป็นเวลา 15 ปีถึง 20 กว่าปี เกือบทุกคนมีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีภาระครอบครัว
กรณีการเลิกจ้างพนักงานเอ็มเอ็มไอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ไม่แตกต่างจากกรณีพนักงานโฮย่า ที่เคยมีประวัติศาสตร์การต่อสู้เรียกร้องให้นายจ้างปรับปรุงสภาพการจ้างงาน กล่าวคือ
คนงานรวมตัวกันก่อตั้งสหภาพฯในปี 2534 มีคนงานเข้าร่วม 200 คน จากทั้งหมดประมาณ 300 คน ในขณะนั้นยังเป็นบริษัท TPW ไดส์คราสติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผลของการยื่นข้อเรียกร้องและก่อตั้งสหภาพแรงงานทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ บริษัทติดตัวระบายอากาศภายในโรงงาน ได้เบี้ยขยันเป็นครั้งแรก 100-250 บาท ค่ากะ กะบ่าย 12 บาท กะดึก 18 บาท ปรับค่าจ้างให้คนงานที่ทำงานครบ 1 ปีทุกคน ขั้นต่ำ 8 % สูงสุด 10 % ห้องพยาบาลพร้อมเตียงและพยาบาลวิชาชีพ
ระหว่างปี 2545-2546 กิจการของบริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีจำนวนคนงานมากถึง 3,000 คน ขยายโรงงานเพิ่มเป็น 4 โรงงาน แต่ในปี 2545 MMI สิงค์โปรได้เข้ามาซื้อกิจการต่อจาก TPW และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท MMI พรีซีชั่น (ประเทศไทย) จำกัด
แม้สหภาพแรงงานจะจัดตั้งมานานเกือบ 20 ปีแล้วก็ตาม บริษัทก็ยังไม่ยอมรับการเจรจาต่อรองร่วมและการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานของคนงานแต่อย่างใด จะเห็นได้จากการพยายามลดอำนาจการต่อรองของสหภาพฯ โดยการนำเอาคนงานเหมาค่าแรงเข้ามาทำงานในกระบวนการผลิตและนำเอางานออกไปทำข้างนอกกับบริษัทรับเหมาช่วง การเปิดโครงการอาสาลาออกและเลิกจ้างแกนนำของสหภาพฯ ทำให้อำนาจการต่อรองลดลง นับแต่ปี 2547 เป็นต้นมาบริษัทเปิดโครงการอาสาลาออกอย่างต่อเนื่องทำให้จำนวนคนงานและสมาชิกของสหภาพลดลงเรื่อย ๆ เหลือคนงานเพียง 250 คน ในปัจจุบัน และเหลือสมาชิกสหภาพแรงงาน 105 คน
2. การทำลายเสรีภาพในการแสดงออกของผู้ใช้แรงงาน
จากกรณีปัญหาทั้ง 4 กรณีข้างต้น จะเห็นชัดว่า ไม่ว่าฝ่ายแรงงานจะแสดงออกอะไร ฝ่ายทุนก็มักจะแทรกแซงขัดขวางแทบทุกจังหวะก้าวที่มีโอกาส สะท้อนให้เห็นถึงการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of expression) ที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ เสรีภาพในการพูด แสดงความเห็น ชุมนุมเรียกร้อง เจรจาต่อรอง รวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน ดำเนินกิจการของสหภาพฯ เป็นต้น เราสามารถสรุปสาเหตุและวิธีการเลิกจ้างผู้ก่อการและสมาชิกสหภาพแรงงานได้ โดยแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. ช่วงก่อการเตรียมการจัดตั้งสหภาพแรงงาน กรณีพนักงานเอจีซีกับริโก้ และ 2. ช่วงดำเนินกิจการสหภาพแรงงานของพนักงานโฮย่าและเอ็มเอ็มไอ ดังนี้
2.1 ช่วงก่อการเตรียมการจัดตั้งสหภาพแรงงาน กรณีพนักงานเอจีซีอิเล็กทรอนิกส์กับริโก้
หากพิจารณาข้อหากว่า 10 ข้อ ที่นายจ้างใช้เป็นเหตุผลในการเลิกจ้างพนักงานเอจีซีและริโก้ ได้แก่ ข้อหาสร้างความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างตลอดเวลา ยุยงพนักงานให้เกิดความแตกแยก และแตกความสามัคคี ทำลายบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ยุยงไม่ให้พนักงานทำงานล่วงเวลา ก้าวร้าว คิดร้ายต่อบริษัท เป็นต้น เป็นวาทกรรม/ภาษาของฝ่ายทุน ที่สะท้อนการเลือกกล่าวหาตามใจชอบของฝ่ายทุน ดังที่ได้นำเสนอข้างต้น และนี่ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างนายทุนกับแรงงาน
วาทกรรมของฝ่ายทุนมีเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อฝ่ายแรงงานกล้าออกมาเรียกร้องขอแบ่งปันผลกำไร ที่มาจากการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่ขาด ไม่ลา ไม่มาสาย เพื่อมาจัดสรรเป็นสวัสดิการแก่คนส่วนใหญ่ และกล้าออกมาชุมนุมคัดค้านมาตรการปรับลดเงินเดือนและสภาพการจ้างงานที่เอารัดเอาเปรียบพนักงาน พนักงานเอจีซีและริโก้เป็นคนหนุ่มสาวที่ต้องการเสรีภาพในการแสดงออก ถูกเลิกจ้างทันที ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนน้ำท่วม (กรณีเอจีซี) และหลังน้ำท่วม (กรณีริโก้) เรียกได้ว่าอยู่ในภาวะปกติ แต่แรงงานไม่สามารถวางใจได้ว่า จะสามารถทำงานและอยู่อย่างมั่นคงได้ในภาวะเช่นนี้
เสรีภาพในการแสดงออกของผู้ใช้แรงงานที่ถูกละเมิด ได้แก่
• การออกมาแสดงความไม่พอใจ ความคิดเห็นที่แตกต่าง คัดค้านประกาศของบริษัท คือ ประกาศปรับลดเงินเดือน ประกาศโบนัส และชุมนุมเรียกร้อง ที่ถูกข่มขู่ว่าจะลงโทษทางวินัย ถ้าไม่สลายการชุมนุมที่โรงอาหาร ดังเห็นได้จากการตั้งข้อหาข้างต้น
• การนำทางความคิดของแกนนำ การเจรจาต่อรองกับนายจ้าง การรวมตัวก่อการ และจัดตั้งสหภาพแรงงาน ด้วยการเลิกจ้าง ผลักไสแกนนำให้พ้นไปจากบริษัทด้วยข้อหาข้างต้นเช่นกัน
2.2 ช่วงดำเนินกิจการสหภาพแรงงานของพนักงานโฮย่าและเอ็มเอ็มไอ
ข้ออ้างการเลิกจ้างสมาชิกสหภาพแรงงาน พูดได้ว่าเลิกจ้างยกครัว (หมดโรง 2 กรณีโฮย่า และเกือบหมดบริษัทกรณี MMI) มาจากวิกฤตน้ำท่วม ทั้งเดือดร้อนจริงและไม่จริงโดยอาศัยวิกฤตดังกล่าวเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ไปด้วย เช่น ย้ายฐานการผลิตไปชลบุรีกรณีของ MMI นำเครื่องจักรเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทดแทนแรงงาน ขยายกิจการไปต่างประเทศในกรณีของโฮย่า
วิธีการของนายจ้างคือ ไม่เจรจาต่อรอง ปรึกษาหารือกับพนักงานก่อนตัดสินใจเลิกจ้าง อันเนื่องมาจากการมีทัศนคติไม่ยอมรับการมีอยู่ของสหภาพแรงงาน ที่ก่อนหน้านี้แรงงานเคยเรียกร้องต่อสู้เรื่องปรับเปลี่ยนสภาพการจ้าง
3. การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมผ่านกลไกต่างๆ
พนักงานบรรษัทข้ามชาติทั้ง 4 แห่งกำลังอยู่ในระหว่างการต่อสู้เรียกร้องตามกลไกต่างๆที่มีอยู่ ซึ่งจะนำเสนอเป็นรายกรณีว่า ได้ใช้กลไกอะไร และมีความคืบหน้าหรือไม่ อย่างไร เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐติดตามปัญหาได้ทัน และเห็นข้อจำกัดของกลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่างๆ
3.1 กรณีของเอจีซีได้ร้องเรียนกับสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพื่อให้ไกล่เกลี่ย รวมถึงการยื่นข้อร้องเรียนต่อกรรมาธิการรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย และวันที่ 11 ส.ค. 54 คนงานจำนวน 30 คนและประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 54 คนงานจำนวน 61 คน ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 54 ทว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงใช้กลไกสืบสวนหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งล่าสุดทางคณะกรรมการฯได้ขอเลื่อนเวลาในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงไปอีกเพราะนายจ้างติดน้ำท่วม [6] ไปเป็นวันที่ 20 มกราคม 2555
3.2 กรณีของริโก้ ได้เจรจาไกล่เกลี่ยนายจ้างภายใน แต่ไม่สำเร็จ จึงร้องเรียนไปยังสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด เมื่อถึงคราวไกล่เกลี่ยในวันที่ 15 ธ.ค. 54 นายจ้างไม่ยินยอมที่จะให้ตัวแทนพนักงานเข้าร่วมรับฟังการเจรจาระหว่างนายจ้างกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วย โดยอ้างว่าได้มีการเจรจากับตัวแทนพนักงานหลายครั้งแล้ว ต่อมาทางเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองได้โทรแจ้งกับตัวแทนพนักงานให้เรียกพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทั้งหมดมารับฟังข้อสรุปในการเจรจา ณ ที่ทำการการนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ข้อสรุปมีว่า นายจ้างไม่ต้องการที่จะรับพนักงานทั้งหมดที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงาน
ต่อมาวันที่ 23 ธันวาคม 2554 พนักงานที่ถูกเลิกจ้างไปร้องเรียนกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยที่กรุงเทพฯ และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยได้พาไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
วันที่ 26 ธันวาคม 2554 เวลาประมาณ 15.00 น. มีการเจรจาระหว่างนายจ้างกับเจ้าหน้าที่แรงงาน จ.ระยองและทางเจ้าหน้าที่จากกระทรวงแรงงาน มีข้อสรุปว่าทางบริษัทจะรับพิจารณาและจะแจ้งผ่านไปทางแรงงานจังหวัดระยองก่อนวันที่ 9 มกราคม 2555
ล่าสุดวันที่ 8 มกราคม 2555 กลุ่มคนงานที่ถูกเลิกจ้างได้ไปติดตามความคืบหน้าในการยื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสวัสดิการฯ ที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ปรากฏว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ อีกทั้งยังไม่มีการแจ้งกลับผลการเจรจาระหว่างนายจ้างกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับจังหวัดและส่วนกลาง ที่สัญญาว่าจะแจ้งภายใน 2 สัปดาห์หลังปีใหม่
3.3 กรณีของโฮย่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 54 ประธานสหภาพแรงงานอิเลคทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลำพูน [7]
4 ธ.ค. 54 เวลา 9.00 น. ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน สหภาพแรงงานอิเลคทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีโดยผ่านนายสถาพร มณีรัตน์ กรรมาธิการแรงงาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อให้ติดตามและลงมาดูแลเกี่ยวกับกรณีการประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่าสองพันคน โดยบริษัทอ้างเรื่องการขาดทุนและเหตุการณ์อุทกภัยในภาคกลาง [8]
6 ธ.ค. 54 ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.ลำพูน ได้นัดให้มีการเจรจากันระหว่าง บริษัทโฮยากลาสดิสค์ (ประเทศไทย) จำกัด และผู้แทนลูกจ้าง กรณีที่บริษัท โฮย่าฯ จะเลิกจ้างลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2555 นั้น ผลการเจรจานัดแรกปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยผู้แทนลูกจ้างต้องการให้บริษัทโฮย่าทบทวนการเลิกจ้างทั้งหมด โดยให้ยกเลิกนโยบายเลิกจ้างนี้ ส่วนฝ่ายผู้แทนนายจ้างจะขอเวลานำข้อเสนอนี้ไปให้ฝ่ายบริหารที่จะกลับมาจากต่างประเทศพิจารณา พร้อมทั้งจะแจ้งให้ผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมเจรจาด้วย โดยการเจรจานัดต่อไปกำหนดให้มีในวันที่ 9 ธ.ค. 54 เวลา 9.00 น. ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.ลำพูน [9]
7 ธ.ค. 54 สหภาพแรงงานอิเล็คทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ได้ยื่นหนังสือถึงนายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนเพื่อให้มีการช่วยเหลือ [10]
3.4 กรณีของเอ็มเอ็มไอ นายจ้างได้ขออำนาจศาลแรงงานกลางในการเลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงงานจำนวน 5 คนซึ่งเป็นคณะกรรมการลูกจ้างด้วย แต่บริษัทไม่จ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานเหล่านี้เลยทั้งๆที่ศาลยังไม่ตัดสิน ล่าสุดศาลได้นัดไกล่เกลี่ยกับนายจ้างวันที่ 24 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตาม พนักงานที่ถูกเลิกจ้างได้รับเงินจากบริษัทไปเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่พอใจที่บริษัทจ่ายเงินไม่ครบ
สหภาพแรงงานทั้ง 4 แห่งยังอยู่ในระหว่างการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม กรณีของพนักงานเอจีซีเกิดปัญหาก่อน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ อีกทั้งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งเป็นกลไกที่ตั้งขึ้นโดยกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้ขอเลื่อนการไต่สวนนายจ้างกับลูกจ้าง เพราะอ้างว่านายจ้างติดน้ำท่วมไม่สามารถมาได้ กลุ่มพนักงานจึงต้องรอคอย และดิ้นรนทำมาหากิน บางรายขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง บางรายขายของมือสองเพื่อนำเงินมาต่อสู้ที่จะกลับเข้าไปทำงาน
นอกจากนี้ยังไม่มีการดำเนินการจากทางเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การตรวจสอบโรงงานที่กำลังเป็นข้อพิพาทว่า นายจ้างทำผิดกฎหมายหรือไม่ กรณีการใช้มาตรา 75 กับพนักงาน การตรวจสภาพการทำงานว่าปลอดภัยจากสารเคมีร้ายแรง ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่
กล่าวโดยรวมเฉพาะบทบาทเจ้าหน้าที่รัฐก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาหรือเตรียมการให้มีการไกล่เกลี่ยได้อย่างทันท่วงทีท่ามกลางความยากลำบากของแรงงาน แต่ทั้งนายทุนและเจ้าหน้าที่รัฐมีกินมีใช้อย่างน้อยในระดับปกติเหมือนที่เป็นมา
ส่วนกลไกของบริษัท คือ CSR ความรับผิดชอบต่อสังคม มักมีไว้สำหรับการประชาสัมพันธ์โอ้อวดต่อสาธารณชนตามอินเตอร์เน็ทเว็บไซด์ แต่พนักงานที่ออกมาเรียกร้องให้บริษัทปรับปรุงสภาพการจ้างงาน โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำที่เป็นตัวแทนเจรจา กลไก CSR นี้กลับไม่คำนึงถึงคนงานของตัวเอง
4. ข้อเรียกร้องต่อรัฐ
การแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างพนักงาน 4 บริษัทนี้ เจ้าหน้าที่รัฐควรต้องรับออกมาปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้แรงงาน และสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนส่วนใหญ่อย่างทันท่วงที โดยต้องปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพนักงานในระยะเฉพาะหน้า ดังนี้
4.1 ข้อเรียกร้องของพนักงานอิเล็กทรอนิกส์ 4 บริษัท มี 3 ประการ ได้แก่
1. ขอให้พนักงานทั้ง 4 แห่งกลับเข้าไปทำงาน ซึ่งจะเป็นการรักษาสถานภาพการเป็นลูกจ้างและผลประโยชน์ที่สั่งสมมาจากการทำงานหลายปี โดยจะต้องได้รับสิทธิประโยชน์และตำแหน่งตามเดิม
2. ปรับปรุงสภาพการจ้างงานให้ดีขึ้น (กรณีริโก้) และตรวจสอบการใช้มาตรา 75 ของนายจ้างว่า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ (กรณีเอจีซี)
3. หยุดการกลั่นแกล้ง ขัดขวางการจัดตั้งและดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานทั้ง 4 แห่ง
4. กรณีพนักงานเอ็มเอ็มไอที่ไม่ขอกลับเข้าทำงาน ขอค่าชดเชยพิเศษที่มากกว่าที่กฎหมายกำหนด และขอให้บริษัทจ่ายเงินค้างจ่ายบางส่วนให้ครบถ้วน พร้อมกับขยายสิทธิประกันการว่างงานเป็น 10 เดือนเพื่อขยายเวลาแก่พนักงานอายุมาก คนงานหญิงที่ตั้งครรภ์ในการหางานทำใหม่ เนื่องจากบริษัทหลายแห่งไม่นิยมรับพนักงานใหม่ที่อายุ 35 ปีขึ้นไปรวมทั้งคนงานที่กำลังตั้งครรภ์
4.2 ข้อเรียกร้องในระดับนโยบาย มี 2 ประการ ได้แก่
1. รัฐบาลจะต้องให้สัตยาบัน รับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศข้อ 87 และ 98 ว่าด้วยเสรีภาพในการรวมตัว และเสรีภาพในการเจรจาต่อรองร่วม
2. รัฐจะต้องปรับปรุงกลไกการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้รองรับสภาพความเป็นจริงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อป้องกันการเลิกจ้าง การละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเสรี และตรวจสอบโรงงานให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เสรีภาพของนายทุนก็คือการผูกขาดอำนาจการปกครองเพียงฝ่ายเดียว ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่กระทำหรือรีรอ-ล่าช้าในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของแรงงานคนส่วนใหญ่ สังคมโดยทั่วไปและฝ่ายแรงงานทุกภาคส่วนก็สามารถมีข้อมูลได้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐเกรงใจนายทุน-เข้าข้างนายทุนหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับนายทุน ซึ่งข้อสรุปนี้มิได้มาจากจินตนาการ หากเป็นการประพฤติ-การปฏิบัติของรัฐและทุนที่ขัดขวางการสร้างเสริมประชาธิปไตย และเป็นอันตรายต่อความมั่นคงสงบสุขของสังคมไทยด้วย
เชิงอรรภ
[1] ข่าว เผยหลังน้ำท่วมเลิกจ้างแล้ว 25,000 คน คาดมีอีกแต่ไม่เกิน 50,000 คน. 4-1-2555. แหล่งที่มา : เว็บไซด์โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย, http://www.thailabour.org/autopagev4/show_page.php?topic_id=1618&auto_id=7&TopicPk=
[2] กฎหมายคุ้มครองแรงงาน 2541 มาตรา 75 ในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นโดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่สำคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทำให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ ซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้าของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงาน
และให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าสามวันทำการ
[3] พนักงานริโก้. เอกสารข้อเท็จจริงกรณีบริษัทริโก้แมนูแฟคเจอริ่ง(ประเทศไทย)จำกัด ละเมิดกฎหมายเลิกจ้างผู้ก่อตั้งสหภาพแรงงานและผู้แทนเจรจาข้อเรียกร้อง. 18 ธันวาคม 2554
[4] สุชาติ ตระกูลหูทิพย์. เสรีภาพของสหภาพแรงงาน แบบปากว่าตาขยิบ ลำดับเหตุการณ์กรณีเลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงงานอิเล็คทรอนิคส์และเครื่องไฟฟ้าสัมพันธ์. มูลนิธิเพื่อนหญิง. แหล่งที่มา: เว็บไซด์มูลนิธิเพื่อนหญิงhttp://www.friendsofwomen.or.th/index.php?key=Y29udGVudD1jb250ZW50JmlkPTQ1&PHPSESSID=e4a330b6d6f342e2d934a753b82ad01e
[5] สุธิลา ลืนคำ. เอกสารรายงาน บริษัทเอ็มเอ็มไอเลิกจ้างคนงานทางโทรศัพท์. 2554.
[6] กรรมการสหภาพแรงงานเอจีซีสัมพันธ์แห่งประเทศไทย. ที่ประชุมเครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ 15 ธันวาคม 2555. กรุงเทพฯ
[7] สหภาพแรงงานแรงงานโฮย่าร้องสำนักงานสวัสดิการฯ ลำพูน. แหล่งที่มา : เว็บไซด์ข่าวประชาไทhttp://www.prachatai3.info/journal/2011/12/38163
[8] พฯ โฮย่ายื่นหนังสือถึงนายกผ่าน กมธ.แรงงาน. แหล่งที่มา : เว็บไซด์ข่าวประชาไทhttp://www.prachatai3.info/journal/2011/12/38167
[9] โฮย่าเจรจานัดแรก ยังไม่ได้ข้อตกลง. แหล่งที่มา : เว็บไซด์ข่าวประชาไท, http://www.prachatai3.info/journal/2011/12/38208
[10] คนงานโฮย่าจี้ผู้ว่าลำพูนช่วยเหลือ. แหล่งที่มา : เว็บไซด์ข่าวประชาไท, http://www.prachatai3.info/journal/2011/12/38216