สัมมนา 20 ปีมลพิษอุตสาหกรรมไทย: ปัญหาและการจัดการ “เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง” นำเสนอภาพรวมโครงสร้างและปัญหา “การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย” พร้อมรวมข้อเสนอทางนโยบาย 24 ข้อ จาก 30 องค์กรภาคประชาชน

วันนี้ (28 มิ.ย.55) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (มบน.) โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ศูนย์ประสานงานการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนา "20 ปีมลพิษอุตสาหกรรมไทย: ปัญหาและการจัดการ" เพื่อทบทวนปัญหาและสถานการณ์อุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา กลังจากที่หลังประเทศไทยมีการปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจัดการมลพิษรวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมหลายด้านเมื่อปี 2535 พร้อมเสนอแนวทางในการจัดการ รวมทั้งแนวทางการป้องกันปัญหาในอนาคต
ภาพรวมโครงสร้างและปัญหา “การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวถึงเรื่องมลพิษอุตสาหกรรมว่า มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีอำนาจจัดการและสั่งปิดโรงงาน หากโรงงานนั้นก่อให้เกิดปัญหามลพิษรุนแรง โดยกรมควบคุมมลพิษที่เข้าใจกันมาตลอดว่าควรเป็นผู้ดูแลจัดการนั้น แม้ตั้งขึ้นมาดูแลสิ่งแวดล้อมแต่บทบาทหลักเน้นมลพิษและสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไปที่เป็นมลพิษชุมชน มลพิษของเมือง ไม่มีอำนาจจัดการมลพิษอุตสาหกรรม
ในส่วนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมซึ่งเป็นตัวนำพาปัญหามลพิษที่พูดถึงกันในปัจจุบันนั้น เพ็ญโฉม ให้ข้อมูลว่ามี 3หน่วงงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้กรมโรงงานอุตสาหกรรมมี 3 จำพวก ปัจจุบันมี 107 ประเภท โดยโรงงานที่มีปัญหามากคือโรงงานจำพวกที่ 3 และเขตประกอบอุตสาหกรรม ที่มีขนาดเนื้อที่ตั้งแต่ 200 ไร่ ติดต่อกันขึ้นไป
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ได้แบ่งโรงงานออกเป็น 3 จำพวก คือ
โรงงานจำพวกที่ 1 เป็นโรงงานที่สามารถประกอบกิจการได้ทันทีตามความประสงค์ของ ผู้ประกอบกิจการ แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงและประกาศกระทรวง
โรงงานจำพวกที่ 2 เป็นโรงงานที่ไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่นกัน และเมื่อจะเริ่มประกอบกิจการให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน
โรงงานจำพวกที่ 1 เป็นโรงงานที่สามารถประกอบกิจการได้ทันทีตามความประสงค์ของ ผู้ประกอบกิจการ แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงและประกาศกระทรวง
โรงงานจำพวกที่ 2 เป็นโรงงานที่ไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่นกัน และเมื่อจะเริ่มประกอบกิจการให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน
โรงงานจำพวกที่ 3 เป็นโรงงานที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะตั้งโรงงานได้
ประเภทที่สองคือส่วนที่อยู่ใต้การนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยจะกำกับโรงงานที่อยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีลักษณะการร่วมทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมและภาคเอกชน มากกว่าในรูปแบบเดิมที่เน้นการจัดการการลงทุนโดยการนิคมอุตสาหกรรม

เพ็ญโฉม กล่าวต่อมาว่า ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนโรงงานอุตสาหกรรมปัจจุบันในจำพวกที่ 2 และ 3 มีอยู่ทั้งหมด 130,131 โรงงาน กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยช่วงหลังปี 2520 เป็นต้นมามีการกระจายไปยังท้องถิ่นต่างๆ มาก ตามความพยายามในการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคโดยเฉพาะปี 2530 ซึ่งมีการขยายการลงทุนไปในภูมิภาคอย่างเข้มข้น
ส่วนจำนวนนิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และชุมชนอุตสาหกรรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีอย่างน้อย 87 แห่ง และในจำนวนนี้มีโรงงานนับพันโรงงานอยู่ภายใน เช่นนิคมอุตสาหกรรมมาตาพุดก็มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ภายในอยู่เกือบ 100 แห่ง ซึ่งจำนวนมากเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวด้วยว่า การประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่กรุง ริโอ เดอ จา เนโร ประเทศบราซิล เมื่อปี 2535 ถือเป็นหลักไมล์สำคัญของการพัฒนาที่ยังยืนของสังคมโลก ซึ่งผู้นำนานาชาติที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติให้การรับรอง โดยมาจากการประเมินผลกระทบของการพัฒนาอุตสาหกรรมอันเป็นสาเหตุให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมย่ำแย่ลง รวมทั้งเป็นต้นเหตุความเจ็บป่วยของชุมชนต่างๆ จึงมีความพยายามที่จะชี้ทิศทางการเดินหน้าของสังคมโลกไปสู่ทิศทางที่ยั่งยืน คือมีความปลอดภัยจากมลพิษและสารพิษ
“บ้านเราเองมีการพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง มีการพูดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนค่อนข้างเยอะ เราเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เราพยายามพูดถึงการปกป้องพื้นที่เกษตรและพื้นที่สิ่งแวดล้อม แต่ว่าในทางกลับกัน มันจะมีความพยายามอย่างเงียบๆ และคืบไปอย่างรวดเร็ว เงียบแต่รวดเร็ว ก็คือมีความพยายามในการแก้ไขเพื่อผ่อนกฎระเบียบหลายๆ อย่าง หลายๆ ด้าน ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว
เพ็ญโฉม กล่าวยกตัวอย่างการแก้ไขกฎระเบียบที่ประชาชนที่ไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดมักไม่รู้ เช่น เมื่อปี 2545 มีการแก้ไขข้อบังคับให้มีการร่นระยะห่างระหว่างโรงงานกับชุมชน และการแก้ไขผ่อนปรนข้อบังคับในเรื่องการตั้งโรงงานประเภทจำกัดของเสียหรือขยะอันตรายจากอุตสาหกรรม ให้โรงงานที่มีอยู่เดิมสามารถเพิ่มเติมกิจการแปรรูปของเสียได้ง่ายขึ้น เพื่อเอื้อต่อการลงทุน ลดขั้นตอนให้รวดเร็วขึ้น ต่อมาในปี 2548 ก็มีความพยายามในการแก้ไขกฎระเบียบเรื่องการจัดทำอีไอเอ โดยผ่อนผันให้นิคมอุตสาหกรรมบางแห่ง บางประเภท ไม่จำเป็นต้องจัดทำอีไอเอเมื่อจะขออนุญาตตั้งนิคม
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่ามีลักษณะที่สวนทางกันระหว่างปัญหาที่มีอยู่กับการผ่อนผันกฎในการควบคุมโรงงาน ในขณะเดียวกัน การส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมกลับมีความเข้มข้นมากขึ้น พ.ร.บ.การนิคมอุตสาหกรรมมีการแก้ไขเป็นระยะ จากฉบับแรกปี 2522 แก้ไขในปี 2534 2539 และ2550 โดยสาระสำคัญในการแก้ไขคือการเอื้ออำนวยให้มีการลงทุนได้เสรีมากขึ้น โดยการเปลี่ยนจาก “เขตนิคมอุตสาหกรรม” หรือ “เขตประกอบการอุตสาหกรรม” ให้เป็น “เขตประกอบการเสรี” แต่พบว่าเอื้อประโยชน์ให้กับโรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อการส่งออก กลายเป็นความเหลื่อมล้ำในการส่งเสริมการลงทุน
“เราอาจจะต้องกลับไปขบคิดอีกทีหนึ่งว่า เราควรจะปล่อยให้กฎระเบียบแบบนี้ดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่มีการพิจารณาหรือการแก้ไขหรือเปล่า ในเมื่อสังคมบ้านเรามีหลายพื้นที่มากที่ปนเปื้อนมลพิษ แล้วไม่มีการเยียวยา ไม่มีการฟื้นฟู แต่อุตสาหกรรมเหล่านี้ได้สิทธิประโยชน์เต็มที่ ทั้งการลดภาษีอากรนำเข้าส่งออก ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ไม่ต้องเสีย แล้วสังคมไทยได้อะไรจากการลงทุนประเภทนี้” เพ็ญโฉม ตั้งคำถามให้พิจารณา
ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวด้วยว่า ในขณะที่งานส่งเสริมการลงทุนเดินหน้าไปรวดเร็วและให้สิทธิพิเศษจำนวนมาก แต่ประเทศไทยยังขาดกฎหมายสำคัญ ซึ่งจากปฏิญญาริโอเมื่อปี 2553 รัฐบาลนานาชาติได้มีข้อสรุปว่าการพัฒนาที่ยังยืนจะเกิดได้เมื่อมีการทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลมลพิษและสารอันตราย โดยตรงนี้จะเป็นประโยชน์และทำให้การพัฒนาที่ปลอดภัยต่อสังคมเกิดขึ้นได้จริง ทั้งนี้การเข้าถึงข้อมูลมลพิษและสารอันตรายที่ถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมจะทำให้เราสามารถประเมินความเสี่ยง และสามารถจัดการได้
“ผังเมือง” กับการกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรม ปัญหาหรือทางออก?
ภารนี สวัสดิรักษ์ เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เรื่องผังเมืองเป็นเรื่องไกลตัวในสายตาประชาชนที่ต่อสู้เรื่องเรื่องมลพิษและสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันหลายพื้นที่มองเห็นความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ในขณะที่หน่วยราชการกลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน โดยในส่วนกรมโยธาธิการและผังเมืองมีความพยายามทำผังเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดี ตามที่ถูกเขียนในนิยามการผังเมือง พ.ร.บ.การผังเมือง ในการสร้างเมืองน่าอยู่ ตั้งแต่ปี 2518 แต่เมืองที่มีมลพิษกลับมีมากกว่าเมืองน่าอยู่
ส่วนประเด็นเรื่องนโยบาย กรมโยธาธิการฯ มีความพยายามมองเรื่องการแก้ปัญหาความเสียงภัยกับตัวชุมชน โดยจัดทำไว้ในรายงาน “ผังประเทศไทย 2600” ซึ่งเป็นเรื่องความเสี่ยงภัยทางธรรมชาติกับชุมชน แต่ไม่มองเรื่องความเสี่ยงภัยจากมลพิษในผังเมือง ซึ่งหากเกิดในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติจะทำให้ภัยนั้นกลายเป็นมหันตภัย เช่นในกรณีน้ำท่วมในพื้นที่มลพิษ

ภารนี กล่าวว่า เรื่องการจัดการมลพิษในผังเมืองต้องแก้ตั้งแต่ในระดับนโยบาย ไม่ใช่เฉพาะในชุมชนใดชุมชนหนึ่ง หรือโรงงานใดโรงงานหนึ่ง แต่นโยบายซึ่งเป็นตัวร้ายที่เอามลพิษเข้าไปในพื้นต่างๆ ที่ยังมีอยู่
นักวิชาการเครือข่ายวางแผนและ ผังเมืองเพื่อสังคม ให้ข้อมูลว่า ผังประเทศไทย 2600 เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547-2548 ซึ่งมีการต่อสู้เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ และในผังประเทศไทยนี้ได้เขียนไว้ข้อหนึ่งว่าในผังประเทศไทยต้องกำหนดพื้นที่รองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษไว้ในขอบเขตงาน (TERMS OF REFERENCE: TOR) โดยที่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องเลย และเพิ่งมีการคัดค้านเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งส่วนตัวก็ยังค้านผังนี้อยู่และจะค้านต่อไป เพราะผังประเทศไทยดังกล่าวมีบางส่วนที่เป็นปัญหา และโยนปัญหาให้ชาวบ้านไปทะเลาะกับกลุ่มทุน กับอำนาจรัฐ ซึ่งไม่ยุติธรรม
“เวลาดูในผังก็ดูเหมือนว่ามันดี เขาบอกว่าจะเป็นการทำผังที่มองไปยังอนาคตข้างหน้าตั้งปี 2600 แต่ว่าประเด็นปัญหาที่เป็นปัญหาแรงๆ ปัญหาที่มีผลกระทบกลับไม่หยิบขึ้นมาดู เช่น การโซนนิ่งอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมมลพิษไม่มี แต่มีแต่การโซนนิ่งว่าจะส่งเสริมอุตสาหกรรมตรงไหน มันก็ออกมาเป็นอย่างนี้ การโซนิ่งพื้นที่ทางทะเล หรือพื้นที่อนุรักษ์ที่จะเอามาใช้ในเรื่องของเหมือง ในเรื่องของพลังงานก็ไม่มีตรงนี้ไว้ในผังประเทศไทย แสดงว่าการมองไปข้างหน้าเป็นการมองในลักษณะที่จะดึงเอาการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาในผังประเทศไทย อยู่พื้นที่ตรงไหน ได้เท่าไหร่ ที่เหลือกันเอาไปไว้ให้ชาวบ้านอนุรักษ์ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” ภารนี ตั้งข้อสังเกต
ภารนี กล่าวด้วยว่า ผังประเทศไทย 2600 ได้เขียนไว้หลวมๆ ว่า พื้นที่อุตสาหกรรมหลัก ปิโตรเคมี เหล็ก น้ำมัน จะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ตรงนี้กลายเป็นกรอบที่จะทำให้กระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงพลังงานนำไปทำแผน เนื่องจากวัตถุประสงค์ของผังประเทศไทยเขียนไว้ข้อหนึ่งว่าผังตรงนี้เป็นการกำหนดกรอบสำหรับหน่วยงานที่จะนำไปทำต่อ
“ในผังประเทศไทยก็ไม่มีข้อสรุปเลยว่าแล้วคุณจะประเมินผลกระทบของผังเมืองอย่างไร ในขณะที่เราพูดถึง HIA ผังเมืองมันอาจจะต้องพูดถึง CIA คือ City Planning Impact Assessment” นักวิชาการเครือข่ายวางแผนและ ผังเมืองเพื่อสังคมกล่าว และว่าในหลายประเทศมีการตั้งคำถามว่าพื้นที่สีม่วง หรือพื้นที่สีเขียวจะมีผลกระทบอย่างไรทั้งในด้านบวกและด้านลบ แต่ตรงนี้ไม่มีการดำเนินการ จึงยังมีการคัดต้านอยู่
ภารนี แสดงความเห็นต่อมาว่า ผังเมืองมีการระบุว่าจะเป็นแหล่งอาหารโลกนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้ เช่น ชายฝั่งทะเลตะวันออก ชายฝั่งทะเลภาคใต้ แต่กลับมีการวางโครงการท่าเรือน้ำลึก คลังน้ำมันไปไว้ในแหล่งอาหาร และกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมหลักไว้ในภาคตะวันออกซึ่งบอกว่าจะให้เป็นแหล่งอาหาร ตรงนี้คือเรื่องที่ผังประเทศไทยต้องปรับปรุงด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม เพราะหากไม่ปรับปรุงและมีการใช้บังคับ ตรงนี้จะไปสัมพันธ์กับการกำหนดงบประมาณของหน่วยงานให้เหมาะสม รวมทั้งส่งผลกระทบต่อผังในระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับพื้นที่ต้องจัดทำโครงการให้สอดคล้องกับผังประเทศด้วย
ขณะนี้ประชาชนในหลายพื้นที่ได้ลุกขึ้นมาทำข้อมูลในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ และในส่วนราชการก็ต้องมีการปรับปรุงการอนุมัติอนุญาต เพราะมีหลายพื้นที่ที่อ้างว่าผังเมืองกำหนดกรอบอุตสาหกรรมไว้ให้ แล้วระบุว่าอีไอเอสอดคล้อง ขณะที่บางพื้นที่เมื่อผังเมืองห้ามก็กลับบอกว่าผังเมืองไม่บังคับใช้ ช่องโหว่ในการอนุมัติอนุญาตที่มีอยู่ในกฎหมายหลายฉบับนี้ คงต้องฝากให้คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเข้าไปแก้ไข
นอกจากนั้น ในส่วนของผังเมืองซึ่งกฎหมายได้กำหนดอำนาจหน้าที่ให้คุ้มครองพื้นที่ที่ตัวเองปกป้อง แต่กลับไม่ทำ เช่นกรณีสระบุรีที่ผังเมืองห้ามโรงไฟฟ้าในพื้นที่แต่โรงไฟฟ้ากลับได้รับอนุญาตดำเนินโครงการ ในขณะที่ผังเมืองรอประกาศ ทั้งที่สามารถออกหลักเกณฑ์คุ้มครองได้ในระหว่างที่มีผังยังไม่เสร็จ ตรงนี้ต้องแก้ไขให้ราชการทำหน้าที่ของตนเอง
สำหรับข้อเสนอ ภารนีกล่าวว่า ชาวบ้านต้องยืนยันการใช้สิทธิของตัวเองในเรื่องผังเมือง ทำข้อมูลด้วยตนเองและยื่นไปที่หน่วยงานต่างๆ ในส่วนหน่วยงานรัฐควรต้องปรับปรุงมาตรฐานผังเมือง ซึ่งกรณีพื้นที่สีเขียวเห็นได้ชัดว่าเลือกปฏิบัติและไม่มีมาตรฐาน หลายจังหวัดกำหนดไม่เหมือนกัน และอย่าใช้ GDP เป็นตัวกำหนดพื้นที่ อีกทั้งเรื่องทำผังพื้นที่เสี่ยงภัยที่ครอบคลุมพื้นที่เสียงภัยมลพิษ
“ถึงเวลาที่เรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ และจะปล่อยให้เขานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เช่นกัน” นักวิชาการเครือข่ายวางแผนและ ผังเมืองเพื่อสังคมให้ความเห็น

คดีมลพิษ และสารพัดปัญหาในกระบวนการยุติธรรม
สุรชัย ตรงงาม ทนายความโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องมลพิษคือการไม่บังคับใช้กฎหมาย ทั้งในการป้องกันและการเยียวยาความเสียหายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในเรื่องมาตรการการป้องกัน เช่น การวางผังเมือง การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางสุขภาพ หรือการควบคุมตรวจสอบตามที่ระบุไว้ ปัจจุบันยังไม่มีหลักการเพียงพอที่จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าการดำเนินโครงการจะไม่เกิดผลกระทบ รวมทั้งเมื่อเกิดผลกระทบขึ้นก็ทำให้เกิดคำถามว่าที่ผ่านมาการศึกษายังไม่ช่วยให้มีการป้องกันที่เพียงพอ ทั้งนี้ สำหรับบางโครงการอาจมีการศึกษาไว้อย่างดีแต่การควบคุมตรวจสอบไม่เป็นไปตามมาตรการที่กำหนดก็จะทำให้เกิดปัญหา
ในทางกฎหมายผู้ที่กระทำผิดด้านสิ่งแวดล้อมต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญา ทางปกครอง ทางแพ่ง ส่วนตัวเข้าใจว่า ความผิดซึ่งผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบนั้นเป็นปัญหามากในประเทศไทย เนื่องจากการทำงานมาสิบกว่าปีพบว่า หากมีการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อม ปัญหาประการแรกคือจะมีหน่วยงานเช่นกรมควบคุมมลพิษแสดงความเห็นว่าผู้ประกอบการรายใดเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นอีก เช่น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ซึ่งอาจจะมีความเห็นไปอีกทางหนึ่ง ตรงนี้นำไปสู่ความคลุมเครือว่าใครเป็นผู้ที่กระทำความผิด แค่ไหน อย่างไร
“ผมว่าบ้านเรายังไม่มีความพยายามอย่างเพียงพอที่จะแสวงหาผู้กระทำความผิดด้านสิ่งแวดล้อม จริงอยู่ที่ว่าอาจจะยาก แต่ผมคิดว่าในเชิงเทคนิคแล้ว หากมีการวางแผนหรือประสานงานกันอย่างจริงจังในการหาตัวผู้กระทำความผิดด้านสิ่งแวดล้อม ก็จะง่ายกว่านี้ แต่อันนี้ก็จะผลักให้เป็นภาระของประชาชนที่ต้องแสวงหาผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการต่างๆ พยายามมายืนยันให้เห็นความเชื่อมโยงว่า การกระทำผิดต่างๆ เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการรายใด ซึ่งนี่เป็นปัญหามาก” ทนายความโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อมให้ความเห็น
สุรชัย กล่าวต่อมาโดยยกตัวอย่างกรณีคลิตี้ว่า ศาลได้วินิจฉัยว่ามีการจงใจปล่อยสารเคมีลงลำห้วย แล้วก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อประชาชนในวงกว้างมาก จะถือได้หรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำทางอาชญากรรมแบบหนึ่ง เรียกว่า “อาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม” แต่หากคิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม ก็จะพบว่ามันจะเป็นอาชญากรรมที่ไม่มีอาชญากรอยู่เสมอ พูดง่ายๆ ว่าเห็นการกระทำผิดต่อหน้าแต่ไม่มีผู้ที่ต้องรับผิดชอบอย่างชัดเจน
ปัญหาที่สอง คือ ไม่มีการบังคับใช้มาตรการทางปกครองให้เหมาะสม ขณะที่ตนเองอยู่ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของสภาทนายความก็พบเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก ว่ามีการปล่อย การปนเปื้อนหรือมีกลิ่นเหม็นของโรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการต่างๆ เมื่อทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบแล้วก็จะมีคำสั่งให้แก้ไข ปัญหาก็จะหายไปพักหนึ่งแล้วต่อมาก็กลับมาอีก ในเรื่องนี้รัฐควรจะมี การบังคับให้เหมาะสมว่าถ้ามีการกระทำซ้ำซากก็ต้องบังคับให้หนักขึ้น เช่น สั่งให้หยุด หรือยกเลิกเพิกถอนไป อย่างไรก็ตามมาตรการปกครองของไทยนั้นเน้นไปในทางให้แก้ไขเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ในกรณีที่เป็นครั้งแรกหรือไม่ร้ายแรง แต่ในกรณีกระทำซ้ำซากหรือเป็นการกระทำที่รุนแรงอาจต้องใช้มาตรการทางปกครองให้มากขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการดำเนินคดีทั้งแพ่ง อาญา กับผู้ก่อมลพิษไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อมโยงในเรื่องการหาตัวผู้กระทำความผิดที่ไม่มีความชัดเจน และอาจเกี่ยวข้องกับตัวกฎหมายที่อาจจะยังล้าสมัยอยู่ เช่น พ.ร.บ.แร่ กรณีคลิตี้ ทางกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้รับการร้องเรียนเรื่องการปล่อยสารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วย จึงไปตรวจสอบและพบว่าจริง จึงสั่งปรับเต็มที่เป็นเงิน 2,000บาท ซึ่งก็เป็นไปตามกฎหมาย
“คือจะถามว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายไหม ไม่ครับ กฎหมายมีอยู่แค่นั้น มันไม่น่าเชื่อว่ากรณีการกระทำใดๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงแบบนี้ โทษที่เกิดขึ้นนั้นน้อยมาก จนแทบไม่ต้องไปคิดว่ามันก่อนให้เกิดความเกรงกลัวที่จะไม่กระทำซ้ำอีก หรือจะเป็นตัวอย่างสำหรับผู้ประกอบการรายอื่น มันไม่มี” สุรชัย กล่าว
ในเรื่องการเยียวยาความเสียหาย สุรชัย แสดงความเห็นว่า ไทยยังขาดมาตรการเยียวยาความเสียหายที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างกรณีมีการดูดทราย ทำให้บ้านเรือนถล่มลงมา ชาวบ้านไปฟ้องร้องว่าทางหน่วยงานมีใบอนุญาตไม่ถูกต้อง และมีการขอคุ้มครองชั่วคราวโดยให้ทางหน่วยงานเข้ามาเยียวยาแก้ไข อ้างตามที่ พ.ร.บ.โรงงานที่กำหนดไว้ว่า หากมีการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมแล้วทางผู้ประกอบการไม่แก้ไข ค่อยให้อำนาจทางกรมโรงงานเข้าไปดำเนินการแก้ไขได้ โดยขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนสิ่งแวดล้อม เมื่อเจรจากับทางผู้ประกอบการเรียบร้อยแล้วได้เงินคืนกลับมา ก็นำไปคืนให้กับกองทุนสิ่งแวดล้อม
แต่ในระหว่างการไต่สวน ทางกรมโรงงานชี้แจงว่าตั้งแต่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเมื่อ พ.ศ.2535 เรื่อยมา ยังไม่เคยใช้กฎหมายฉบับนี้มาก่อน พูดได้ว่ารัฐยังไม่เคยเข้าไปแก้ไขปัญหาโดยใช้กฎหมายฉบับนี้ ไม่เคยนำเงินจากกองทุนสิ่งแวดล้อมเข้ามาแก้ไขทั้งที่มีกฎหมายเขียนไว้ ด้านกองทุนสิ่งแวดล้อมเองก็มาชี้แจงกับศาลว่าไม่เคยมีระเบียบแบบนี้เช่นเดียวกัน คือทั้งกรมโรงงานและกรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมซึ่งอยู่ในสังกัดของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่มีการออกกฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายเรื่องนี้
ทนายความโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวต่อมาถึงปัญหารัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟูล่าช้า ในกรณีการปนเปื้อนสารตะกั่วคลิตี้ว่า มีการฟ้องทางกรมมลพิษว่าไม่ได้ดำเนินการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางกรมควบคุมมลพิษก็ไปดำเนินการกับทางบริษัทผู้ก่อมลพิษให้ไปดักตะกอนกรวดที่ฝายหินทิ้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการทำแผนงานต่อ โดยกรมควบคุมมลพิษมีความเห็นในทางเทคนิคว่าควรปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งส่วนตัวแลชาวบ้านเข้าในว่าหมายถึงกรมควบคุมมลพิษ “ไม่ต้องทำอะไร” นำไปสู่การฟ้องร้องคดี ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า หลายๆ เรื่องไม่อาจพิจารณาแต่ข้อมูลในทางเทคนิค แต่ต้องคำนึงถึงการกระทบต่อสิทธิ์ของชุมชนมาพิจารณาประกอบด้วย
ประเด็นต่อมาที่สืบเนื่องกัน คือการดำเนินโครงการใดๆ ชุมชนมักจะขาดการรับรู้ข้อมูล ทั้งก่อนดำเนินโครงการ การติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการสิ่งแวดล้อม รวมถึงแม้ว่ามีการเยียวความเสียหายที่อาจจะมีผลกระทบต่อเขาก็ยังไม่มีการดำเนินการ เรื่องนี้อยากให้พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 โครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีผลกระทบต่อชุมชนไม่ต้องรุนแรง แต่มีมาตรการในการดำเนินการ ให้ข้อมูล รับฟังความคิดเห็น ซึ่งเรื่องนี้เข้าใจว่ายังไม่มีเกณฑ์ใดๆ การดำเนินโครงการต่างๆ จึงมีปัญหาความเห็นที่แตกต่างและความขัดแย้งในชุมชน ทั้งนี้มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น ว่าจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามารับรู้ข้อมูลและแสดงความเห็นได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานมีหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน
สุรชัย กล่าวถึงปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรมว่า มี 1.ปัญหาเรื่องการเข้าถึง ว่าจะไปฟ้องร้องอย่างไร แบบไหน กับใคร 2.ไม่มีนักกฎหมายที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ 3.การฟ้องร้องต้องไม่มีการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ต้องให้มีผลไปสู่คนอื่นๆ ที่ได้รับความเสียหายในทำนองเดียวกันได้ ซึ่งจริงๆ แล้วตรงนี้มีกฎหมายที่ได้เสนอเข้าสู่สภา แต่ยังไม่มีการพิจารณา 4.ปัญหาเรื่องค่าเสียหาย เช่นถ้าเป็นค่าเสียหายทางสุขภาพที่มักเป็นการสะสม กำหนดค่าเสียหายยาก ส่วนความล่าช้าในการพิจารณาก็เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่มีการพยายามแก้ไขอยู่

เปิด 24 ข้อเสนอทางนโยบาย หวังแก้ปัญหามลพิษอุตสาหกรรม-นโยบายการพัฒนา
จากนั้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับตัวแทนชาวบ้านประกอบด้วย วินัย กาวิชัย เครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จ.ตราด ตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี แกนนำเครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม และ พัชรี ดิษฐ์เย็น เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก จัดแถลงข่าว ข้อเสนอเชิงนโยบายจากเวทีสัมมนาซึ่งมาจากการร่วมระดมความเห็นของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 30 องค์กร ทั้งหมด 24 ข้อ ใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม อาทิ การกำหนดนโยบายการพัฒนาของรัฐ ทั้งระดับประเทศและระดับพื้นที่ ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และการรักษาความมั่นคงทางอาหาร เคารพสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง การพัฒนาประเทศต้องคำนึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการส่งเสริมการลงทุน ต้องคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และให้ปฏิรูปกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศทุกฉบับที่ไม่รับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการจัดการมลพิษ
ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งจากการขยายอุตสาหกรรม อาทิ การส่งเสริมมาตรการป้องกันเชิงพื้นที่ ให้มีความเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำผังเมือง ทั้งในระดับชุมชน ระดับจังหวัด และระดับประเทศ คุ้มครองพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ก่อนการพิจารณาอนุญาตให้เอกชนใช้ประโยชน์ ให้มีการกำหนดระยะเวลาการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติในนิคมอุตสาหกรรม ต้องเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการให้สัมปทานหรือการประมูลโครงการขนาดใหญ่ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ และต้องปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอไอ)
ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหามลพิษจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว อาทิ การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม ก่อนอนุญาตให้มีอุตสาหกรรมเพิ่ม ส่วนการขยายอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมแล้ว ต้องศึกษาศักยภาพการรองรับมลพิษของพื้นที่ในภาพรวม และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ต้องมีการกำหนดพื้นที่กันชนระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชนที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันทุกฝ่าย จัดทำระบบและเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษอุตสาหกรรมและสารเคมีอันตราย มีระบบการจัดการขยะอุตสาหกรรมทั้งในเชิงป้องกันและลดปัญหา ต้องมีองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม มีระบบการแก้ไขเยียวยาปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และมีกองทุนในการเยียวยาความเสียหาย
“นี่เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาล และเราจะพยายามขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เป็นจริงด้วย” เพ็ญโฉม กล่าวในเวทีเสวนาซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา นักศึกษา ประชาชนทั่วไป และชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรมและโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม กว่า 200 คน
ทั้งนี้ รายละเอียดข้อเสนอทั้งหมดระบุดังนี้
![]() ข้อเสนอเชิงนโยบายจากเวทีสัมมนา
“20 ปีมลพิษอุตสาหกรรมประเทศไทย: ปัญหาและการจัดการ” 28 มิถุนายน 2555
เป็นเวลา 20 ปีเต็ม นับจากปี พ.ศ.2535 ที่ประเทศไทยมีการปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจัดการมลพิษรวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ได้แก่ พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 และการตั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการก่อตั้งกระทรวงที่รับผิดชอบดูแลด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรงของประเทศเป็นครั้งแรกพร้อมกับการก่อตั้งกรมควบคุมมลพิษ (คพ.), กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
ในขณะเดียวกัน การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยอย่างเข้มข้นในช่วงเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมารุดหน้าไปมาก พร้อมๆ กับการใช้สารเคมีปริมาณมหาศาลในทุกภาคการผลิต ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการจัดการกากเคมีและของเสียอันตรายจำนวนมาก ปัญหาน้ำเสียและมลพิษอากาศที่เกิดจากโรงไฟฟ้าและโรงงาน ปัญหาการแพร่กระจายของโลหะหนักเป็นบริเวณกว้างตามแหล่งน้ำและดินในหลายพื้นที่ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่ผ่านมา ต้องแลกกับสุขภาพของประชาชนและคนงานจำนวนมากที่เจ็บป่วยด้วยโรคจากมลพิษอุตสาหกรรมและสารเคมีอันตราย ทั้งนี้ ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมสืบเนื่องจากการดำเนินนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขัดแย้งกับความต้องการของคนในชุมชนท้องถิ่นหลายพื้นที่ หลายกรณีลงเอยด้วยการสูญเสียชีวิต อีกหลายกรณีได้กลายเป็นภาวะความขัดแย้งที่ยังคงร้าวลึกต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน
ปัญหาเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกระจายวงกว้างและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมของประเทศยังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะที่การจัดการกับปัญหามลพิษ การปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางนโยบายและโครงการพัฒนายังคงมีปัญหาด้วยเหตุนี้ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมตามรายชื่อแนบท้าย ซึ่งรวมตัวกันในงานสัมมนา “20 ปีมลพิษอุตสาหกรรมประเทศไทย: ปัญหาและการจัดการ” ในวันที่ 28 มิถุนายน 2555 จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาจากมลพิษอุตสาหกรรมและความขัดแย้งจากนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศอย่างเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนในสังคม ดังต่อไปนี้
ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
1. รัฐบาลต้องเคารพสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนกำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาพื้นที่ตนเอง
2. การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ต้องคำนึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชน และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยไม่มุ่งเน้นแต่เพียงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และรัฐต้องกำหนดตัวชี้วัดการพัฒนาใหม่ โดยไม่ยึดติดแต่ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เท่านั้น
3. การกำหนดนโยบายการพัฒนาของรัฐ ทั้งระดับประเทศและระดับพื้นที่ ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และการรักษาความมั่นคงทางอาหาร และจะต้องไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาหาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งประมง
4. ในการส่งเสริมการลงทุน ต้องคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และชุมชน และทำให้เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น โดยไม่ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและส่งผลเสียต่อสุขภาพชุมชน
5. ต้องปฏิรูปกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศทุกฉบับที่ไม่รับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการจัดการมลพิษ
ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งจากการขยายอุตสาหกรรม
6. รัฐต้องคำนึงถึงมาตรการป้องกันเชิงพื้นที่ ให้มีความเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ เช่น ผังเมือง, ประกาศเขตควบคุมมลพิษ, ประกาศเขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม, ประกาศเขตคุ้มครองความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น
7. รัฐต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำผังเมือง ทั้งในระดับชุมชน ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ตลอดจนต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผังเมืองอย่างเคร่งครัด และเมื่อร่างผังเมืองได้่ผ่านขั้นตอนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้ว รัฐต้องป้องกันมิให้มีการดำเนินการใดที่ขัดต่อร่างผังเมืองดังกล่าว
8. รัฐต้องกำหนดให้ผังเมืองเก่าที่หมดอายุมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีผังเมืองใหม่ใช้บังคับ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย
9. รัฐต้องคุ้มครองพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ก่อนการพิจารณาอนุญาตให้เอกชนใช้ประโยชน์
10. ต้องมีการกำหนดระยะเวลาการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติในนิคมอุตสาหกรรม
11. การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่ในด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพชุมชนเป็นสำคัญ
12. รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการให้สัมปทาน หรือการประมูลโครงการขนาดใหญ่ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
13. ต้องปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอไอ) เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติ-อนุญาตโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
13.1 กำหนดหลักเกณฑ์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำอีไอเอให้ชัดเจน
13.2 จัดทำระบบที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบการดำเนินการของโครงการตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ
13.3 ต้องมีระบบการรับเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และเร่งดำเนินการตรวจสอบ-แก้ไขปัญหาให้รวดเร็วและเท่าทันต่อสถานการณ์
13.4 แก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในระบบการจัดจ้างทำอีไอเอ โดยยกเลิกระบบที่ให้เจ้าของโครงการเป็นผู้จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาโดยตรง และสร้างระบบที่มีองค์กรกลางเข้ามาจัดการแทน
ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหามลพิษจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว
14. รัฐต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม ก่อนที่จะอนุญาตให้มีอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
15. การขยายอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมแล้ว ต้องมีการศึกษาศักยภาพการรองรับมลพิษของพื้นที่ในภาพรวม และเปิดเผยข้อมูลการศึกษาต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการพิจารณาอนุมัติ-อนุญาตอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
16. ต้องมีการกำหนดพื้นที่กันชนระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชนที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันทุกฝ่าย
17. รัฐต้องจัดทำระบบและเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษอุตสาหกรรมและสารเคมีอันตราย ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย
18. รัฐต้องจัดให้มีระบบการจัดการขยะอุตสาหกรรม ทั้งในเชิงป้องกันและลดปัญหาขยะอุตสาหกรรม และการจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชนและสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ต้องเป็นระบบที่เข้าถึงและตรวจสอบได้โดยสาธารณะ
19. หน่วยงานอนุมัติ-อนุญาต ต้องมีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษ และฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจดังกล่าว
20. หน่วยงานที่-อนุมัติอนุญาต ต้องใช้อำนาจในการกำกับดูแลโครงการ และต้องรับผิดชอบหากโครงการก่อให้เกิดผลกระทบ หากละเลยหรือเพิกเฉยต้องรับโทษทางวินัย หรือโทษอื่นใดตามกฎหมาย
21. การจัดสรรทรัพยากรน้ำ ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์ของชุมชนก่อนภาคอุตสาหกรรม
22. ต้องมีองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม
23. ต้องมีระบบการแก้ไขเยียวยาปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม
24. ให้มีกองทุนในการเยียวยาความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุน และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลในการบริหารจัดการกองทุนต่อสาธารณะ
ในการรวมตัวกันครั้งนี้ พวกเราเห็นร่วมกันว่า การพัฒนาทางด้านวัตถุอย่างเดียวอย่างไม่สมดุล เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสังคม จึงต้องมีการพัฒนาทางด้านจิตใจและความคิดของคนในสังคมควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอข้างต้นให้บรรลุผลได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมือง ให้มีธรรมาภิบาล มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังต้องมีการปฏิรูประบบการศึกษาให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมพร้อมกันไปด้วย
ร่วมลงชื่อโดย
1. มูลนิธิบูรณะนิเวศ
2. โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม
3. เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรมหนองแซง-ภาชี จ.สระบุรี
4. ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่งคอย จ.สระบุรี
5. เครือข่ายติดตามผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา
6. เครือข่ายคุ้มครองบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
7. เครือข่ายประชาชนคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังขั้นที่ 3 จ.ชลบุรี
8. เครือข่ายคนบ้านค่ายรักบ้านเกิด จ.ระยอง
9. สภาองค์กรชุมชนตำบลป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง
10. เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก, มาบตาพุด จ.ระยอง
11. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี
12. สมัชชาประชาชนรักษ์โลกร้อน
13. กลุ่มคนรักษ์บ่อวิน จ.ชลบุรี
14. กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จ.ราชบุรี
15. กลุ่มรักแม่พระธรณี จ.ชลบุรี
16. เครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จังหวัดตราด
17. เครือข่ายรักษ์อ่าวไทย เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี
18. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคท่าจะนะ จ.สุราษฏร์ธานี
19. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์
20. คณะทำงานพลังงานยั่งยืน จังหวัดสุรินทร์
21. ศูนย์ประสานงานประชาสังคม จ.เลย
22. กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด ต.เขาหลวง จ.เลย
23. กลุ่มรณรงค์คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดตรัง
24. เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ จ.ลำปาง
25. กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
26. เครือข่ายเกษตรทางเลือก จ.ฉะเชิงเทรา
27. กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา
28. ชมรมอาสาสมัครรักษาสิ่งแวดล้อมคลองบางแก้วและเจดีย์บูชา จ.นครปฐม
29. กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมียมตำบลพระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก
30. เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล
|
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai