-
เหมือนไม่มีกฎหมายใช้บังคับ กับอำนาจหนึ่งนั้นในสามส่วน
เหมือนหลุดพ้นจากกรอบผิด-ชอบมวล จึงเรรวนล้ำรุกขึ้นทุกวัน
-
“ บริสุทธิ์ ” “ ยุติธรรม ” อันล้ำเลิศ ผู้คนเทิดทูนค่ามาเปลี่ยนผัน
นิติธรรมเสื่อมถอยล่องลอยพลัน “หลักการ” บั่นถอนรากเหลือ “หลักกู”
-
คนผิดคนชั่วช้ากลับคลาคลาด โดยอำนาจดุลพินิจเหนือทุกผู้
“ ยังไม่ครบองค์ประกอบอันชอบ “ ชู ” ยังไม่อยู่ในประเด็นที่เป็นจริง ”
-
แต่ในเรื่องเดียวกันที่ผันผ่าน เคยประหารชีวิตเขาวอดดิ่ง
ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างอิง ยกตำราทั้งหิ้งมาบรรยาย
-
“ ข้อเท็จจริงแตกต่าง “ ทั้งที่เหมือน แล้วบิดเบือนตัวบทของกฎหมาย
“ พฤติกรรม “ ซับซ้อนและซ่อนปลาย ผลสุดท้ายฝ่ายอธรรมครอบงำเมือง
-
“ มือที่มองไม่เห็น “ เป็นอีกอย่าง อำนาจในโครงสร้างเป็นอีกเรื่อง
“ นิติบัญญัติ “ “ บริหาร “ สองฟันเฟือง ล้วนนับเนื่องในหลักการคานและคุม
-
นักการเมืองฉ้อราษฎร์คอร์รัปชั่น ย่อมรู้กันสนั่นสื่อราวไฟสุม
เหมือนตกอยู่ในนรกหัวอกรุม มือกฎหมายไล่ขยุ้มจนย่อยยับ
-
ที่หนีรอดก็หลบเร้นไม่เห็นฝั่ง ได้แต่หวังไว้ว่าชะตากลับ
เร่งเวลาอายุความครบตามนับ จะสิ้นดับเสียก่อนสุดร้อนใจ
-
แต่อำนาจมืดมิดผู้ขีดเส้น มืดจนมองไม่เห็นว่าเป็นไฉน
คำบรรยายที่อ่านประการใด เบื้องหลังเล่ามีใครชักใยกัน
-
เกิดคดีตีความตามใจผิด สื่อที่ไหนกล้าสะกิดให้ไหวหวั่น
ชี้ขาดสองมาตรฐานประมาณนั้น คอร์รับชั่นตามมาชั่วช้านัก
-
เมื่อไม่มีกฎหมายใช้บังคับ กับอำนาจหนึ่งให้เห็นเป็นประจักษ์
“ มือที่มองไม่เห็น “ จึงเร้นลัก เข้าไปชักใยโยงในองค์กร
-
ประชาธิปไตยไทยจึงไร้หลัก ยังมืดมนหม่นนักเส้นทึบซ่อน
บ้านเมืองยังช้ำชอกยังยอกย้อน ประชาชนรุ่มร้อนและรอคอย ๛