“ทนง โพธิ์อ่าน” อดีตประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2534 ภายหลังการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งขณะนั้น “ทนง โพธิ์อ่าน” เป็นผู้นำระดับสูงของขบวนการแรงงานที่มีบทบาทในการต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างชัดเจนที่สุด
การหายตัวไปของ “ทนง โพธิ์อ่าน” จึงมีเงื่อนงำและเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ณ ปัจจุบัน เวลาผ่านไป 21 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลชุดใดสามารถให้คำตอบต่อการสูญหายของ”ทนง โพธิ์อ่าน”
ในโอกาสรำลึกถึง “ทนง โพธิ์อ่าน” ในฐานะผู้นำแรงงานที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผู้เขียนจึงขอเสนอบทความนี้เพื่อเปิดประเด็นปัญหาประชาธิปไตยในสังคมไทยและบทบาทของขบวนการแรงงานที่ควรจะเป็นในอนาคตและเพื่อสืบทอดจิตวิญญาณประชาธิปไตยของ “ทนง โพธิ์อ่าน”
ปัญหาประชาธิปไตยในสังคมไทย
คำว่า “ประชาธิปไตย” ประกอบด้วยคำว่า “ประชา” หมายถึงหมู่คนคือปวงชน กับคำว่า ”อธิปไตย” หมายถึงความเป็นใหญ่คำว่า “ประชาธิปไตย” จึงหมายถึง “ความเป็นใหญ่ของปวงชน” และราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้ในหนังสือพจนานุกรมของทางราชการว่า “แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่”
ทั้งนี้พึงเข้าใจว่าการที่ปวงชนจะมีความเป็นใหญ่ในการแสดงมิติได้ก็จำเป็นที่ชนทุกคนรวมกันเป็นปวงชนนั้นต้องมี “สิทธิและหน้าที่ของมนุษยชน” อันเป็นสิทธิและหน้าที่ตามธรรมชาติของทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือ สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคซึ่งมนุษย์จะต้องใช้พร้อมกันกับหน้าที่ มิให้เกิดความเสียหายแก่เพื่อมนุษย์อื่นและหมู่คนอื่นหรือปวงชนเป็นส่วนรวม ถ้าชนส่วนมากซึ่งเป็น “สามัญชน” ถูกตัดสิทธิมนุษยชนโดยให้มีหน้าที่แต่อย่างเดียว สามัญชนก็มีลักษณะเป็นทาส หรือข้าไพร่ของชนส่วนน้อยซึ่งมีสิทธิใหญ่ยิ่งหรือ “อภิสิทธิ์ชน” แบบการปกครองจึงไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้าสามัญชนมีสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว โดยไม่มีหน้าที่ มนุษยชนแบบการปกครองก็เกินขอบเขตของประชาธิปไตย
ทำนองเดียวกัน วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กลุ่มนิติราษฎร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เคยสัมภาษณ์จุลนิติ โดยกล่าวถึง คำว่า “ประชาธิปไตย” หมายถึงการปกครองโดยประชาชนเป็นใหญ่ เป็นรูปแบบหนึ่งของระบอบการปกครอง (Regime of Government) เราคงทราบว่าในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น ได้ผ่านรูปแบบการปกครองมาแล้วหลายรูปแบบด้วยกัน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นประเด็นที่นับว่าเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด คือ “อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยควรเป็นของใครหรือควรอยู่ที่ใคร” ซึ่งในที่สุดแล้วพัฒนาการของแนวความคิดทางด้านการเมืองโดยเฉพาะในยุคสมัย ใหม่เป็นต้นมา ได้ให้การยอมรับและถือว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ “ควรเป็นของประชาชน”
ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว หลักการพื้นฐานหรือหัวใจที่มีความจำเป็นต้องพิจารณาและคำนึงถึงคือ อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศนั้นเป็นของใคร ฉะนั้น ถ้าหากว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระเจ้าหรือผู้แทนของพระเจ้า บนพื้นพิภพ หรือเป็นของพระมหากษัตริย์ หรือเป็นของนักวิชาการหรือนักปราชญ์แล้ว การปกครองในรูปแบบนั้นไม่ถือว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศต้องเป็นของประชาชน หลักการนี้คือหลักการพื้นฐานอันถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญหรือนิยามที่สั้นที่ สุดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ ให้พิจารณาในแง่ของตัวผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศว่า เป็นใคร อย่างไรก็ตามการแสดงออกซึ่งอำนาจของประชาชนนั้นอาจเป็นไปได้ในหลายลักษณะ ดังนั้นการใช้อำนาจสูงสุดจึงอาจมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปได้ เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง การออกเสียงประชามติ การให้องค์กรของรัฐที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว ธเนศวร์ เจริญเมือง ได้เขียนหนังสือทางเดินของประชาธิปไตย และสรุปหลักการประชาธิปไตยว่าด้วยอำนาจและการปกครอง ที่สำคัญ คือ 1. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน (People’s sovereignty) หมายความว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างๆของประเทศ ไม่มีผู้ใดมีอำนาจเหนือกว่าประชาชน หรือยิ่งใหญ่ไปกว่าประชาชน เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั่นหมายความว่า ระบอบการเมืองการปกครองเป็นของประชาชน ประชาชนปกครองตนเอง (Self government) แบบโดยตรง (direct rule) หรือโดยผ่านระบบผู้แทน และไม่ว่าระบอบการเมืองการปกครองจะเป็นแบบใด หรือเปลี่ยนไปอย่างไร ล้วนต้องได้รับการยินยอมจากประชาชน (Consent by the governed)
2.หลักการสิทธิมนุษยชน (Human Rights) คนเราทุกคนเกิดมาควรมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีสิทธิในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัวที่ควรได้รับการคุ้มครองเท่าเทียมกัน ไม่ว่าด้วยสามัญสำนึกหรือด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งนี้ การปฏิบัติใดๆต่อสมาชิกในสังคมก็ควรอยู่บนหลักการนี้ อย่างน้อยก็ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นพี่น้องร่วมชาติและร่วมโลก นี่คือคำประกาศในข้อที่ 1 ของปฏิญญาสากลของสห ประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(UNHR) และนี่คือหลักการหนึ่งที่สำคัญของสังคมประชาธิปไตย
3 .หลักการสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน (Political rights and freedom) ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง ได้แก่ มีสิทธิที่จะลงคะแนนเลือกตั้ง สิทธิที่จะดำเนินการใดๆตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆกำหนดไว้ เช่น การตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร การถอดถอนผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง ฯลฯ มีเสรีภาพในการพูด การชุมนุม การนับถือศาสนาหรือมีความเชื่อ การจัดตั้งกลุ่มหรือสมาคม และการเคลื่อนไหวใดๆทางการเมือง และที่สำคัญ มีเสรีภาพที่จะไม่ตกอยู่ในระบบการเมืองการปกครองตลอดกฎข้อบังคับใดๆที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
4 .หลักการความเสมอภาคทางการเมือง (Political equality) หมายถึงสิทธิ และเสรีภาพทางการเมืองของสมาชิกทุกคนในสังคมที่มีเท่าเทียมกัน, อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน, ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน, ไม่มีระบบอภิสิทธิ์ ไม่มีอภิสิทธิชน และไม่มีระบบสองมาตรฐานในสังคม
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังหาได้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามความหมายข้างต้น ซึ่ง ปิยะบุตร แสงกนกกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความถึง ปัญหาประชาธิปไตยแบบไทยๆ คือ 1. ประชาธิปไตยที่องคมนตรีมีอำนาจแทรกแซงการเมือง 2. ประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นได้เพียง ข้าแผ่นดิน ไม่ใช่ พลเมือง 3. ประชาธิปไตยที่เชื่อว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ตัวบ่งชี้ประชาธิปไตย 4. ประชาธิปไตยที่มีกองทัพเป็นผู้อนุบาล 5. ประชาธิปไตยที่ปราศจากการตรวจสอบและความรับผิด
ดังนั้น สังคมไทยยังห่างไกลจากความหมายของ “ประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยผู้รักประชาธิปไตยทุกสาขาอาชีพทุกกลุ่มชั้นชน ต้องรวมมือกันผลักดันให้ก้าวหน้าต่อไป เพื่อให้อำนาจในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนโดยแท้จริง
สิทธิการเลือกตั้งในสถานประกอบการของผู้ใช้แรงงาน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การพัฒนาทุนนิยมอุตสาหกรรม ทำให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจำนวนมากสู่พื้นที่การทำงานในภาคอุตสาหกรรม และแรงงานส่วนใหญ่ปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ทำงานไม่ได้กลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และจากสภาพเศรษฐกิจและการจ้างงานแรงงานราคาถูก ผู้ใช้แรงงานก็ไม่ได้มีบ้านของตนเอง จึงไม่มีทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่ทำงาน จึงเป็นผลให้ผู้ใช้แรงงานไม่มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนทั้งระดับท้องถิ่นและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ที่ตนเองทำงานและใช้ชีวิตอยู่ จึงไม่มีอำนาจต่อรองหรือเสนอปัญหาและนโยบายต่างๆของแรงงาน ให้ผู้แทนทั้งระดับท้องถิ่นและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 เพื่อประชาธิปไตย ในอนาคต จึงต้องผลักดันให้ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิการเลือกตั้ง ผู้แทนทั้งระดับท้องถิ่นและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสถานที่ประกอบการ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของผู้ใช้แรงงานในการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย
สิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มของผู้ใช้แรงงานอย่างเสรี
การรวมกลุ่มของผู้ใช้แรงงาน นั้นมีทั้งในรูปแบบสหภาพแรงงานและไม่ใช่สหภาพแรงงาน
อย่างไรก็ตาม สิทธิการรวมกลุ่มของผู้ใช้แรงงานในยุคที่อำนาจเผด็จการทหารหรือระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นใหญ่ ผู้ใช้แรงงานมักจะถูกริดรอนสิทธิ หรือห้ามการรวมกลุ่มกัน เช่น สมัยอำนาจเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ นอกจากนี้แล้ว ยังมีการใช้กฎหมายเพื่อริดรอน แทรกแซง แยกสลายขบวนการผู้ใช้แรงงานก็มักเกิดขึ้นในสมัยที่สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น พรบ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 2534 ถือเป็นกฎหมายที่ออกมาในสมัยเผด็จการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ปี 2534 และเป็นกฎหมายที่ริดรอนสิทธิเสรีภาพการจัดตั้ง การดำเนินงานของสหภาพแรงงาน และการคุ้มครองการเรียกร้องต่อรองของฝ่ายแรงงาน
ขณะเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เช่น หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม2516 ก็มีกฎหมายแรงงานสัมพันธ์2518 ซึ่งส่งเสริมสิทธิการรวมตัวของคนงานในรูปแบบสหภาพแรงงานตามกฎหมาย (แต่ปัจจุบันล้าสมัยแล้ว ต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่) หรือการผลักดันกฎหมายสำคัญๆของผู้ใช้แรงงานมักเป็นผลสำเร็จช่วงประชาธิปไตยเบ่งบาน เช่น กฎหมายประกันสังคม ซึ่งเกิดขึ้นสมัยนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัน ที่มาจากการการเลือกตั้ง เป็นต้น
ดังนั้น สรุปได้ว่า ถ้าตราบใดสังคมไทยเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น สิทธิของผู้ใช้แรงงานย่อมมีมากขึ้น และปัญหาของผู้ใช้แรงงานย่อมได้รับการแก้ไขได้มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน ผู้ใช้แรงงานจึงมีภาระกิจทางประวัติศาสตร์ในการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ร่วมกับชนชั้นอื่นๆ ในสังคมไทยด้วยเช่นกัน