Quantcast
Channel: ประชาไท
Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

ใจ อึ๊งภากรณ์: ไทยจะมีวิกฤตคนชราจริงหรือ?

$
0
0

พวกนักการเมืองฝ่ายทุน และนักวิชาการฝ่ายขวาจากสำนักเสรีนิยมกลไกตลาด (neoliberal) ในตะวันตก พูดมานานว่าในประเทศพัฒนามี “วิกฤตคนชรา” เพื่อให้ความชอบธรรมกับการตัดสวัสดิการบำเหน็จบำนาญ และบังคับให้คนงานทำงานนานขึ้นก่อนเกษียน ข้ออ้างเท็จของพวกนี้คือการที่คนชรามีอายุยืนนานขึ้น และการที่สัดส่วนคนในวัยทำงาน เมื่อเทียบกับคนเกษียณมีมากขึ้น

ตอนนี้ในไทยดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ และดร.มัทนา พนานิรามัย จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) [1] “เตือน” ว่าคนทำงานในปัจจุบัน จะต้อง “ทำใจยอมรับการทำงานที่ยาวนานขึ้น” รวมทั้งต้องเก็บออมให้เพียงพอต่อการใช้ตลอดชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมกันนั้นมีการกล่าวว่า ในไทยในปี 2552 มีสัดส่วนวัยแรงงานที่สามารถเกื้อหนุนการดูแลผู้สูงอายุได้โดยเฉลี่ย วัยแรงงาน 4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนเป็นวัยแรงงาน 1.6 คนต่อการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน

ทางออกของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยนี้ คือ “ควรดำเนินการให้มีการบริโภคอย่างฉลาดและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ส่งเสริมให้มีรายได้จากการทำงานเพิ่มขึ้น โดยส่งเสริมให้ทำงานในระบบมากขึ้นและได้รับการคุ้มครองแรงงานเพื่อให้ผู้สูงอายุมีงานทำ มีรายได้ และมีการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการออมเพื่อชราภาพมากขึ้น”

ซึ่งทั้งหมดที่ TDRI เสนอมานี้ เป็นการโยนภาระให้คนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในไทย ต้องดูแลตนเอง ทำงานนานขึ้น และต้องใช้แนวเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมีการมองว่าคนธรรมดาในปัจจุบันยากจนเพราะใช้จ่าย “ฟุ่มเฟือย”

สรุปแล้วไม่มีการพิจารณาภาพรวมของสังคมไทย และข้อถกเถียงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในแวดวงวิชาการระดับโลกเลย นักวิชาการฝ่ายขวาไทยเสนอแนวคิดของตนเหมือนกับว่าเป็น “ข้อมูลวิทยาศาสตร์” ตามเคย

ในภาพรวม สิ่งที่นักวิชาการ TDRI จงใจมองข้ามคือ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทย ได้รับค่าตอบแทนน้อยเกินไป เพราะมูลค่าส่วนใหญ่ที่เขาร่วมกันผลิต ไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรม  ภาคเกษตร หรือภาคบริการ กลับตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยที่เป็นนายทุน นักการเมือง และอภิสิทธิ์ชนที่ไม่เคยทำงานเลย นี่คือสาเหตุที่ในปี ๒๕๕๒ คนรวยที่สุดในไทย 20% ครอบครอง 59% ของทรัพย์สินทั้งหมด ในขณะที่คนจนที่สุด 20% ครองแค่ 3.9% [2] และดัชนีวัดความเหลื่อมล้ำ (Gini Coefficient) ของไทยสูงกว่าประเทศจีนและประเทศอินเดีย คือสูงถึง 0.54 เมื่อเทียบกับจีน 0.42 และอินเดีย 0.37[3] พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในประเทศไทยสร้างเศรษฐกิจให้เจริญ แต่ไม่ได้ผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม แล้วพอพ้นวัยทำงานก็ถูกนายทุนทอดทิ้งไปเลย มันเป็นสถานการณ์ที่ขัดกับศีลธรรมพื้นฐานโดยสิ้นเชิง และในสถานการณ์แบบนี้ TDRI เสนอให้คนจนออมเพิ่มผ่านการลดค่าใช้จ่าย เพราะสำนักวิชาการฝ่ายขวานี้ ปฏิเสธมาตรการทุกชนิดที่จะกระจายความร่ำรวยอย่างเป็นธรรมไปสู่พลเมืองทุกคน

นอกจากนี้มีประเด็นรายละเอียดสำคัญๆ หลายประเด็นที่นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยนี้ ปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมพิจารณา ดังนี้คือ

1. ไม่มีการยอมรับความจริงทางเศรษฐกิจว่าใน 30-50 ปีข้างหน้าจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะเพิ่มความสามารถของคนในวัยทำงานที่จะดูแลคนชรา นอกจากนี้ในทุกประเทศการชะลอของอัตราเกิดที่ทำให้สัดส่วนคนชราเพิ่มขึ้นเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะในที่สุดสัดส่วนนั้นจะคงที่และไม่เปลี่ยนอีก อย่างเช่นในกรณีอังกฤษซึ่งมีคนชรา 20% เหมือนกับ 20 ปีก่อน และที่สำคัญอีกคือในประเทศที่อัตราการเกิดตกต่ำกว่าอัตราการตายเป็นเวลานาน การขาดแรงงานแก้ได้โดยการเปิดพรมแดนต้อนรับคนงานจากที่อื่นได้ ประเทศไทยก็ไม่ต่าง

2. แทนที่จะเสนอว่าในสังคมไทยควรมีการเพิ่มเงินเดือนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คนสามารถออมได้ และจ่ายค่าประกันสังคม และเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาลระหว่างนายทุนคนรวยกับประชาชนส่วนใหญ่ พวกนักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เสนอว่าคนธรรมดาควร “ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น” และ “รู้จักออม” หรือไม่ก็ควรมีงานทำ “ในระบบ” แต่จริงๆ แล้วในประเทศไทยควรมีการเพิ่มระดับค่าจ้างขั้นต่ำไปสู่ปีละ 10,000 บาทเป็นอย่างน้อย และควรมีการจำกัดระดับรายได้ของเศรษฐีผู้ที่มีรายสูง ผ่านการเก็บภาษี Super Tax อย่างที่อาจารย์ปรีดีเคยเสนอ

แน่นอนพวกเสรีนิยมจะค้านว่า การเพิ่มรายได้ให้คนทำงานและการเก็บภาษีสูงจากเศรษฐีจะทำลาย “แรงจูงใจในการลงทุน” ของคนรวย แต่ตรรกะเสรีนิยมนี้ คือการเสนอว่าระบบเศรษฐกิจอยู่ในมือ “โจรโลภมาก” ที่เราต้องเอาใจเสมอ และ“เราไม่มีทางเลือกอื่น”

3. นักวิชาการ TDRI ไม่มีการนำตัวเลขมูลค่าทั้งปวงที่คนงานไทยสร้างขึ้นในระบบเศรษฐกิจ มาเปรียบเทียบกับรายได้และสวัสดิการอันน้อยนิดของเขา ไม่มีการพิจารณาตัวเลขงบประมาณทหาร และงบประมาณพิธีกรรมต่างๆ ของอภิสิทธิ์ชน เพราะถ้าทำอย่างนั้นเราจะเห็นว่าในสังคมไทย มูลค่าที่คนส่วนใหญ่ผลิตขึ้นด้วยการทำงาน กลับถูกใช้โดยคนอื่นในทางที่ผิด และยิ่งกว่านั้นคนที่พยายามพูดเรื่องแบบนี้จะถูกขู่ว่าเป็นพวก “ล้มเจ้าไม่เคารพกองทัพ” เป็นต้น

 

สถานการณ์สากล
ในระดับสากล ก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปีค.ศ. 2008 นักวิชาการและนักการเมืองเสรีนิยมเสนอว่าคนชราทั่วไปในสังคม “เป็นภาระ” ถึงขั้นวิกฤต ความคิดนี้นอกจากจะไม่ระลึกถึงบุญคุณที่เราควรจะมีต่อคนทำงานรุ่นก่อน ที่สร้างเศรษฐกิจเราให้เจริญแล้ว ยังเป็นความเชื่อเท็จที่เสนอไปเพื่อเพิ่มอัตรากำไรให้บริษัทและกลุ่มทุน เพราะพวกนี้กำลังเสนอว่าบำเหน็จบำนาญของคนชรา “แพงเกินไป” ในยุโรปความเชื่อนี้นำไปสู่การยืดเวลาทำงาน มีการพยายามขยายอายุเกษียนถึง 65 หรือ 67มีการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่ม และมีการกดระดับสวัสดิการอีกด้วย

“วิกฤตของกองทุนบำเหน็จบำนาญ” ที่นักการเมืองและนักวิชาการเสรีนิยมพูดถึง ไม่ได้มาจากการที่มีคนชรามากเกินไปแต่อย่างใด แต่มาจากการที่รัฐบาลและบริษัทลดงบประมาณที่ควรใช้ในการสนับสนุนกองทุนดังกล่าว และไม่ยอมเก็บภาษีในอัตราเดิมสมัยที่เริ่มสร้างรัฐสวัสดิการ เป้าหมายคือการเพิ่มอัตรากำไรโดยทั่วไป

ประเด็นเรื่องคนชราเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการแบ่งมูลค่าในสังคมที่คนทำงานสร้างขึ้นมาแต่แรก  บำเหน็จบำนาญเป็นเงินเดือนที่รอจ่ายหลังเกษียณ ไม่ใช่เงินของรัฐหรือนายทุน แนวคิดเสรีนิยมต้องการจะรุกสู้เพื่อให้ฝ่ายนายทุนได้ส่วนแบ่งมากขึ้นจากคนทำงาน ผลเห็นชัดที่สุดในสหรัฐอเมริกาเพราะระดับรายได้ของคนธรรมดาในสหรัฐในปี ค.ศ.1993 แย่ลงกว่า 20 ปี ก่อนและคนงานสหรัฐส่วนใหญ่ต้องทำงานเพิ่มอีกหลายวันต่อปี ในขณะเดียวกันสัดส่วนมูลค่าการผลิตที่ตกกับผู้บริหารและเจ้าของทุนมีการเพิ่มขึ้นมหาศาล

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เริ่มในปีค.ศ. 2008 รัฐบาลตะวันตกหลายแห่ง ผลักดันแนวเสรีนิยมและเสนอว่าคนงานทุกคนต้องทำงานนานขึ้นก่อนเกษียน มีการเสนอว่าทุกคนต้อง “ทำใจ” ยอมรับการตัดบำเหน็จบำนาญ และต้องพร้อมจะจ่ายเงินสมทบบำเหน็จบำนาญสูงขึ้น ข้อแก้ตัวใหม่ที่รัฐบาลเหล่านี้ใช้คือปัญหาหนี้สินของรัฐ แต่เขาไม่ซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าหนี้ภาครัฐมาจากการอุ้มธนาคารที่ล้มละลายจากการปั่นหุ้นในตลาดเสรี ดังนั้นพวกนี้พร้อมจะให้คนธรรมดาแบกรับภาระวิกฤตที่นายธนาคารและนายทุนสร้างแต่แรก ในขณะเดียวกันพวกนายทุนและนักการเมืองก็ขยันดูแลตนเอง โดยรับประกันว่าพวกเขาจะได้บำเหน็จบำนาญหลายร้อยเท่าคนธรรมดาเมื่อตนเองเกษียณ นี่คือสาเหตุที่เกิดการประท้วงนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานในหลายประเทศ

ทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าข้อเสนอของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

1. ประเทศไทยต้องสร้างรัฐสวัสดิการ ที่มีระบบประกันสังคมถ้วนหน้าสำหรับวัยชรา เพื่อให้คนเกษียณมีชีวิตอยู่ได้ด้วยศักดิ์ศรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนในครอบครัว หรือพึ่งตนเองท่ามกลางความยากจน

2. ต้องมีการปรับเพิ่มค่าแรงอย่างมาก เพื่อให้พอเพียงสำหรับประชาชนทุกคน และเพื่อให้ทุกคนสามารถออมและจ่ายเงินสมทบทุนประกันสังคมได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเราต้องร่วมรณรงค์ให้สหภาพแรงงานมีเสรีภาพ อำนาจต่อรอง และความมั่นคงมากขึ้น

3. ต้องมีการสร้างงานในระบบที่มั่นคง ผ่านมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะหลังน้ำท่วม

4. ต้องมีการเก็บภาษีจากคนรวย และกลุ่มทุน พร้อมกับตัดงบประมาณทหาร เพื่อช่วยกระจายรายได้และสร้างการมีส่วนร่วม และประชาธิปไตย

สิ่งเหล่านี้เราทำได้ เพราะสังคมอื่นก็ทำได้ แต่ถ้าจะทำ เราต้องร่วมกันผนึกขบวนการประชาธิปไตยกับขบวนการที่สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และส่วนสำคัญของขบวนการนี้ต้องเป็นสหภาพแรงงาน

ประเทศไทยจะไม่มีวิกฤตคนชราในอนาคต แต่ตอนนี้มีวิกฤตของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองต่างหาก

 

 


[1] ดู ประชาไท 21 ธันวาคม 2011 www.prachatai.com/journal/2011/12/38415

[2] Wolfram Mathematica 2011.

[3] The Economist  20 July 2011 และธนาคารโลกไทยจะมีวิกฤตคนชราจริงหรือ?

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Viewing all articles
Browse latest Browse all 51020

Trending Articles



<script src="https://jsc.adskeeper.com/r/s/rssing.com.1596347.js" async> </script>