มีการกล่าวกันบ่อยๆ ทำนองว่า “โน้ตดนตรีมีแค่ 7 ตัว มันมีโอกาสใช้ซ้ำกันได้” การกล่าวเช่นนี้ดูจะเป็นข้ออ้างที่ง่ายไปและไม่ตรงกับความจริงเท่าใดนัก เพราะจริงๆ แล้วระบบโน้ตดนตรีตะวันตกมีโน้ตดนตรีอยู่ 12 ตัวด้วยกัน ไม่ใช่แค่ โด เร มี ฟา ซอล ลา และ ที หรือ C, D, E, F, G, A และ B เท่านั้น (หากจะเขียนตัวโน้ตพวกนี้ในระบบที่นิยมกันในโลกภาษาอังกฤษ) แต่จริงๆ แล้วตัวโน้ตในระบบตัวโน้ตตะวันตก นั้นมี C, C#, D, D#, E, F, F#, G, G#, A, A# และ B โน้ต 12 ตัวนี้เกิดจากการแบ่งเสียงคลื่นความถี่ต่างๆร ะหว่างคลื่นที่ความถี่ต่างกัน 2 เท่า เท่าๆ กัน เป็น 12 ช่วง ดังนั้น โน้ตทั้ง 12 ตัวจึงมีเสียงที่ห่างกันอย่างสมมาตรและนำมาสู่ความเป็นไปได้ของการประสานเสียงอย่างเป็นสัดเป็นส่วนของดนตรีตะวันตกซึ่งเชื่อมโยงกับคณิตศาสตร์
ผู้เขียนคงจะไม่บรรยายทฤษฎีดนตรีอย่างละเอียดยิบย่อยในที่นี้ แต่อยากจะชี้ให้เห็นว่าในเชิงความน่าจะเป็นแล้วหากจะลองคิดเล่นๆ เราจะพบว่าถ้ามีตัวโน้ต 12 ตัวอยู่ในสารบบดนตรีตะวันตก ความเป็นไปได้ของการที่ตัวโน้ตเรียงกัน 7 ตัวมันคือ 12 x 12 x 12 x12 x 12 x 12 x12 แบบ หรือ 2,985,984 แบบ หรือจะกล่าวอีกแบบก็คือความน่าจะเป็นที่จะเอาโน้ตดนตรี 7 ตัวมาเรียงให้ซ้ำกันหมดนั้นมีเพียง 1 ใน 2,985,984
อันที่จริงแล้วสุ้มเสียงดนตรีที่เราได้ยิน มันก็ไม่ได้เรียบง่ายแบบเอาโน้ตมาเรียงต่อๆ กัน 7 ตัวด้วยซ้ำ เพราะมันจะมีเรื่องของความสูงต่ำของโน้ตแต่ละตัว (หรือโน้ตตัวเดียวกันที่ความถี่ต่างกัน 1 เท่า หรือที่เรียกกันว่าความต่างเสียง 1 ออคเทฟ) ความสั้นยาวของโน้ตเพลงแต่ละตัว ความเงียบระหว่างโน้ตเพลงแต่ละตัวด้วย ซึ่งก็ยังไม่ต้องพูดถึงการประสานเสียง การใช้เทคนิคบนเครื่องดนตรีเพื่อให้ตัวโน้ตเดียวกันมีสุ้มเสียงที่ต่างกัน ไปจนถึงการใช้เอฟเฟคในการปรับแต่งเนื้อเสียงให้เปลี่ยนไปอีก ถ้าจะนับปัจจัยเหล่านี้ว่าจะทำให้โน้ตแต่ละตัวแตกต่างกันด้วยแล้ว โอกาสที่ชุดของโน้ต 7 ตัวจะเหมือนกันก็คงจะน้อยเสียยิ่งกว่ากว่า 1 ในร้อยล้านด้วยซ้ำ
จะเห็นได้ว่าในทางทฤษฎีนั้น โอกาสที่โน้ตดนตรีที่จะซ้ำกันเพียงแค่ 7 ตัว มันมีน้อยมากๆ อย่างไรก็ดี เราก็จะเห็นเช่นกันว่าท่วงทำนองเพลงสมัยนิยมนั้นส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันไปหมด เหตุผลของความคล้ายคลึงก็คือ มันมีโน้ตเพลงบางชุดเท่านั้นที่ผู้คนร่วมสมัยจะฟังแล้วระรื่นหู และไอ้โน้ตที่ว่านี่ก็คือ “โน้ตแค่ 7 ตัว” ที่ผู้คนชอบกล่าวถึงกัน นี่คือสิ่งที่เรียกในทฤษฎีตะวันตกว่า Diatonic Scale หรือสเกล 7 เสียง ซึ่งสเกลที่ผู้คนรู้จักดีในตระกูลนี้ก็คือ เมเจอร์สเกล (Major Scale) และไมเนอร์สเกล (Minor Scale) การประกอบท่วงทำนองตามชุดตัวโน้ตของสเกลเหล่านี้จะมีแนวโน้มที่จะสามารถสร้างเสียงที่ระรื่นหูมากกว่าการประกอบท่วงทำนองจากตัวโน้ตทั้ง 12 อย่างไรก็ดีหากจะพิจารณาความเป็นไปได้แล้วโอกาสที่โน้ต 7 ตัวจะซ้ำกันมันก็ยังมีสูงถึง 1 ใน 823, 543 (ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของ 77) อยู่ดี
อย่างไรก็ดีการเอาโน้ตที่ซ้ำกัน 7 ตัวมาเรียงกันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์มันไม่ได้จะทำให้เกิดท่วงทำนองที่ผู้ฟังฟังแล้วจะรู้สึกระรื่นหูแต่อย่างใด เงื่อนไขทั่วไปที่จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกระรื่นหูก็คือตัวโน้ตที่เป็นท่วงทำนองจะต้องมีความสอดคล้องกับคอร์ดที่เป็นตัววางพื้นฐานของการเคลื่อนไหวของตัวโน้ตเสียงในเพลง เพื่อให้การคำนวณง่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้ว คอร์ดที่ใช้ในบทเพลงทั่วไปจะเป็นคอร์ดที่มีแค่ 3 ตัวโน้ต หรือเป็นเพียงคอร์ดเมเจอร์หรือไมเนอร์ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการใส่โน้ตตัวอื่นๆ มาเพิ่มแบบดนตรีแจ๊ส ดังนั้นท่วงที่ประกอบทำนอง 7 ตัวโน้ตภายใต้ชุดคอร์ดเดียวกันที่ระรื่นหูจึงเป็นไปได้ 37 แบบ หรือ 2,187 แบบ ด้วยกัน
รูปแบบการเอาโน้ตเพลงมาเรียงกัน 7 ตัวจำนวน 2,187 แบบ ก็ยังดูเหมือนจะไม่ใช่รูปแบบการเรียงตัวโน้ตที่จะเกิดขึ้นได้ซ้ำง่ายๆ อยู่ดี อย่างไรก็ดีหากจะพิจารณาว่าทั้ง 2,187 รูปแบบนั้นเป็นรูปแบบตัวโน้ตที่เกิดขึ้นปกติในเพลงป๊อบที่มีการบันทึกเสียงกันมากว่าศตวรรษแล้ว [1] ซึ่งเพลงป๊อบเหล่านี้ก็เป็นประชากรส่วนใหญ่ของบทเพลงทั้งหมดในโลกที่เคยบันทึกเสียงกันมากว่า 97 ล้านเพลง [2] แล้ว เราก็จะพบว่าโอกาสที่ท่วงทำนองของบทเพลงหนึ่งๆ จะไปละม้ายคล้ายคลึงบทเพลงอื่นๆ ที่มีมาก่อนแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแปลกประหลาดพิสดารอะไรเลย
แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่งานดนตรีจะมีความซ้ำซ้อนนี้เป็นสิ่งทีส่วนทางกับการคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ร่วมสมัยที่มุ่งจะคุ้มครองบทประพันธ์ทางดนตรีอันมี “เอกลักษณ์เฉพาะตัว” (originality) ความเป็นไปได้ของการซ้ำของท่วงทำนองนี้ ทำให้งานดนตรีชิ้นหนึ่งๆ มีแนวโน้มที่จะเป็นเป็นเพียงการสร้างผลงานตามจารีตทางดนตรีที่มีต่อกันมาแทนที่จะเป็นงานอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ฉีกออกมาจากงานชิ้นอื่นๆ (ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบทความก่อนหน้านี้) อย่างไรก็ดีท่วงทำนองงานดนตรีจำนวนหนึ่งที่สถาปนาความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และ 20 ก็มักจะเป็นสิ่งที่มีลิขสิทธิ์ทั้งสิ้นโดยอัตโนมัติตามมาตรฐานกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คุ้มครองโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการกลั่นกรองใดๆ ว่างานเหล่านั้นมี เอกลักษณ์จริงหรือไม่ (ซึ่งเป็นแนวทางคุ้มครองต่างจากสิทธิบัตรพอสมควร) นี่ทำให้จริงๆ แล้วเพลงที่เราไม่คิดว่ามีลิขสิทธ์ที่ถูกแต่งขึ้นมาในช่วงนี้ก็อาจมีลิขสิทธิ์อยู่ ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็น่าจะได้แก่เพลงภาษาอังกฤษที่รู้จักกันดีที่สุดอย่าง Happy Birthday To You ซึ่งทุกวันนี้ลิขสิทธิ์ก็ยังเป็นของ Warner อยู่ [3]
อย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวมาแล้วว่าลำพังแค่ตั้งแต่ที่มนุษย์มีการบันทึกเสียงกันมา 100 กว่าปี มันก็มีบทเพลงที่ได้รับการบันทึกเสียงไว้ 90 กว่าล้านเพลงแล้ว มันมีความเป็นไปได้เสมอที่บทเพลงหนึ่งๆ ที่แต่งขึ้นมาใหม่จะไปซ้ำกับบทเพลงที่มีมาก่อน และหากการที่บทเพลงไปเหมือนกันโดยบังเอิญเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์วิถีการสร้างสรรค์งานดนตรีของผู้คนก็คงจะยากลำบากน่าดู เพราะต้องคอยมาพะวงตลอดเวลาว่าเพลงที่ตนแต่งมาจะไปซ้ำกับใครหรือไม่ และการไล่ฟังเพลงให้หมดโลกมันก็ดูจะไม่น่าเป็นไปได้ง่ายๆ
ลองคำนวณเล่นๆ ก็ได้ครับ สมมติว่าแต่ละวันฟังเพลงได้ 100 เพลงไม่ซ้ำกันเลย 1 ปีเราก็จะฟังได้ 36,500 เพลง ในอัตรานี้ ถ้าในโลกมีเพลงอยู่ 39 ล้านเพลง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เราก็จะใช้เวลาเพียง 1,068 ปีกว่าๆ เท่านั้นในการฟังเพลงที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกให้หมด
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์ในปัจจุบันจะทำได้ นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ในการพิจารณาคดีละเมิดลิขสิทธิ์นั้น การที่ตัวโน้ตในบทเพลงซ้ำกันยังก็ยังไม่ใช่เงื่อนไขที่เพียงพอกับการตัดสินว่าเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้น แต่เงื่อนไขที่จำเป็นอีกประการก็คือ ผู้ต้องหาละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องเคยได้ยินได้ฟังบทเพลงที่เขาละเมิดมาแล้ว
หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาละเมิดลิขสิทธิ์เคยได้ยินได้ฟังบทเพลงที่เขาลอกมาโดยทั่ว เขาก็น่าจะถือว่าบริสุทธ์จากความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการพยายามหาความเชื่อมโยงของความคล้ายคลึงกันของบทเพลงสองเพลงแบบลอยๆ มันก็ดูจะเป็นการกล่าวหาซึ่งไม่มีมูลเพียงพอด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี นี่ก็ไม่ได้เป็นการเปิดช่องว่างให้เกิดการ “ลอกเพลง” ได้ตามใจชอบภายใต้ข้ออ้างว่า “ไม่เคยฟังมาก่อน” ในกรณีของบทเพลงที่มีความโด่งดัง (รวมถึงเพลงจำพวก “ดังอยู่เพลงเดียว” แล้วหายไปจากความทรงจำของผู้คนหรือ One Hit Wonder) การกล่าวอ้างแบบนี้ก็มีน้ำหนักน้อย เพราะถึงที่สุดศาลอเมริกันก็เคยตัดสินมาแล้วว่าคนอย่าง George Harrison ได้ลอกเพลงของ The Chiffons วงเกิร์ลกรุ๊ปผิวดำผ่านจิตใต้สำนึกของเขา เนื่องจากเจาเคยฟังบทเพลงนี้มาก่อนละมันก็อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา
เพลงของ George ที่โดนฟ้องคือเพลงดังอย่าง My Sweet Lord ซิงเกิลที่ขายดีที่สุดในอังกฤษในปี 1971 อันนี้ถูกฟ้องฐานมีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับเพลง He's So Fine ของเกิร์ลกรุ๊ปผิวดำจากต้นทศวรรษที่ 1960 นาม The Chiffons [4] ในชั้นศาล George บอกว่าเขารู้จักเพลงดังจากต้นปี 1963 เพลงนี้ของ The Chiffons แต่เขาไม่ได้คิดถึงมันเลยตอนเขาแต่ง My Sweet Lord สุดท้ายภายหลังจากการพิจารณาคดีผ่านการวิเคราะห์องค์ประกอบเพลง ศาลก็ลงความเห็นว่า George ได้ลอก (plagiarize) เพลงนี้จริง เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจจะลอกแต่เขาก็ทำมันในระดับจิตใต้สำนึก (subconscious)
นี่ดูจะเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าเจตนาในการลอกเพลงดูจะเป็นประเด็นรองในการพิจารณาการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือว่าผู้ต้องหาเคยฟังเพลงที่ลอกมาหรือไม่ ซึ่งในกรณีของ George เขาก็ยอมรับชัดเจนว่าเคยฟังเพลงที่เขาถูกกล่าวหาว่าลอก ซึ่งก็น่าสนใจอยู่ว่าถ้าเขาปฏิเสธไปผลการตัดสินจะเป็นเช่นไร
ในอีกด้านหนึ่ง ในกรณีของการถูกกล่าวหาว่าลอกบทเพลงที่ตอนไม่ได้เป็นเจ้าของ การพิสูจน์ว่าเจ้าของบทเพลงก็ไม่ได้เป็นเจ้าของบทเพลงเช่นกันก็สามารถใช้ได้ ดังจะเห็นการสู้คดีแบบนี้ในกรณีการที่ John Fogerty ถูกฟ้องฐานลอกเพลงตัวเองที่เขาแต่งมากับมือสมัยอยู่กับวง Creedence Clearwater Revival [5] ซึ่งเขาก็พิสูจน์ในศาลว่าส่วนที่เขาถูกกล่าวหาว่าลอกนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขามีอย่างเป็นเอกลักษณ์ด้วยซ้ำในงานต้นฉบับ เพราะทางโน้ตกีต้าร์แบบนี้พวกนักดนตรีบลูส์ก็ได้ใช้มานมนานแล้ว เขาชนะคดีในที่สุด และเหนือกว่านั้นก็คือเขาสามารถจะฟ้องเอาเงินค่าทนายได้ด้วย ซึ่งเป็นกรณีแรกที่จำเลยคดีละเมิดลิขสิทธิ์สามารถฟ้องเช่นนี้และได้ค่าทนายมาในที่สุด (ปกติมีแต่ฝ่ายโจทย์เท่านั้นที่จะทำได้สำเร็จ)
กรณี Fogerty ชี้ให้เห็นปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้น เพราะในทางตรรกะแล้วเขากำลังอ้างว่าเขาทำตาม “จารีต” เพื่อจะอ้างว่าเขาไม่ได้ละเมิดงานของตัวเอง แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ถ้างานของเขาเป็นงานตามจารีต เขาจะอ้าง “ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ที่เป็นเงื่อนไขของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีไม่ว่ากฏหมายทรัพย์สินทางปัญญาจะก้าวหน้าแค่ไหนการนำการละเมิด “ลิขสิทธิ์” ของสาธารณะชนด้วยการนำภูมิปัญญาสาธารณะมาแปรรูปเป็นทรัพย์สินทางปัญญาส่วนบุคคลก็ยังคงเป็นเรื่องปกติ ในแง่นี้ภูมิปัญญาของชนเผ่าในแอฟริกา หรือสาธารณะชนอเมริกันมันก็ล้วนไม่ได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้ เพราะถึงที่สุด “ชุมชน” และ “สาธารณชน” ก็ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมายที่จะสามารถฟ้องปัจเจกบุคคลที่มา “ละเมิด” ภูมิปัญญาร่วมของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรยาพื้นบ้านหรือจารีตของท่วงทำนองดนตรีบลูส์ และสุดท้ายบ่อแห่งจารีต (pool of tradition) ก็ดูจะไม่ใช่บ่อน้ำที่สรรพสัตว์ในบริเวณใกล้เคียงได้มาอาศัยใช้อย่างเท่าเทียม เพราะน้ำของมันถูกระบบทุนนิยมทำให้เป็นสินค้าเสียมากกว่า
นี่คือสถานะของบทเพลง 39 ล้านเพลงที่ได้รับการบันทึกเสียงมาในโลก ไม่ว่าโอกาสที่ท่วงทำนองจะซ้ำมันจะมีมากแค่ไหน ทั้ง 39 ล้านเพลงก็ดูจะได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ทั้งสิ้นและจนทุกวันนี้งานบันทึกเสียงน้อยชิ้นนักที่จะไม่มีเจ้าของ [6] มันเป็นเรื่องชวนหัวที่บทเพลงเหล่านี้จำนวนมากก็มีความซ้ำซากด้านท่วงทำนอง แต่ในทางกฎหมายมันก็ถือว่าเป็นงานอันมีเอกเทศที่ได้รับการคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์ทั้งสิ้น สถานการณ์มันก็ดูจะคล้ายกับการสูบน้ำจากทะเลสาบที่ไม่เคยมีเจ้าของมาบรรจุขวดขาย นี่ทำให้ของที่เคยไร้มูลค่าอย่างน้ำกลายมาเป็นสินค้า การใช้น้ำในโลกทุนนิยมต่างจากการใช้น้ำในชุมชนดั้งเดิมเช่นใด สถานการณ์ที่นักดนตรีฮิปฮอปต้องเผชิญก็ต่างจากสถานการณ์ของนักดนตรีบลูส์เช่นนั้น และนี่คือเรื่องราวของตอนต่อไป
อ้างอิง
- เทคโนโลยีการบันทึกเสียงเกิดปลายศตวรรษที่ 19 แต่การบันทึกเสียงเชิงพาณิชย์เริ่มขึ้นตอนต้นศตวรรษที่ 20
- นี่เป็นการคำนวณง่ายๆ จากฐานข้อมูลงานบันทึกเสียงที่มีในโลกของทาง Grace note เท่านั้นเพื่อให้เห็นภาพ ดู http://www.digitalmusicnews.com/stories/100611supersaturation
- นี่ทำให้การนำบทเพลงนี้แสดงในที่สาธารณะอย่างซี้ซั้ว เช่นการร้องเพลงอวยพรวันเกิดในร้านอาหารก็อาจนำมาสู่การถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ดู http://en.wikipedia.org/wiki/Happy_birthday_to_you
- ลองฟังทั้งสองเพลงเปรียบเทียบกันได้ที่ http://youtu.be/kfxx3scAKS8 (The Chiffons - He's So Fine) และ http://youtu.be/9qdKZBXMX5E (George Harrison - My Sweet Lord)
- หากจะกล่าวโดยสั้นๆ แล้ว โดยทั่วไปลิขสิทธิ์งานดนตรีของนักร้องนักดนตรีดังๆ ในโลกมักจะไม่ได้เป็นของเขา ในกรณีของ Fogerty เขาโดนฟ้องว่าลอกเพลง Run Through The Jungle ของ Creedence Clearwater Revival ในเพลง The Old Man Down The Road ในงานเดี่ยวของเขา ซึ่งแม้ว่าจะฟังดูตลกในการ “ถูกฟ้องฐานลอกเพลงตัวเอง” เช่นนี้ แต่ในทางกฎหมายลิขสิทธิ์แล้ว เจ้าของลิขสิทธิ์ใหม่ที่ไม่ใช่ผู้แต่งก็มีสิทธิ์ตามกฎหมายทุกประการในการฟ้องผู้แต่งเพลงที่ไม่ได้เป็นเจ้าของงานตัวเองแล้ว ฟัง 2 เพลงเทียบกันได้ที่ http://youtu.be/EbI0cMyyw_M (Creedence Clearwater Revival - Run Through The Jungle) กับ http://youtu.be/JbSGMRZsN4Q (John Fogerty - The Old Man Down The Road) และอ่านข้อมูลเกี่ยวกับคดีได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Fogerty_v._Fantasy
- นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ทางเหล่าหอจดหมายเหตุในสหรัฐก็เคยโวยวายมาแล้ว เพราะแม้แต่งานบันทึกเสียงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ แล้วก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจดหมายเหตุไม่ได้ เพราะมันยังไม่หมดลิขสิทธิ์ และการที่มันยังไม่หมดลิขสิทธิ์ก็เกิดจากแนวโน้มของกฏหมายลิขสิทธิ์อเมริกันที่ยืดอายุการคุ้มครองไปเรื่อยๆ