พระสงฆ์ควรยุ่งกับการเมืองหรือไม่ ?
ชาญณรงค์ บุญหนุน
ถ้ามองจากพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าแสดงท่าทีเหมือนไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการเมือง เวลาพระองค์ตรัสเรื่องการเมืองจะตรัสผ่านผู้อื่น ไม่ค่อยตรัสกับพระราชาโดยตรง แม้จะสนิทสนมกับกษัตริย์หลายพระองค์ แต่ก็วางระยะห่างไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของรัฐ และมีการบัญญัติศีลที่ห้ามภิกษุพูดเรื่องเดรัจฉานวิชา เช่น การเกณฑ์ทหาร กองทัพ การรบ อำมาตย์ พระราชา โจร ไว้ในมัชฌิมศีล จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าวางระยะระหว่างพระสงฆ์กับรัฐไว้ห่างพอสมควร
เรื่องพระพุทธศาสนากับการเมือง ชาวพุทธมักมองว่า ถ้าพระเข้ามายุ่งกับการเมืองในแง่มาสอนธรรมะให้นักการเมืองเป็นคนดีสามารถทำได้ แต่ในระดับปฏิบัติการเช่นชุมนุมเรียกร้องเรื่องต่างๆ ไม่สามารถทำได้ ในความเป็นจริงก็มีพระออกมาชุมนุมเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ หรือผลักดันให้มีร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ในสมัยพุทธกาล พระยุ่งกับการเมืองในประเด็นที่ซีเรียสกว่านี้มาก พระเทวทัตยุยงให้เจ้าชายอชาตศัตรูทำรัฐประหารและฆ่าบิดาตัวเอง มีข้อสังเกตว่าพระพุทธเจ้ากลับมิได้ประณามว่าพระเทวทัตมีความผิดเพราะไปยุ่งกับการเมือง เพียงแต่ให้พระอานนท์ไปพูดที่กรุงราชคฤห์ว่าสิ่งที่พระเทวทัตทำนั้นไม่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ของพระองค์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ฟันธงว่าพระจะยุ่งกับรัฐประหารไม่ได้ จึงไม่มีมาตรฐานหรือขอบเขตที่ชัดเจนว่าพระสามารถยุ่งกับการเมืองเรื่องใดได้บ้าง
คำถามก็คือ การใช้วาทกรรมแบบฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาปก็ดี ฆ่าเวลาบาปมากกว่าฆ่าคนก็ดี ทำไมสังคมไทยไม่ค่อยรู้สึกว่ามันผิด หรือตื่นตัวมาเรียกร้องให้มีมาตรการเอาผิด แต่เวลาใครตั้งคำถามกับองค์กรสงฆ์ กับพระพุทธศาสนา ฯลฯ คือความผิด อย่างเช่นคุณคำ ผกา ที่วิจารณ์องค์กรศาสนา พระสงฆ์ต้องไปยื่นร้องเรียนกับกรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรมให้ตรวจสอบและเอาผิด รวมทั้งกดดันให้ออกมาขอโทษ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ววาทกรรมแบบฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาปมันส่งกระทบต่อสังคม เป็นการอ้างอิงพระพุทธศาสนาไปสนับสนุนความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสังคม แต่คณะสงฆ์ผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาเหล่านี้ไม่ออกมาเรียกร้องให้คำผิดกับคำพูดแบบกิตติวุฒโทหรือ ว.วชิรเมธีที่ผ่านมา
เป็นคำถามที่ต้องย้อนกลับไปหาชาวพุทธที่อ้างว่ารักพระพุทธศาสนา ปกป้องพุทธศาสนาทั้งหลาย ทำไมคุณไปแคร์คำด่า คำจาบจ้วง ล่วงละเมิดอะไรต่อมิอะไรต่างๆ คุณจะออกกฎหมายมาปกป้อง แต่การเอาพระพุทธศาสนามาใช้เพื่อสนับสนุนเผด็จการ เพื่อให้ความชอบธรรมกับความรุนแรง ชาวพุทธไม่แคร์
จริงๆ แล้วในทางรัฐศาสตร์ ทุกๆ สถาบันในสังคมล้วนแต่เกี่ยวกับการเมืองไม่มากก็น้อย แม้เราจะบอกว่าไม่เกี่ยว อย่างการเมืองในที่ทำงานหรือการเมืองในระดับประเทศ เราเล่นการเมืองในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการอ้างว่าสถาบันทางสังคมบางสถาบันไม่เกี่ยวกับการเมือง เป็นกลางทางการเมือง หรืออยู่เหนือการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันกษัตริย์ หรือสถาบันพระพุทธศาสนา หรือแม้กระทั่งสถาบันครอบครัว จึงเป็นเรื่องของ “การเมือง” อย่างยิ่ง เพราะอ้างว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองในการมีปฏิบัติการทางการเมืองบางอย่าง
ขอเกริ่นถึงหลักการ Secularization ก่อน กระบวนการ Secularization คือการแยกศาสนาออกจากรัฐ ก่อนหน้าโลกสมัยใหม่ที่เราอาศัยกันอยู่ถือว่าอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดอยู่ในมือของศาสนจักร ศาสนามีอำนาจมากกว่ากษัตริย์หรืออำนาจของรัฐ มีอำนาจที่จะแต่งตั้งผู้มีอำนาจทางการเมืองได้ การที่โลกพัฒนาเข้าสู่สมัยใหม่ เกิดกระบวนการ Secularization คือการทำให้รัฐแต่ละรัฐมีอำนาจอธิปไตยของตัวเองโดยที่ไม่อิงความชอบธรรมจากศาสนจักร โอนถ่ายอำนาจอธิปไตยจากมือของพระเจ้ามาสู่มือของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ประชาชน หรือรัฐธรรมนูญ นี่คือลักษณะของรัฐสมัยใหม่ เวลาที่เราคุยกันเราต้องคุยบนฐานของความเป็นรัฐสมัยใหม่ เว้นแต่ใครบอกว่าเราต้องการอยู่ในรัฐโบราณ นั่นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง เวลาเราพูดถึง Secularization ไม่ได้แปลว่าสถาบันทางศาสนาจะไม่มีจุดยืนทางการเมือง แต่ Secularization หมายถึงการที่สถาบันทางศาสนาไม่สามารถอ้างอำนาจสูงสุดทางการเมืองได้ เพราะอำนาจสูงสุดอยู่ในมือของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย สถาบันต่างๆ อาจมีจุดยืนทางการเมืองหรือเล่นการเมืองได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่โครงสร้างอำนาจรัฐสมัยใหม่ซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่ที่กษัตริย์หรือประชาชนเป็นตัวกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจอธิปไตยแบบ Nation state หรือรัฐชาติซึ่งอำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชนโดยแสดงออกผ่านรัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง Concept ที่ 3 ความคิดเรื่องเสรีนิยม Liberalism เราต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นโลกสมัยใหม่ เป็นการต่อสู้กันของอุดมการณ์ทางการเมืองชุดหนึ่ง อุดมการณ์ที่ถือว่าเป็นสากลในปัจจุบันคืออุดมการณ์เสรีนิยม งานของนักปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ โทมัส ฮอบส์ , จอห์น ล็อค , และฌองฌาค รุสโซ หลักการสำคัญที่ทำให้ผู้อยู่ภายใต้ปกครองมอบอำนาจ จริงๆ แล้วในโลกของธรรมชาติทุกคนเท่ากัน แต่การที่เราทุกคนเท่ากันจะอยู่ในสภาวะสงคราม เพราะคนต่างแก่งแย่งต่อสู้กัน ไม่มีระเบียบทางการเมือง ก็ต้องแก้ปัญหาโดยการมอบอำนาจส่วนหนึ่งของเราซึ่งเป็นอำนาจในการปกครองให้กับรัฐ โดยการมาตกลงว่าเรามอบอำนาจส่วนหนึ่งในการออกกฎหมาย ในการบริหารจัดการการปกครองให้กับรัฐ แต่สิ่งที่รัฐจะต้องทำคือ รัฐคือต้องปกป้องชีวิต นี่คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เพราะในสภาวะสงคราม การเสียชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ แต่การเข้าสู่สภาวะภายใต้ความเป็นรัฐแล้ว สภาวะสงครามถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติ และรัฐจะต้องปกป้องชีวิตของผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ เพราะรัฐได้แลกเปลี่ยนคำสัญญาแล้วโดยการเอาอำนาจในการออกกฎหมายมาอยู่ที่ตัวเอง แต่สิ่งที่รัฐจะต้องทำคืนให้กับผู้ที่มอบอำนาจให้รัฐก็คือการคุ้มครองชีวิต มากกว่านั้นคือการปกป้องทรัพย์สิน และสิทธิเสรีภาพ โลกที่เราอยู่ในปัจจุบันเป็นโลกสมัยใหม่ซึ่งวางอยู่บนความคิดแบบเสรีนิยม สิ่งที่สำคัญมากคือศาสนาไม่มีสิทธิอ้างอำนาจอธิปไตย ความชอบธรรมทางการเมืองจะต้องไม่อ้างอิงกับความเชื่อทางศาสนาโดยตรง หลักการหนึ่งที่สำคัญของโลกสมัยใหม่คือเสรีนิยม สถาบันทางการเมืองหรือสถาบันทางสังคมใดๆ ที่อยู่ภายใต้รัฐสมัยใหม่จำเป็นจะต้องยอมรับหลักการสากลอันนี้ คือคุณสนับสนุนให้มีการฆ่าใครไม่ได้ เพราะนี่คือกติกาของโลกที่เป็นสากลที่เราอาศัยอยู่ ต่อให้เป็นสถาบันทางสังคมที่มีอำนาจต่อการเมืองมากแค่ไหนก็ตาม หรือได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิสนับสนุนให้เกิดการฆ่าในสังคมการเมืองแบบนี้
ถ้าดู 3 หลักการนี้ การเมือง Secularization เสรีนิยม จะพบว่าทุกสถาบันทางการเมืองสนับสนุนหรือมีบทบาททางการเมืองและเลือกข้าง แต่รัฐสมัยใหม่มีหน้าที่ในการกำหนดกติกาให้สถาบันทางการเมืองต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้อย่างทัดเทียมกัน และรัฐแบบนี้จะไม่สนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติอย่างชัดเจน และไม่กดขี่ศาสนาอื่น
ที่สำคัญคือรัฐแบบนี้ต้องดูแลคุ้มครองไม่ให้สถาบันทางการเมืองสถาบันใดสถาบันหนึ่งยุยงให้เกิดการฆ่า รวมถึงพรากทรัพย์สินและเสรีภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเรามีสถาบันทางสังคมจำนวนมากที่สนับสนุนให้เกิดการฆ่า หลักการ การเมือง Secularization เสรีนิยม เหล่านี้ยังไม่สถาปนาในสังคมการเมืองไทย เป็นข้อจำกัดที่ทำให้เรายังไม่ชัดเจนหรือยังไม่ออกมาประณามการยุยงให้เกิดการฆ่า เพราะไม่รู้ว่าการฆ่ามันขัดกับหลักการซึ่งถูกสถาปนาในโลกตะวันตกมา 2-3 ร้อยปีแล้ว เหล่านี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก
พระสงฆ์มักเอาจุดยืนทางศาสนามาเป็นจุดยืนทางการเมือง เช่นต้องการให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เอาอุดมการณ์ของพุทธไปเป็นอุดมการณ์ของชาติ ยังคิดว่ารัฐมีหน้าที่สอนคนให้มีศีลธรรมเหมือนรัฐโบราณ แต่รัฐประชาธิปไตยเป็นอีกแบบ
การมีศาสนาประจำชาติขัดกับรัฐฆราวาสอยู่แล้ว รัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่ยึดหลักสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค การที่เรายกให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเหนือกว่าศาสนาอื่น มันก็ขัดหลักความเสมอภาค แม้แต่มีกฎหมายส่งเสริมอุปถัมภ์ศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะเป็นพิเศษ โดยอ้างว่าคนนับถือศาสนานี้มากที่สุด ก็ยังไม่มีความชอบธรรมตามหลักการสากล
อ.ธงชัย (วินิจจะกูล) ได้พูดในปาฐกถาเรื่องมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประเด็นสำคัญคือปัจจุบันนี้เรายังอยู่ภายใต้มรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้สถาปนาธรรมยุติกนิกาย เอาความเชื่อว่ามีศาสนาแบบบริสุทธิ์ กีดกันศาสนาในระดับท้องถิ่น ความเชื่อแบบท้องถิ่น ว่าเป็นเรื่องสามานย์ เป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องความเชื่อภูตผี และไม่ยอมให้มีอุดมการณ์หรือความคิดการตีความพระพุทธศาสนาแบบที่แตกต่างออกไป ถ้าเราอิงกับงานของ อ.ธงชัยจะพบว่าลักษณะความเชื่อมโยงกันของศาสนาพุทธหรือโครงสร้างพระพุทธศาสนาแบบนี้ยังอยู่ และยังเชื่อมโยงกับฝ่ายที่เป็นชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม เราจะเห็นว่าทำไมสังคมไทยถึงไม่อนุญาตให้เรามีวัดแบบธรรมกาย สันติอโศก หรือความเชื่อที่เราคิดว่าเป็นเรื่องนอกรีตทั้งหลาย ผมรู้สึกหงุดหงิดมากตอนที่วัดธรรมกายเดินธุดงค์ครั้งล่าสุด ไม่ใช่เรื่องรถติด แต่เป็นแวดวงปัญญาชนเสื้อแดงทั้งหลายที่ออกมาด่าว่าทำไมมหาเถรสมาคมไม่เข้ามาจัดการวัดพระธรรมกายซะที พวกนอกรีตพระพุทธศาสนา ผมรู้สึกว่าถ้ามีความคิดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับความเชื่อแบบ Fundamentalism จริงๆแล้วถ้าใครจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองหรือตีความพระพุทธศาสนาแบบไหน ก็น่าจะเป็นเสรีภาพในโลกสมัยใหม่หรือโลกของ Secular State เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ย้ำว่ามาตรฐานที่สำคัญมากก็คือความคิดแบบเสรีนิยม ซึ่งเชื่อในเรื่องเสรีภาพของคนและปกป้องชีวิตของมนุษย์ ใครก็ตามที่พูดว่าฆ่าได้ไม่บาปนี่เป็นเรื่องผิดปกติแล้ว รัฐไม่สามารถอ้างศาสนาเป็นแหล่งอ้างอิงความชอบธรรมทางการเมืองของตนเองได้เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ตรงตามหลักการของโลกสมัยใหม่
คิดว่าผมจินตนาการอันหนึ่งของพระสงฆ์ไทย อิงกับประวัติสตร์ พงศาวดารที่ถูกสร้างขึ้น พงศาวดารนี้ก็จะผูกสถาบันกษัตริย์กับพระพุทธศาสนาไว้ด้วยกัน พอผูกไว้ด้วยกันมากๆมันทำให้จินตนาการอย่างอื่นไม่ออก จินตนาการเกี่ยวกับแผ่นดินไทยถูกผูกกับพุทธศาสนา ความเป็นไทยถูกผูกกับความเป็นพุทธมาตลอด เราถูกสอนมาลักษณะนี้ แต่พอยุคสมัยซึ่ง การสื่อสารขยายตัว ความคิดอะไรต่ออะไรมากขึ้น คนเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ทำให้พระสงฆ์รู้สึกว่ามันมีภัยคุกคามบางอย่าง ภัยคุกคามมีลักษณะเฉพาะที่ผูกกับแผ่นดินไทยซึ่งมีพระพุทธศาสนาเป็นตัวตั้ง อ้างประวัติศาสตร์อินเดียตอนที่พระพุทธศาสนาล่ม เอามาหลอนว่าต้องมีคนนอกศาสนามาทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม
กรณีพระมหาโชว์ ใช้ตรรกะที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลมาอธิบายคุณค่าความเป็นมนุษย์
ชาญณรงค์ บุญหนุน
คนที่คิดแบบท่านพระมหาโชว์ แนวคิดสำคัญเกิดจากการที่เขากลัวว่าแผ่นดินนี้จะเป็นแผ่นดินของคนอื่น เวลาเขานึกถึงภัยของพระพุทธศาสนา มันคล้ายๆผังล้มเจ้า มีบางเรื่องที่พระหรือแวดวงชาวพุทธจินตนาการถึงภัยบางอย่าง เช่น แผนนารีพิฆาต ที่เชื่อว่ามีกระบวนการทำลายพระพุทธศาสนาโดยให้ผู้หญิงเข้าไปที่กุฏิพระเพื่อให้เป็นข่าว แนวคิดนี้มีมานานมาก เวลามีใครทำอะไรที่ส่งต่อพระพุทธศาสนา ชาวพุทธที่เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนามากๆอย่างพระมหาโชว์รู้สึกไม่มั่นคง ทำให้ต้องแสดงปฏิกิริยารุนแรง
ชาญณรงค์ บุญหนุน
ผมไม่รู้ว่าประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธจริงหรือเปล่า ในบ้านเราสถาบันกษัตริย์กับสถาบันพระพุทธศาสนายังกำหนดตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ไม่ถูก การวางตัวเองไม่ถูกของทั้ง 2 สถาบัน เวลาเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นมา ก็เกิดปรากฏการณ์ที่ทั้ง 2 สถาบันนี้มาสนับสนุนกัน จะว่าไปแล้ว ความขัดแย้งที่ผ่านมาก็ยังมีพระเสื้อแดงเกิดขึ้น แต่พระที่มีชื่อเสียงหรือพระเซเล็บก็ไปสนับสนุนสถาบันฯ ออกมาพูดในทีวีไทยที่บอกว่าเราเอาอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์ แต่ไม่เอาทศพิธราชธรรมมา บอกว่าอำนาจเป็นของประชาชน แต่ประชาชนมีศักยภาพจะใช้อำนาจหรือยัง ตัวโครงสร้างของสถาบันกษัตริย์ ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงๆหมายความว่าเราสามารถ apply หลักสิทธิเสรีภาพสู่ทุกคนในสังคมได้เท่าเทียมกัน ถ้าเราวิจารณ์นักการเมืองได้ กษัตริย์ก็เป็นบุคคลสาธารณะเราก็วิจารณ์ได้เหมือนกัน สามารถถูกตั้งคำถามตรวจสอบได้ถ้าเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับสังคมการเมือง
ปัญหาเชิงความคิดอุดมการณ์ จากที่เคยทำวิจัยเกี่ยวกับพระ พบว่าพระสงห์ไม่ว่าจะสีอะไรจะมีความคิดแบบ Fundamentalism คือคิดว่าประเทศเราไม่ได้สำเร็จบริบูรณ์อยู่ที่ประชาธิปไตย หรือสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค แต่คุณค่าที่เหนือกว่าคือธรรมาธิปไตย ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยที่ดีคือต้องมีธรรมาธิปไตยกำกับ นี่เห็นได้ชัดในวาระของเสื้อเหลือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุลมักใช้คำว่า ธรรมนำหน้า ถ้าพระเลือกข้างทางการเมืองสนับสนุนฝ่ายต่างๆ ก็เป็นจุดยืนทางการเมืองที่สังคมประชาธิปไตยยอมรับได้ แต่ถ้ามันเลยไปถึงว่าต้องมีอุดมการณ์ทางศาสนาหรือธรรมาธิปไตยอะไรต่างๆมาอยู่เหนืออุดมการณ์ประชาธิปไตยอีกที ถ้ามันเป็นประชาธิปไตยที่ยังไม่มีธรรมาธิปไตย เราสามารถตั้งอุดมการณ์ธรรมาธิปไตยมาเรียกร้องรัฐประหารได้ ถ้าคิดแบบนี้ก็เพี้ยน ปัญหาของบ้านเราคือยังมีการคิดแบบนี้อยู่ เพื่อให้เป็นธรรมาธิปไตยเราใช้วิธีเผด็จการได้ นี่คือปัญหาความสับสนเชิงอุดมการณ์และเชิงโครงสร้างที่มีอยู่ในพระสงฆ์ ซึ่งคล้ายกับสถาบันกษัตริย์ ตกลงจะเป็นกษัตริย์ในสังคมประชาธิปไตยสมบูรณ์ หรือจะทำให้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกที เรายังเป็นประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าคิดในทางศาสนาคือเราเป็นประชาธิปไตยภายใต้กำกับของธรรมาธิปไตย แล้วธรรมะที่เราพูดถึงกันมันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างอริยสัจ 4 กาลามสูตร หลักอะไรต่างๆ มันเป็น แต่ธรรมะที่เราพูดถึงคือธรรมะที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ อิงอยู่กับพระสยามเทวาธิราช ถ้าใครเป็นคนดีมีคุณธรรม พระสยามเทวาธิราชจะคุ้มครอง ถ้าใครไม่กตัญญูต่อแผ่นดิน ไม่จงรักภักดีต่อชาติศาสน์ กษัตริย์ พระสยามเทวาธิราชจะสาปแช่ง ธรรมะของเราก็เหมือนกัน เวลาที่เราพูดถึงทศพิธราชธรรมก็คือธรรมะที่ไปสนับสนุนสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ แต่ถ้าเป็นเนื้อหาจริงๆ ทศพิธราชธรรมเป็นธรรมะที่เรียกร้องให้ตรวจสอบกษัตริย์ ไม่ว่ามีศีล มีความยุติธรรม ยุติธรรม วิหิงสา ไม่เบียดเบียน ไม่โกรธ เสียสละ จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องให้ตรวจสอบได้ ถ้าตรวจสอบไม่ได้ก็รู้ไม่ได้ เอาไว้ยกไว้อวยกันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นธรรมะที่เราพูดถึงก็จะมีความหมายเหมือนกันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์ ธรรมะมีความหมายซับซ้อนมาก ธรรมะเป็นคำที่ใช้กันในวัฒนธรรมทางศาสนาของอินเดีย ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ใช้กันมาเป็น 5,000-6,000 ปี คำคำนี้มันเดินทางมาถึงพวกเรา ความหมายมันสลับซับซ้อนมาก เราจะเข้าใจธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างไร ถ้าถอดความหมายออกมาจากบุคลิกภาพของพระพุทธเจ้า ธรรมมะคือเสรีภาพ เสรีภาพจากอิทธิพลของพ่อ คือไม่ทำตามพ่อ เพราะพ่ออยากให้เป็นกษัตริย์ แสรีภาพเกิดจากการใช้เหตุผล เห็นว่าสิ่งที่ถูกต้อง คือการแสวงหาเสรีภาพทางจิตวิญญาณ เสรีภาพที่จะเลือก ไปศึกษาเรียนรู้กับสำนักต่างๆแล้วรู้สึกไม่ใช่ก็มีเสรีภาพที่จะหลุดออกไป ลองปฏิวัติตามค่านิยมความเชื่อนี้แล้วรู้สึกไม่ใช่ก็มีเสรีภาพที่จะหลุดออกไป จนกระทั่งไปเจอทางของตัวเอง ค้นพบตัวเอง แล้วก็ตรัสรู้ เสรีภาพนี้เป็นเสรีภาพที่มีอยู่ภายในเรา แล้วเบ่งบานจนถึงจุดสูงสุด คือหลุดพ้นจากกิเลส คำว่าหลุดพ้นจากกิเลสในพระพุทธศาสนาเรียกว่า วิมุตติ เจ้าคุณประยุทธ์ท่านแปลว่า freedom หรือเสรีภาพจากกิเลส หมายความว่า วิมุตติเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นเสรีภาพคือแก่นของธรรมะ ธรรมใดก็แล้วแต่ที่ขัดแย้งกับเสรีภาพก็ไม่ใช่ละ ศาสนาพุทธอาจจะเน้นเสรีภาพทางจิตใจแต่ย่อมไม่ปฏิเสธเสรีภาพทางสังคม ไม่เช่นนั้นจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวเอง ความเป็นเหตุเป็นผลของพุทธมาจากการเคารพหลักเสรีภาพ เราก็จะไม่มีวาระทางศาสนามาเป็นจุดยืนในการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อผลักดันให้ศาสนาตัวเองเด่นกว่าคนอื่น จุดยืนทางการเมืองจุดยืนทางศาสนาไม่ผิดถ้าเป็นสันติวิธี แต่ถ้าเลยไปถึงว่าเลือกฝ่ายเพื่อมีวาระซ่อนเร้นให้ศาสนาพุทธมาเป็นอุดมการณ์ของชาติเหนือศาสนาอื่น มันผิดหลักการประชาธิปไตย หลักความเสมอภาค
ในเชิงปัจเจกบุคคล ธรรมาธิปไตยเป็นเรื่องการหลุดพ้นจากกิเลส แต่ถ้าในสังคมการเมืองก็ต้องยึดระบบของสังคมการเมือง พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างระบบธรรมาธิปไตยขึ้นมาเป็นระบบการเมืองอีกแบบหนึ่ง ท่านสอนธรรมะในระดับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวกับการเมือง แต่ไม่ได้สร้างทฤษฎีการเมืองเฉพาะแบบรีพับบลิกของเพลโต มันจึงไม่มีทฤษฎีการเมืองที่เป็นธรรมาธิปไตยโดยเฉพาะ ถ้าถามว่าธรรมาธิปไตยในระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ก็คือหลักสิทธิเสรีภาพเสมอภาค มันจะไม่มีธรรมาธิปไตยอะไรมาอยู่เหนือตรงนี้อีก พระแต่ละคนยังพูดไม่ตรงกันสักรูปว่าธรรมาธิปไตยคืออะไร
กรณี มันมี 2 มาตรฐานในเรื่องความงมงายของไสยศาสตร์ ถ้าพิธีไสยศาสตร์ที่เป็นทางการ เราไม่ได้ตั้งคำถามว่ามันงมงายหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบชาวบ้านเราบอกว่ามันงมงาย เวลารายการเรื่องเล่าเช้านี้เสนอเรื่องชาวบ้านที่เห็นอะไรประหลาดๆแล้วจุดธูปขอหวยเราก็จะบอกว่าชาวบ้านงมงาย แล้วถามว่าเวลารัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่งใหม่แล้วไปจุดธูปศาลพระพรหมณ์มันก็เป็นไสยศาสตร์ แต่เป็นไสยศาสตร์ของระดับชนชั้นกลางชั้นสูงเขายอมรับก็ถือว่าไม่งมงาย แต่ถ้าเป็นชนชั้นล่างชาวบ้านเชื่อก็เป็นความงมงาย ประชาธิปไตยภายใต้สมบูรณญาสิทธิราชย์ทำให้เกิด 2 มาตรฐานไปหมด ไม่ว่าจะเป็น 2 มาตรฐานทางกฎหมาย อย่างรายงานของสถาบันพระปกเกล้าระบุว่าไม่ควรรื้อฟื้นเอาผิดคณะรัฐประหาร ไม่ควรพูดถึงประเด็นอ่อนไหวเรื่อง ม.112 หรือเรื่องสถาบันเลย แต่ข้อเสนอเรื่องคุณทักษิณที่มี 3-4 ทางเลือก ทั้งนิรโทษกรรม ไม่นิรโทษกรรม ให้คตส.เป็นโมฆะแล้วเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ ถูกโจมตีว่าเอื้อประโยชน์ให้คุณทักษิณ แต่ทำไมไม่ตั้งคำถามว่าเอื้อประโยชน์ให้กับคณะรัฐประหารในเมื่อมีการระบุว่าไม่ควรรื้อฟื้นเอาผิดคณะรัฐประหาร แล้วบอกว่าไม่ควรพูดถึงสถาบันเลย ความจริงต่างๆก็เอามาพูดไม่ได้เลย 2 มาตรฐาน รายงานนี้มากันฝ่ายอำมาตย์ออกไปเลยคือต้องไม่ผิด แต่ทักษิณอาจจะผิดก็ได้ไม่ผิดก็ได้ ถามว่าทำไมทัศนะของคนถึงเบี่ยงเบนอย่างนี้ ก็เพราะภายใต้ระบบนี้ที่เราไม่สามารถพูดความจริงเบื้องหลังรัฐประหารได้ มันทำให้ทุกอย่างเบี่ยงเบนไปหมด เบี่ยงเบนทั้งในเรื่องการพูดความจริงก็เป็น 2 มาตรฐาน ความยุติธรรมทางกฎหมาย แม้แต่เรื่องไสยศาสตร์ และเรื่องอื่นก็ 2 มาตรฐานอีกมากมาย
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
ผู้คนมักเดือดร้อนตลอดในการที่มีคนเอาพระพุทธรูปไปตั้งที่ประตู หรือพระมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก คือรู้สึกว่าทำไมพวกนี้มันชั่วร้ายจัง แต่ศีล 5 ที่เป็นหลักการเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาก็แทบไม่มีใครปฏิบัติได้ อย่างการตบยุง กินเหล้า โกหก แต่ทุกคนเดือดร้อนใหญ่โตเกี่ยวกับเรื่องไม่มีศีลธรรมของคนอื่น จริงๆแล้วคนไม่ได้จริงจังกับหลักการศาสนา แต่ศาสนาเป็นเครื่องมือที่ใช้พูดอะไรบางอย่างให้ดูดี ในรัฐโบราณ รัฐมีหน้าที่ทำให้คนเป็นคนดีซึ่งอิงกับหลักการศาสนา แต่ในรัฐสมัยใหม่ รัฐไม่ได้มีหน้าที่ให้การศึกษาเพื่อให้คนเป็นคนดี แต่มีหน้าที่ทำให้คนเรียนรู้ความเป็นพลเมืองดี พลเมืองดีกับคนดีอาจจะไม่ใช่คนคนเดียวกัน คนดีแบบศาสนาอาจจะไม่ได้เป็นพลเมืองดีก็ได้ ความเป็นพลเมืองดีถูกสนับสนุนหรือให้เงื่อนไขโดยกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือสถาบันทางการเมืองอื่นๆที่ทำให้คนประพฤติอยู่ในโครงสร้างสถาบันการเมืองนั้น ความเป็นพลเมืองดีไม่ได้หยุดนิ่งตายตัว เพราะในทางปรัชญาการเมือง มนุษย์มีเสรีภาพ และเสรีภาพคือหัวใจความเป็นมนุษย์ แปลว่ายิ่งมนุษย์คิดค้นหรือครีเอทเสรีภาพแบบใหม่ๆได้ หรือขยายความสามารถในการจินตนาการการใช้ชีวิตของตนเองได้มากขึ้น สังคมการเมืองก็ต้องถูกปรับเปลี่ยน ปฏิรูป หรือปฏิวัติ เพื่อทำให้ตัวเองขยายกลไกสถาบันของตัวเองที่ครอบคลุมกับเสรีภาพที่ขยายตัวมากขึ้นด้วย ความเป็นพลเมืองดีคือการปฏิวัติตามกฎกติกาของรัฐ แต่รัฐเองก็ต้องปรับตัวเพื่อจะขยายคอนเซปต์ความเป็นพลเมืองดีของตัวเองออกไปด้วยเมื่อสถานการณ์หรือบริบทโลกเปลี่ยนไป แต่ในปัจจุบันนี้เราเอาพลเมืองดีไปโยงกับคนดี ซึ่งคนดีโยงกับพระพุทธศาสนา ความเป็นพลเมืองของรัฐถูกบีบให้แคบลงจนกระทั่งเราไม่สามารถพูดถึงเรื่องการปฏิรูปกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงสถาบันทางการเมืองที่สอดคล้องกับเสรีภาพของเรา เพราะความเป็นพลเมืองมันจำกัดมากจนกระทั่งเชื่อมโยงกับศาสนา เชื่อมโยงกับคนดี ซึ่งจริงๆแล้ว คนดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแบบศาสนา และพลเมืองดีก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากับคนดี คำว่าพลเมืองดีก็ยังมีลักษณะที่ขยายออกไปได้เมื่อเสรีภาพของมนุษย์ขยายออกไป มีข้อจำกัดมากในการพูดถึงมนุษย์ในยุคปัจจุบันเพราะเราอิงกับมนุษย์ในแบบที่แคบมาก จนคนอื่นๆที่ไม่ตรงกับเกณฑ์แบบนี้กลายเป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์ไปหมด
พระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำมาปรับมีเนื้อหาการลงโทษที่เบาลงกว่าร่างของ สนช. มาก ตนต่อต้านความคิดเรื่องการบัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ชาวพุทธต้องคิดคือเราจะเติบโตอย่างไรในระบอบประชาธิปไตย การเอาระบอบประชาธิปไตยเป็นตัวตั้งอาจทำให้ชาวพุทธรู้สึกไม่มั่นคง เพราะบทบาทของกษัตริย์หรือบทบาทของรัฐในสมัยราชาธิปไตยหายไป เป็นธรรมดาที่พระหรือคณะสงฆ์จะตกใจ เพราะเคยได้รับการอุปถัมภ์แบบเดิมๆหายไปจากรัฐสมัยใหม่ แต่สังคมก็เปลี่ยนแบบนี้เรื่อยๆ
มาตรา 11 กล่าวถึงรูปแบบคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งกำหนดให้มีนกยกฯ ปลัดที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงสำคัญๆเป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนามีอยู่ไม่กี่คน ถ้านายกเป็นคริสต์ หรือมุสลิมยังจะยอมให้มีมาตรากำหนดเช่นนี้หรือไม่ หรือมีนัยยะว่าผู้ที่จะขึ้นเป็นนายกไม่สามารถเป็นศาสนาอื่นได้หรือไม่ แต่ความคิดสำคัญคือการนำศาสนามาผูกกับรัฐ กรรมการกองทุนประกอบด้วยพระเป็นส่วนใหญ่ พระกับเงินเป็นปัญหาทางพระธรรมวินัยหรือไม่
“มาตรา 37 ผู้กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามพระศาสดา เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด แผ่นเสียงหรือสิ่งบันทึกเสียงอย่างอื่น กระทำโดยการกระจายเสียง หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า”
โทษไม่มาก แต่ประเด็นคือเวลาพูดอะไรเป็นภาพอย่างภิกษุสันดานกาเข้าตรงนี้ ในอนาคต คนที่สร้างสรรค์งานศิลปะเสร็จเลย ถ้าออกมาในลักษณะนี้ทำให้การสร้างสรรค์งาน หรือความคิดสร้างสรรค์หายไปในสังคมไทย ภูมิปัญญาไทยตีบตันลงไหม การตีความพระพุทธศาสนาซึ่งมีความลมายหลายจะยังอยู่ไหม
สุรพศ ทวีศักดิ์
พระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาเดิมมีอยู่ 4 ฉบับ ฉบับที่วิจารณ์กันมากคือฉบับของ สนช ที่ได้วิจารณ์ไปแล้วว่าเป็นกฎหมายเผด็จการยิ่งกว่ามาตรา 112 เพราะว่าการกำหนดโทษจาบจ้วงล่วงละเมิดพระศาสดากับพระธรรม 10-25 ปี แต่ทราบมาว่าร่างตัวนี้ตกไปแล้วเพราะไม่ผ่านกฤษฎีกา ร่างที่เหลืออยู่ก็คือร่างฉบับของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งตอนนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ส่งไปที่นายกรัฐมนตรีทั้ง 3 ฉบับแล้ว กำลังรอบรรจุวาระเข้าสภา คงใช้เวลาอีกนาน มีการผลักดันตรงนี้มาประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ร่างที่มีน้ำหนักน่าจะเป็นร่างของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติฉบับนี้ เพราะมีการบอกว่าไปทำประชาพิจารณ์มาแล้วทั่วประเทศทั้ง 4 ภาค และผ่านความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมแล้ว ถือว่ามีการผลักดันให้เข้มข้นกว่าฉบับอื่น หลักการอ้างอิงรัฐธรรมนูญปี 2550 บัญญัติไว้ว่ารัฐต้องอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมทั้งต้องสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น ต้องมีคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยมีนายกฯเป็นประธานกรรมการ มีพระนั่งเป็นกรรมการ เวลาประชุมมีนายกนั่งหัวโต๊ะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง ตัวแทนมหาเถรสมาคมมานั่ง มองในเชิงอำนาจได้ว่าคณะสงฆ์ขาดความมั่นใจในอำนาจทางพระธรรมวินัยของตัวเอง ยกให้อำนาจรัฐมากำหนดตัวเองในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของรัฐที่ต้องมาดูแลหมดตั้งแต่ออกนโยบาย จัดการศึกษา จัดงบประมาณ แม้แต่พัฒนาให้พระมีความสามารถในการเทศน์
เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ
โมเดลของเราคือรัฐประชาชาติ (nation state) ซึ่งชาติคือประชาชน ถ้าเราบอกว่าอธิปไตยอยู่ที่ประชาชน การกำหนดกติกาหรือออกกฎหมาย รวมทั้งสถาบันทางการเมืองทั้งหลายต้องอิงกับหลักการว่าประชาชนคือใคร และมีความต้องการอะไร ประชาชนที่เป็นคนไทยมีทั้งคนที่นับถือพุทธนิกายต่างๆมากมาย และไม่นับถือพุทธ นับถืออิสลาม คริสต์ ฯลฯ การคิดจากเกณฑ์ว่าชาติเท่ากับประชาชน ประชาชนคืออำนาจสูงสุดที่เป็นแหล่งที่มาของสถาบันทางการเมืองและกฎหมายทั้งหลาย การระบุให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็ขัดกับหลักการชาติเท่ากับประชาชนอยู่แล้ว คิดยังไงก็ทำไม่ได้ในทางรัฐศาสตร์