Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50704 articles
Browse latest View live

ระดมทุนมุ่งลดน้ำมันทอดซ้ำเปลี่ยนเป็นไบโอดีเซลใช้ใน รพ.อุ้มผาง

0
0

ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.อุ้มผาง ซึ่งอยู่ชายแดนไทย-พม่า ห่างจาก จ.ตาก 247 กม. จัดระดมทุนผ่านเว็บไซต์ "เทใจ" หวังหยุดวงจรมะเร็งจากน้ำมันทอดซ้ำในพื้นที่ โดยเปลี่ยนเป็นไบโอดีเซลใช้ในงานบริการสาธารณสุขของโรงพยาบาล รวมทั้งเครื่องปั่นไฟเพื่อออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่

ที่มาของภาพ: เว็บไซต์เทใจ

8 ก.พ. 2559 - ใน เว็บไซต์เทใจซึ่งเป็นเว็บไซต์ระดมทุนสำหรับทำกิจกรรมทางสังคม รวมไปถึงกิจการเพื่อสังคม มีการประกาศระดมทุนสำหรับโครงการ "เปลี่ยนน้ำมันทอดซ้ำเป็นไบโอดีเซลรถพยาบาล" ดำเนินโครงการโดย ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลอุ้มผาง ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลของ จ.ตาก ใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมง ทั้งนี้งบประมาณที่ต้องการคือ 50,000 บาท และยอดบริจาคขณะนี้คือ 22,085 บาท โดยนับจากวันนี้ (8 ก.พ.) เหลือเวลาระดมทุนอีก 53 วัน

ทั้งนี้โครงการตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายน้ำมันโรงพยาบาลอุ้มผาง พร้อมหยุดวงจรมะเร็งจากน้ำมันทอดซ้ำในพื้นที่ จ.ตาก โดยระบุถึงที่มาของโครงการว่า

"โรงพยาบาลอุ้มผางดูแลรักษาสุขภาพประชาชนในเขตอำเภออุ้มผาง ซึ่งเป็นอำเภอที่ไกลที่สุดจากอำเภอเมือง ด้วยระยะทาง 247 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง และชุมชนไกลที่สุดเดินทางมายังตัวอำเภอใช้เวลาเกือบ 1 วัน พาหนะส่วนใหญ่ที่ใช้ในการส่งต่อผู้ป่วย ใช้ “น้ำมันดีเซล” เป็นหลัก

แต่ละปีโรงพยาบาลมีภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันดีเซลราวปีละกว่า 2 ล้านบาท เพื่อเติม รถพยาบาล รถกระบะ เครื่องปั่นไฟเพื่อออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เผาขยะ เผาศพ ตลอดจนเติมรถอีต๊อก เพื่อส่งต่อผู้ป่วยระหว่าง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สถานบริการสาธารณสุขชุมชน สุขศาลาพระราชทาน และสุขศาลาหมู่บ้านในพื้นที่ทุรกันดาร  ให้กับโรงพยาบาลอุ้มผาง ซึ่งนับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

เราจึงจำเป็นต้องหาพลังงานอื่นมาทดแทนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล  นั่นก็คือ “น้ำมันไบโอดีเซล” ที่ทำมาจาก”น้ำมันพืชและสัตว์ใช้แล้ว”

ทีมงานลงพื้นที่ตลาดพบร้านอาหารที่ใช้น้ำมันเยอะๆ  เช่น ปาท่องโก๋ หมู ไก่ ปลา กล้วยแขก ลูกชิ้น ฯลฯ ทอดอาหารซ้ำจนมีสีดำ ข้นเหนียว มีฟอง และอาหารที่ซื้อมามีคราบน้ำมันดำปนเปื้อนและมีกลิ่นหืน สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรงทั้งคุณค่าทางโภชนาการที่ลดลง  และยังพบสารก่อมะเร็ง (อะครีลาไมด์/Acrylamide) ที่สูงเกินค่ามาตรฐาน

แถมที่น่ากลัวกว่านั้น คือ มีผู้รับซื้อน้ำมันพืชและสัตว์ทอดซ้ำ เพื่อไปแปรรูปและนำกลับเข้ามาสู่วงจรผู้บริโภคใหม่อีกครั้งดังนั้นเพื่อตัดวงจรน้ำมันทอดซ้ำหยุดมะเร็งร้ายในพื้นที่แล้ว เรายังต้องการเกิดพลังงานสะอาดอย่างไบโอดีเซลเพื่อใช้รับส่งคนไข้ในพื้นที่อีกด้วย

ประโยชน์ของโครงการ :

1. ให้ประชาชนในพื้นที่ตระหนักถึงอันตรายที่ได้รับจากอาหารที่มาจากน้ำมันพืชและสัตว์ที่ใช้แล้ว

2.ป้องกันและลดการเจ็บป่วยตลอดจนค่ารักษาพยาบาลทุกๆด้านจากโรคมะเร็ง และโรคร้ายแรงอย่างอื่น คาดว่าเป็นเงินหลายล้านบาทต่อปี

3.สามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ตลอดโครงการได้ไม่น้อยกว่า 8,200 ลิตร คิดเป็นเงิน  270,000 บาท (ราคาต้นทุนน้ำมันไบโอดีเซล ลิตรละ 17.30 บาท  ทำให้ลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันดีเซลรวมต่อปีจากเดิมได้ถึง 12 %  นั่นหมายถึงการลดปริมาณน้ำมันพืชและสัตว์ที่ใช้แล้วในพื้นที่ได้อย่างปลอดภัยและเป็นรูปธรรม

4.ผลิตน้ำยาล้างห้องน้ำจากกรีเซอลีน ซึ่งเป็นผลผลิตจากน้ำมันไบโอดีเซล ไม่น้อยกว่า 1,200 ลิตร

5. ลดมลภาวะทางอากาศ ควันพิษ เพราะน้ำมันไบโอดีเซลเป็นพลังงานสะอาด

6.เป็นสถานที่ศึกษาหาความรู้แก่โรงพยาบาลอื่นและผู้ที่สนใจทั่วไป

7. ก่อให้เกิดความยั่งยืนในด้านพลังงานกับโรงพยาบาล เพราะน้ำมันไบโอดีเซลสามารถทดแทนน้ำมันดีเซลได้ 100% และเป็นพลังงานสะอาด ที่สำคัญมนุษย์สามารถผลิตได้

กิจกรรมที่จะดำเนินโครงการ :

1.จัดทำโครงการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล

2.ประชุมชี้แจงฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง

3.รับซื้อน้ำมันพืชที่ใช้แล้วในราคา ลิตรละ 5  บาท โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ

3.1 ร้านอาหาร บ้านพัก รีสอร์ตในอำเภออุ้มผาง ไม่ให้ใช้น้ำมันทอดอาหารนานเกิน1-8 ชั่วโมง ซ้ำเกิน 3 ครั้ง

3.2 ร้านอาหารในโรงเรียน อำเภออุ้มผางไม่ใช้น้ำมันทอดอาหารนาน 1-8 ชั่วโมง ซ้ำเกิน 3 ครั้ง

3.3 โรงพยาบาลอุ้มผางใน จ.ตาก ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำเกิน 3 ครั้ง

4.เชิญชวนให้นำน้ำมันพืชและสัตว์ใช้แล้ว  มาแลกกับน้ำมันพืชดี โดยรับน้ำมันที่ใช้แล้ว 8 ลิตร แลกน้ำมันดี 1 ขวดลิตร

5.ทำการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลครั้งละ 120 ลิตร ต่อการผลิต 4 วัน ผลิตเดือนละอย่างน้อย 6 ครั้ง

6.ให้ความรู้ด้านสุขศึกษาให้กับ นักเรียน อสม และผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้มารับ

7.บริการตามคลินิกต่างๆ

8.ประชาสัมพันธ์เชิญชวนร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ตเข้าร่วมโครงการ “ไบโอดีเซล ตัดวงจรน้ำมันทอดซ้ำเพื่อหยุดมะเร็งร้าย”

9.จัดทำป้ายโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์โครงการ ติดตามสถานที่ราชการ

10.ประเมินผลครั้งที่ 1 และสรุปปัญหา วางแผนพัฒนาระบบงานต่อไป

สมาชิกภายในทีม :ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลอุ้มผาง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ลั่นไม่กลัว หลังมีชัยขู่เอาผิด อ้างบิดเบือนร่างรธน.

0
0

ประธาน กรธ. เผยเตรียมหารือที่ประชุมเพื่อจัดการ เพจโซเชียลมีเดีย บิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ยันไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และไม่ถึงขั้นต้องใช้กฎหมายใดมาควบคุม ด้านเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ยันไม่กลัว ด้านพท.แนะ กรธ. ฟังให้มาก ตอบโต้คนเห็นต่างให้น้อย

8 ก.พ.2559 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ในโซเชียลมีเดีย สร้างข้อมูลบิดเบือนข้อเท็จจริงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญว่า เป็นการกระทำของพรรคการเมืองบางพรรค ตนจะนำเอาเรื่องนี้เข้าหารือกับที่ประชุม กรธ.ว่าต้องให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการอย่างไรกับกลุ่มที่พยายามบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิด แต่คงจะไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และไม่ถึงขั้นต้องใช้กฎหมายใดมาควบคุม

ประธาน กรธ. ยังกล่าวถึงข้อเสนอ ของคณะรัฐมนตรีต่อร่างรัฐธรรมนูญร่างแรก ว่า ขณะนี้ยังส่งมาไม่ถึง กรธ. แต่ระหว่างนี้ก็ยังรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ส่วนการแสดงความคิดเห็น ของ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในวันนี้นั้น  มีความเห็นหลากหลาย บางคนก็ดี เข้าใจเจตนารมณ์ ของ กรธ. และยังมีบางคนที่เข้าใจผิด ส่วนที่มีนักการเมืองผู้ใหญ่แสดงความเห็นว่า ร่างบทเฉพาะกาลยาวเกินไปนั้น ยืนยันว่า ไม่ยาวจนเกินไป เพราะมี 17 มาตราเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และยังสั้นกว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่มีถึง 20 มาตราด้วย ขณะนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า กรธ.จะคงเนื้อหาใดในร่างรัฐธรรมนูญบ้าง
 
เพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ยันไม่กลัว
 
ขณะที่เมื่อเวลา 17.50 น. ที่่ผ่านมาเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” โพสต์ข้อความฝากถึงนายมีชัย ด้วยว่า ลุงมีชัย ตอนนี้ก็อายุใกล้ 80 ปีแล้ว ภาษาไทยเขาเรียกว่า "ไม้ใกล้ฝั่ง" แต่ยังมีคนไปหยิบขึ้นมาเอามานั่งเป็นประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มีตำแหน่งอยู่แม้จะชรามากแล้ว เจอแค่อินโฟกราฟฟิค 30 แผ่น ดิ้นทำไม ถ้ามันทำให้เจ็บช้ำก็ขอโทษด้วย คงประเมินพวกท่านสูงไป พร้อมระบุด้วยว่า ตนเองไม่กลัว
 
พท.แนะ กรธ. ฟังให้มาก ตอบโต้คนเห็นต่างให้น้อย
 
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุ เห็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป ทำให้ประเทศชาติถอยหลังลงคลอง ไปเกือบ 20 ปี ว่า รัฐบาลหรือ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องตื่นเต้น ตกใจ จากการออกมา วิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญของดร.ทักษิณ ชอบไม่ชอบ เห็นด้วยไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิ์ที่ผู้คนสามารถแสดงความเห็นต่างกันได้ ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากการออกมาแสดงความเห็นของ นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นศิริ นายแก้วสรร อติโพธิ นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ แทนที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะออกมาตอบโต้ผู้เห็นต่างรายวัน เหมือนตีโต้ลูกปิงปองไม่รู้จักจบจักสิ้น คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ทำงานกัน 21 คน แต่คนค้านต้องมีมากกว่า 21 คนแน่นอน ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ในการรับฟังให้มาก วิเคราะห์ให้ละเอียด ทำงานใหญ่ ใจต้องนิ่ง ต้องไม่ลืมว่าพวกท่านกำลังทำหน้าที่ร่างกติกาให้กับคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ร่างข้อบังคับใช้กันเองในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญของท่าน ดังนั้น อย่าตั้งกำแพง หรือตั้งธงกล่าวโทษ ว่าคนไทย อ่านร่างรัฐธรรมนูญไม่จบ ไม่ฉลาดเท่าพวกท่าน รู้ไม่เท่าพวกท่าน แต่สิ่งที่พวกท่านต้องทำคือ ฟังให้มาก ตอบโต้คนเห็นต่างให้น้อย เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข ให้เกิดการมีส่วนร่วมและยอมรับจากประชาชนในวงกว้าง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

14 องค์กร ร่วมลงนามดูแลสุขภาพแรงงานนอกระบบ ตั้งเป้า 2.1 ล้านคนภายในปี 2564

0
0

ก.แรงงาน สธ. มหาดไทย กทม. สปสช. และ สสส. ฯลฯ ร่วมลงนาม “ส่งเสริมป้องกันโรคจากการประกอบอาชีพสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ” ยกระดับคุณภาพแรงงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งเป้า 2.1 ล้านคนภายในปี 2564 เริ่ม 5 กลุ่มเสี่ยง

8 ก.พ. 2559 รายงานข่าวจากกระทรวงแรงงาน แจ้งว่า นายสุรเดช วลีอิทธิกุล รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวพรรณี ศรียุทธศักดิ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นายรักษ์ศักดิ์  โชติชัยสถิตย์ ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพสำนักงานประกันสังคม ร่วมกับเครือข่ายรวม 14 องค์กร นอกจากกระทรวงแรงงานแล้ว ยังมี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย  กรุงเทพมหานคร สปสช. และ สสส. เป็นต้น ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)“ในการส่งเสริมป้องกันโรคจากการประกอบอาชีพสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ” ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ ทั้งนี้กลุ่มแรงงานนอกระบบในประเทศไทยมีจำนวน 22.1 ล้านคน เป็นแรงงานที่ไม่ได้รับการคุ้มครองด้านสุขภาพจากระบบประกันสังคม ซึ่งพบว่าแรงงานกลุ่มนี้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคจากการประกอบอาชีพ เช่น สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีฝุ่น ควัน และเสี่ยงต่อสารเคมีและเครื่องจักรที่เป็นอันตราย รวมทั้งการเข้าถึงบริการอาชีวอนามัย

สำหรับความร่วมมือดังกล่าวทั้งภาคีเครือข่าย ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายแรงงานต่างๆ ได้ร่วมจัดทำโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาระบบและองค์ความรู้การดูแลสุขภาพจากการประกอบอาชีพของแรงงานนอกระบบ ทั้งในระดับกระทรวง และเขตสุขภาพ/เขต สปสช. และเป็นการเชื่อมโยงการจัดบริการอาชีวอนามัยในระดับนโยบายสู่การปฏิบัติในพื้นที่ รวมทั้งสามารถนำมาประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในการพัฒนาและขยายระบบการจัดบริการอาชีวอนามัยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ

โดยในระยะแรกจะเริ่มดำเนินการใน 5 กลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ 1) กลุ่มเกษตรประเภทเพาะปลูก กลุ่มที่มีความเสี่ยงด้วยโรคพิษสารกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งปัญหาโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ 2) กลุ่มแกะสลักหินที่เสี่ยงต่อโรคปอดฝุ่นหิน 3) กลุ่มคนเก็บและคัดแยกขยะ ทั้งขยะทั่วไปที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ท้องเสีย ท้องร่วง ของมีคมบาดทิ่มแทง และขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีโอกาสสัมผัสโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว 4) กลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ เฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีความเสี่ยงติดเชื้อโรคและไข้หวัดใหญ่ และ 5) กลุ่มตัดเย็บผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า ที่เสี่ยงโรคปอดฝุ่นฝ้าย ภูมิแพ้/ระคายเคือง ของมีคมบาดทิ่มแทง โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานในระยะแรกนี้ จำนวน 6.2 แสนราย และขยายให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ จำนวนประมาณ 10.5 ล้านคน ภายในปี 2563 และครอบคลุมทุกกลุ่มทุกคน (ประมาณ 22.1 ล้านคน) ภายในปี 2564 เป็นต้นไป

ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ประสานและสนับสนุนกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายระดับชาติและระดับปฏิบัติการ ผ่านคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบจังหวัด และศูนย์ประสานงานและสนับสนุนเครือข่ายแรงงานนอกระบบจังหวัด ด้านกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสนับสนุนให้มีการบริหารจัดการและดำเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบ และสำนักงานประกันสังคม สนับสนุนการเสริมสร้างความตระหนัก ความรู้ความเข้าใจ สุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน ควบคู่กับการส่งเสริมการมีหลักประกันทางสังคม ตามมาตรา 40 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตัวแทน EU เยี่ยมศูนย์ทนายสิทธิฯ-ตร.เรียก 'ทนาย' รับทราบข้อกล่าวหาพรุ่งนี้

0
0

8 ก.พ. 2559  เพจเฟซบุ๊กของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย รายงานว่า วันนี้ ตัวแทนจากคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย สถานทูตประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหลายประเทศ สถานทูตออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสำนักงานผู้ประสานงานองค์การสหประชาชาติ (UNRC) ได้เข้าเยี่ยมศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเพื่อแสดงความสนับสนุนอย่างต่อเนื่องกับการทำงานของศูนย์ทนายฯ พร้อมระบุว่า ในการพูดคุย ทางศูนย์ทนายฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและการคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย อาทิ กรณีของ น.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความของศูนย์ทนายฯ เอง

โดยในวันพรุ่งนี้ (9 ก.พ.) จะเป็นวันที่ น.ส.ศิริกาญจน์ ต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจชนะสงคราม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีอาญา ได้แก่ ข้อหาแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน โดยในหมายเรียกระบุชื่อผู้กล่าวหา คือ พ.ต.อ.สุริยา จำนงโชค ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนกรณี  14 นักกิจกรรมนักศึกษากลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ทั้งนี้ ข้อหาดังกล่าวอาจส่งผลให้ได้รับโทษจำคุกนานถึงสองปี 

ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 58 ซึ่งนำมาสู่การจับกุมทั้ง 14 คนในวันถัดมาที่สวนเงินมีมา ถนนเจริญกรุง โดย ศิริกาญจน์ อยู่ร่วมสังเกตการณ์ขณะที่ทั้ง 14 คนถูกจับกุมและได้ติดตามไปยัง สน.พระราชวังและศาลทหารเพื่อทำหน้าที่ทนายความ กระบวนการฝากขังในศาลทหารเริ่มต้นเมื่อประมาณ 22.00 น. จนถึงเวลาประมาณ 00.30 น.โดยไม่มีบุคคลภายนอกสามารถเข้าไปในศาลทหารได้ ผู้ต้องหาทั้ง 14 รายจึงจำเป็นต้องฝากสิ่งของไว้กับทนายความเนื่องจากทั้งหมดถูกส่งเข้าเรือนจำในคืนนั้น ทีมทนายความจึงได้นำสิ่งของทั้งหมดของผู้ต้องหาไปเก็บรักษาไว้ภายในรถของศิริกาญจน์

ภายหลังการฝากขังเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดยพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 ได้ขอเข้าตรวจค้นรถของศิริกาญจน์ เพื่อขอตรวจค้นโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาทั้ง 14 ราย แต่เนื่องจากทีมทนายความเห็นว่าพนักงานสอบสวนได้อยู่ร่วมกับผู้ต้องหามาตั้งแต่เวลา 17.00 น.จนถึง 00.30 น.โดยมิได้ขอตรวจยึดโทรศัพท์มือถือจากผู้ต้องหาและพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ไม่สามารถตอบได้ว่าต้องการสิ่งใดในโทรศัพท์มือถือ จึงไม่อนุญาตให้ทำการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการยึดรถและผนึกรถด้วยกระดาษ A4 ทำให้ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ต้องนอนเฝ้ารถคันดังกล่าวบริเวณหน้าศาลทหารตลอดทั้งคืน

ต่อมาในวันที่ 27 มิ.ย.58 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นมาแสดง ศิริกาญจน์ จึงยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นและยึดโทรศัพท์มือถือไปทั้งหมด 5 เครื่อง โดยก่อนที่เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์พยานหลักฐานกลางจะได้ทำการปิดผนึกโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งมอบให้พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ได้นำมือถือเครื่องดังกล่าวไปจากสถานที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์พยานหลักฐานกลาง โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นเป็นพยานกว่าสิบนาที เมื่อมีการทักท้วงว่าเป็นการกระทำผิดขั้นตอน เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวจึงนำโทรศัพท์มือถือกลับมาเพื่อปิดผนึก

ในวันเดียวกันหลังจากการทำบันทึกตรวจยึดสิ่งของที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามแล้ว ศิริกาญจน์ ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงครามว่า พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดชและพวกกระทำความผิดตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จากเหตุการณ์ยึดรถข้ามคืน ซึ่งนำมาสู่เหตุการออกหมายเรียกผู้ต้องหาดังกล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ม.เกษตรฯลงโทษนศ.กุข่าวเลาะกระดูกแมวส่งอาจารย์ กกอ.ติงภาพสวมมงกุฎรับปริญญาไม่เหมาะ

0
0

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ภาพอำว่าฆ่าแมวของยายข้าวบ้าน แล้วนำกระดูกแมวเพื่อส่งอาจารย์เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จนได้ถูกนำไปจัดแสดงโชว์ในพิพิธภัณฑ์ ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณาถึงความเหมาะสมในโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น

ล่าสุดวันนี้ (8 ก.พ.59) สำนักข่าวไทย รายงานว่า นางสุภา หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นพบว่า นิสิตคนดังกล่าวไม่ได้ฆ่าแมว เพื่อนำโครงกระดูกมาส่งอาจารย์ แต่เป็นการนำซากแมวที่ตายที่บ้านมาส่ง ใช้ประกอบในวิชามิวเซียม คอนเลคชั่น ซึ่งเป็นวิชาอิสระที่นิสิตเลือกลงเรียนตั้งแต่ปี 1 โดยวิชานี้จะสอนเรื่องจริยธรรมในการใช้สัตว์ทดลอง และการเก็บโครงสร้างสัตว์ เพื่อการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งการทำโครงสร้างกระดูกด้วย ซึ่งปกตินิสิตแต่ละกลุ่มจะได้รับหนู 1 ตัว ในการฝึกทำโครงกระดูกหนู แต่กลุ่มของนิสิตคนนี้ ได้ทำโครงกระดูกหนูเสียหายจึงนำซากแมวที่บ้านมาทดแทน ซึ่งถือว่าไม่ผิด พ.ร.บ.การใช้สัตว์เพื่อทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่ยอมรับว่า การกระทำที่โพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าว เป็นความคึกคะนอง ขาดความยั้งคิด จากการเรียกนิสิตพูดคุยก็สำนึกกับความผิดที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามทางมหาวิทยาลัยก็จะดำเนินคดีทางวินัย เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง

กกอ.ติงภาพบัณฑิตสวมมงกุฎขณะรับปริญญาไม่เหมาะสม

วันเดียวกัน สำนักข่าวไทย ยังรายงานด้วยว่า นายสรนิต ศิลธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวถึงกรณีการเเต่งกายของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา จังหวัดศรีสะเกษ สวมมงกุฎบนศีรษะเข้ารับปริญญาบัตรว่า ตามระเบียบการเเต่งกายเข้ารับปริญญาของเเต่ละมหาวิทยาลัย ยึดตามกฎกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเรื่องปริญญาเเละเครื่องหมายวิทยฐานะ กำหนดให้สวมชุดครุยวิทยฐานะตามรูปเเบบของเเต่ละสถาบันศึกษา เเละเป็นระเบียบเรียบร้อย หากมีเครื่องเเบบที่สวมบนศีรษะ ต้องเป็นหมวกที่กำหนดรูปเเบบชัดเจน การสวมมงกุฎไม่มีในกฎของการเเต่งกายเข้ารับปริญญาบัตร จึงมองว่าไม่เหมาะสม ทั้งนี้ให้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดส่งมาให้พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง

ขณะที่นายเทอดศักดิ์ อุตส่าห์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ยอมรับว่าภาพที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์บัณฑิตสวมมงกุฎเป็นภาพในงานรับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาจริง ซึ่งทางมหาวิทยาลัยตั้งใจมอบให้บัณฑิตเป็นที่ระลึก เพราะเป็นสัญลักษณ์ประจำของมหาวิทยาลัย และทำเป็นประจำทุกปี แต่เป็นการมอบให้ขณะมีการซ้อมรับปริญญาเท่านั้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตัวตนอันดำมืดของวลาดิมีร์ เลนิน

0
0


      

บทความต่อไปนี้แปลและดัดแปลงในหลายส่วนจากเว็บไซต์ของนิตยสารไทม์ ที่เขียนถึงบุคคล 100 คน ที่ทรงอิทธิพลต่อโลกในรอบ 100 ปี เขียนโดยเดวิด เรมนิก กองบรรณาธิการของนิตยสารนิวยอร์กเกอร์ เจ้าของหนังสือ Lenin's Tomb: The Last Days of the Soviet Empire    ซึ่งได้รับรางวัลพูลิเซอร์ ในปี 1994 การที่เลนิน (มีชีวิตช่วง ปี 1870-1924) ถูกจัดให้เป็นคนที่สำคัญเช่นนี้ เพราะเขาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก โดยการเป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ให้กำเนิดรัฐโซเวียต อันนำไปสู่การเกิดสงครามเย็น ซึ่งเป็นสงครามหรือชุดของความขัดแย้งทางการเมืองและการทหาร ที่กินเวลายาวนานและซับซ้อนที่สุดในโลก เป็นที่น่าสนใจว่า แม้ปัจจุบันสงครามเย็นจะสิ้นสุดลงไปกว่า 2 ทศวรรษแล้ว แต่อนุสาวรีย์ของเขายังคงหลงเหลืออยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับกับการที่หลายคนยังให้การชื่นชอบเลนิน  มากกว่าสตาลิน ในฐานะเป็นวีรบุรุษผู้ต่อสู้กับจักรวรรดินิยมอเมริกัน และฝ่ายตะวันตก ซึ่งชั่วร้าย อันสะท้อนให้เห็นว่า เลนิน     ก็เหมือนกับผู้นำทางการเมือง เช่น ฮิตเลอร์ หรือสตาลิน คือ มีอุดมการณ์และกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งสามารถถูกนักการเมืองหัวทั้งขวาและซ้ายสุดขั้วนำมาลอกเลียนแบบในด้านความรุนแรง และความเป็นเผด็จการได้ในปัจจุบันและอนาคต  บทความนี้ไม่ใช่ชีวประวัติ แต่เป็นการนำเสนอบางด้าน โดยเฉพาะตัวตนอันดำมืดของ  เลนินที่เราอาจไม่รู้จักดีพอ
         
ไม่นานนัก ภายหลังจากที่พวกบอลเชวิกได้ยึดอำนาจในปี 1917 วลาดีมีร์ อิลวิช เลนิน (Vladimir Ilyich Lenin)  กรอกข้อมูลลงในแบบสอบถามของทางราชการ ในส่วนของอาชีพนั้นเขาได้เขียนว่า "ปัญญาชน"  ดังนั้น เขาจึงเป็นผลผลิตของปัญญาชนชาวรัสเซีย หรือพวกหัวรุนแรงที่ตรงมาจากหนังสือ The Possessed ของฟีออดอร์ ดอสโตเยฟสกี เลนินคนนี้เองที่กลายเป็นสถาปนิกแห่งการเข่นฆ่ามวลชน และค่ายกักกันแห่งแรกที่เคยถูกสร้างในภาคพื้นยุโรป
     
เลนิน เป็นผู้เริ่มต้นโศกนาฏกรรมในยุคสมัยของเรา นั่นคือ รัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ในบทบาทของหนอนหนังสือ พร้อมนิสัยของนักปราชญ์ และมีสัญชาติญาณของความเป็นนายพล เลนินได้ทำให้คนในศตวรรษที่ 20 ได้รู้จักกับวิธีการนำอุดมการณ์อันสูงส่งมาปฏิบัติ และนำมันมาบังคับใช้กับสังคมทุกที่อย่างรวดเร็ว และไร้ความปราณี เขาได้สร้างยุคสมัยที่ลบล้างการเมือง ลบล้างความทรงจำทางประวัติศาสตร์  ลบล้างฝ่ายตรงข้ามออกไป ในช่วงเวลาอันแสนสั้นที่เขาอยู่ในอำนาจ เลนินได้สร้างรูปแบบ โดยมีผู้สืบทอดไม่ใช่เฉพาะสตาลิน แต่รวมไปถึง ฮิตเลอร์ เหมา และพอล พต
      
และด้วยเหตุนี้ เลนินอาจเป็นนักแสดงเอกผู้เริ่มต้นศตวรรษที่ 20 เขามีลักษณะท่าทางที่ผู้คนรู้จักกันน้อยที่สุด  ครั้งใช้ชีวิตในวัยเด็กที่เติบโตในเมืองซิมเบิร์ก  เลนินได้เรียนรู้ภาษาละตินและกรีก เหตุการณ์สำคัญในวัยเยาว์ ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นพวกหัวรุนแรง เกิดขึ้นในปี 1887 เมื่อพี่ชายคนโตของเขา คือ อาเล็กซานเดอร์ ผู้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถูกจับแขวนคอในข้อหาสมรู้ร่วมคิดที่จะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3  เมื่อมาเป็นนักกฎหมาย เลนินได้เข้าเกี่ยวข้องกับพวกหัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และภายหลังจากถูกเนรเทศไปยังไซบีเรียครบ 3 ปี เขาก็เริ่มต้นเป็นนักทฤษฎีคอมมิวนิสต์ชั้นนำ นักกลยุทธ์ และนักจัดตั้งพรรคการเมือง
     
ในความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และเพื่อน ๆ เลนินนั้นค่อนข้างเป็นคนเปิดเผยและเอื้อเฟื้อ ไม่เหมือนกับทรราชจำนวนมาก เขาไม่มีคุณสมบัติของความเป็นเผด็จการเลย แม้ว่าเราจะรื้อถอนเอาลัทธิบูชาเลนินที่แพร่ไปทั่วโลก ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิต เช่นเดียวกับการดึงมายาคติของ "ความเมตตาอย่างเหนือมนุษย์" ออกจากตัวเขา เขายังคงเป็นคนสำคัญที่ถ่อมตนอย่างน่าประหลาด ผู้สวมเสื้อโค้ทอันซอมซ่อ ทำงานวันละ 16 ชั่วโมง และโหมอ่านหนังสืออย่างหนัก (ในทางกลับกัน เลนินไม่รู้ว่าเนเธอร์แลนด์กับฮอลแลนด์เป็นประเทศเดียวกัน และไม่มีใครในบรรดาลูกน้อง กล้าพอที่จะบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างตรง ๆ) ก่อนที่จะกลายมาเป็นนายพลแห่งการปฏิวัติ เลนินเป็นนักทฤษฎี เขาเป็นนักปราชญ์ นักเขียน ผู้นำเอาทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์มาผสมกับการวิเคราะห์อันแม่นยำของกลยุทธ์การต่อสู้เพื่อยึดอำนาจรัฐ ทฤษฎีของเขาที่ว่า สังคมควรจะเป็นอย่างไร และความคิดนั้นจะสำเร็จลุล่วงได้อย่างไร คือ ผลผลิตของการอ่านเป็นเวลาหลายพันชั่วโมง อังเดรย์ ซินยาสกี  ผู้เป็นปรปักษ์ต่อรัฐโซเวียตในทศวรรษที่ 60 เขียนไว้ว่า
   
“ความไม่เข้าใจในตัวเลนิน เกิดจากความเป็นนักปราชญ์ผู้รู้รอบ หรือความจริงที่ว่า การคาดคำนวณของเขา และจากปากกาด้ามงามของเขา ทำให้เกิดการหลั่งเลือดขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ในทางกลับกัน โดยธรรมชาตินั้น เขาไม่ใช่บุคคลชั่วร้ายเลย”
      
ในทางตรงกันข้าม วลาดีมีร์ อิลวิช  (เลนิน) เป็นคนอ่อนโยน ผู้ซึ่งความโหดร้ายถูกจุดประกายโดยวิทยาศาสตร์และกฎทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นเดียวกับความรักในอำนาจและความไร้ความอดทนทางการเมือง
    
จากการเรียนรู้ของเขาทั้งหมด เลนินเริ่มต้นประเพณีของพรรคบอลเชวิกในการทำสงครามกับฝ่ายตรงกันข้ามที่เป็นปัญญาชน ไม่ว่าการเนรเทศ การคุมขัง และการประหารนักคิด และศิลปิน ผู้หาญกล้าในการต่อต้านรัฐบาล เขาเป็น “นักปราชญ์” ของเรื่องบางเรื่อง หลายปีก่อนและหลังการปฏิวัติในเดือนตุลาคม ปี 1917 เลนิน คือ ภาพอันสมบูรณ์แบบของปัญญาชนหัวรุนแรง ผู้ต้องการการปฏิวัติ ไม่เฉพาะการปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้ระบบซาร์ ในทางกลับกัน เลนินตีความสวนทางกับแนวคิดยุคแห่งการรู้แจ้ง โดยเห็นว่ามนุษย์เป็นแค่ดินเหนียวสำหรับไว้ปั้น และพยายามหารูปแบบใหม่ของพฤติกรรมและธรรมชาติของมนุษย์ ผ่านการจัดระเบียบทางสังคมแบบพวกหัวรุนแรงที่สุด ริชาร์ด ไปป์ส เขียนไว้ในตอนท้ายของหนังสือเกี่ยวกับการปฏิวัติ 2 เล่มใหญ่ ของเขาว่า
   
“ลัทธิบอลเชวิก คือ ความพยายามอย่างอาจหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ ในการนำทุกอณูของประเทศ ไปสู่แผนการอันยิ่งใหญ่ มันต้องการลดภูมิปัญญาซึ่งมนุษยชาติสะสมมาหลายพันปี ให้กลายเป็นแค่ขยะอันไร้ค่า ดังนั้น มันเป็นความพยายามอันโดดเด่นที่จะนำเอาวิทยาศาสตร์มาสู่กิจกรรมของมนุษย์ และมันนำไปสู่เผ่าพันธุ์ของปัญญาชน ผู้พิจารณาว่าการต่อต้านความคิดของพวกเขาเป็นข้อพิสูจน์ที่ว่า ความคิดของพวกเขานั้นสมเหตุสมผล"
   
อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะคำนวณว่า มีการฆาตกรรมกี่สิบล้านครั้ง “หลั่งไหล” มาจากลัทธิเลนิน แต่เป็นที่แน่นอนว่า สตาลินแตกต่างจากเลนินในช่วงเวลาของการเป็นเผด็จการ นั่นคือ เขามีเวลาถึง 25 ปี ในขณะที่เลนินมีเพียง 6 ปี และสตาลินยังเหนือกว่าในเรื่องของเทคโนโลยีอันก้าวหน้ากว่ามาก ดังนั้น สถิติการฆาตกรรมของสตาลินจึงเหนือกว่าเลนิน แต่เลนินก็มีส่วนร่วมด้วยอย่างมากมาย
   
ในวงการปัญญาชนของตะวันตก สตาลินถูกมองว่าเป็น “ผู้หลงทาง” ทรราชผู้เบี่ยงเบนความตั้งใจของเลนินในช่วงปลายชีวิตของเขา แต่เมื่อหลักฐานเกี่ยวกับความโหดร้ายของเลนินโผล่ออกมาจากหอจดหมายเหตุมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดที่ว่ามี “เลนินคนดี” และ “เลนินคนไม่ดี” กลายเป็นเรื่องตลกทางวิชาการ มีนโยบายของสตาลินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ไม่มีรากมาจากลัทธิ  เลนิน เป็นเลนินผู้สร้างค่ายกักกันขึ้นคนแรก เลนินเป็นผู้เริ่มต้นความอดอยากแบบเทียม ๆ (ความอดอยากที่เกิดจากรัฐเป็นผู้ริเริ่มและวางแผนเพื่อสังหารหรือกำราบประชาชนที่เห็นต่าง ดังเช่น กรณียูเครนในช่วงปี 1932-1935 ที่มีชาวยูเครนเสียชีวิตไปหลายล้านคน–ผู้แปล) ให้เป็นอาวุธทางการเมือง เลนินเป็นผู้ยกเลิกรัฐบาลตามแบบประชาธิปไตยและรัฐสภา และยังสร้างพรรคคอมมิวนิสต์ ในฐานะสุดยอดของโครงสร้างเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ เลนินเป็นคนแรกที่ทำสงครามกับปัญญาชนและผู้ศรัทธาในศาสนา และยังทำลายเสรีภาพของประชาชน รวมไปถึงเสรีภาพของสื่อ
   
ตั้งแต่ข้อมูลในหอจดหมายของโซเวียตถูกนำออกมาเผยแพร่ เราสามารถเข้าใจขอบเขตของความโหดร้ายของเลนิน หรือความลึกซึ้งของความรุนแรงเมื่อปี 1918 จากจดหมายของเลนินในการสั่งบรรดาผู้นำของพรรคบอลเชวิกเพื่อโจมตีชาวนาผู้ไม่ยอมจำนนต่อการปฏิวัติ ดังนี้
  
“สหาย! แขวนคอ (แขวนคออย่าได้พลาด เพื่อที่ผู้คนจะได้เห็น) ต้องไม่น้อยกว่าร้อยคน ที่รู้จักกันว่าเป็นพวกกูลัก (ชาวนาผู้มั่งคั่ง) คนรวย ไอ้พวกสูบเลือดเนื้อประชาชน และในหลายร้อยกิโลเมตรรอบ ๆ ประชาชนจะเห็น สั่นเทิ้ม รู้ซึ้ง และตะโกน ‘พวกเขากำลังแขวนคอและจะแขวนคอพวกชาวนารวย ๆ ผู้ละโมบจนตาย’. ด้วยความนับถือ เลนิน”
    
ท่ามกลางศิลปินและนักเขียนผู้ซึ่งรอดชีวิตมาจากการปฏิวัติและผลพวงของมัน หลายคนเขียนบทเพลงสดุดีสติปัญญาของเลนิน ที่ฟังดูเหมือนกับเพลงสรรเสริญพระเจ้า กวีนามว่า มายาคอฟสกีเขียนว่า “แล้วศีรษะอันใหญ่โตของเลนินจะปกคลุมเหนือโลกทั้งมวล”
      
และต่อมานักเขียนบทร้อยแก้วนามว่า ยูริ โอเลชา กล่าวว่า
     
“บัดนี้ ผมได้อาศัยอยู่ในโลกที่สามารถเข้าใจได้ ผมเข้าใจสาเหตุแล้ว ผมเต็มไปด้วยความรู้สึกกตัญญูอย่างมากมาย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาเฉพาะในดนตรี เมื่อผมคิดถึงบุคคลผู้ซึ่งตายเพื่อทำให้โลกเป็นที่เข้าใจได้ (นั่นคือเลนิน -ผู้แปล)”
   
ในยุคของลีโอนิด เบรซเนฟ รัฐในฝันของเลนินได้กลายเป็นรัฐเผด็จการที่ล้มเหลวและฉ้อฉล มีเพียงลัทธิบูชาเลนินที่ยังคงอยู่ ภาพเลนินที่มีอยู่ทั่วไป คือ สัญลักษณ์ของสังคมที่เต็มไปด้วยการกดขี่  โจเซฟ บรอดสกี กวีชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20  เริ่มต้นที่จะเกลียดชังเลนินเมื่อเขาเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 1 
   
“ไม่ใช่เพราะปรัชญาการเมืองหรือการปฏิบัติของเขา แต่เพราะภาพซึ่งมีอยู่ทั่วไปอันแทรกเข้ามาในหนังสือเรียนทุกเล่ม ผนังของชั้นเรียนทุกชั้น แสตมป์ทุกดวง เงินทุกเหรียญ และอื่น ๆ ซึ่งบรรยายให้เห็นเขาในทุกช่วงอายุ ใบหน้านี้ที่หลอกหลอนชาวรัสเซียทุกคน และทำให้เกิดมาตรฐานบางประการสำหรับหน้าของมนุษย์ เพราะมันดูขาดเสน่ห์อย่างยิ่ง การเมินเฉยต่อใบหน้าเหล่านั่นคือบทเรียนประการแรกในการกันตัวเองออกห่าง นั่นคือ ความพยายามครั้งแรกของผมในการทำตัวให้เกิดความแปลกแยก”
   
เมื่อ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ได้วางนโยบายกลาสนอสต์ (glasnost) ของเขาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 พรรคคอมมิวนิสต์ พยายามปฏิบัติตามนโยบายของการเปิดกว้าง การวิพากษ์วิจารณ์ เป้าหมาย คือ การทำลายอิทธิพลของสตาลินในโซเวียต (de-Stalinization) นั่นคือ ปัดฝุ่นแผนการทำประเทศให้เป็นเสรีของนิกิตา ครูสชอฟ ในช่วงทศวรรษที่ 50  แต่ในที่สุดแล้ว นโยบายกลาสนอสต์ได้นำไปสู่ภาพอีกด้านของเลนิน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดมาพร้อมกับการตีพิมพ์ของหนังสือของ วาสซิลี กรอสแมน ที่ชื่อ Forever Flowing  อันเป็นนวนิยายซึ่งบังอาจเปรียบเทียบความโหดร้ายของเลนินกับฮิตเลอร์ เมื่อกอร์บาชอฟขึ้นมามีอำนาจ เขาเรียกตัวเองว่า “ชาวลัทธิเลนินผู้มุ่งมั่น” แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น เป็นเขาเองในฐานะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายที่กลับยอมรับว่า “ผมสามารถกล่าวได้เพียงอย่างเดียวว่า ความโหดร้ายเป็นปัญหาสำคัญของเลนิน”
    
ภายหลังความล้มเหลวของการทำรัฐประหารในเดือนสิงหาคม ปี 1991 ประชาชนชาวเมือง  เลนินการ์ด ต่างร่วมกันออกเสียง ให้นำชื่อเมืองของพวกเขากลับมาเป็นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เหมือนเดิม เมื่อบรอดสกี ผู้ซึ่งลี้ภัยออกจากเมืองนี้ในปี 1964 ได้รับการสัมภาษณ์เกี่ยวกับข่าวนี้ เขายิ้มและบอกว่า “เป็นการดีกว่าที่จะตั้งชื่อเมืองตามแบบนักบุญ ไม่ใช่ตามแบบปีศาจ”

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

17 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์

0
0

ผมสงสัยมาตลอดชีวิตว่า คนเราจะรักกันได้อย่างไรหากเราไม่เคยเจอหน้ากันเลย เราจะรักกับคนที่รู้จักกันบนเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่ออวตารคุยกันได้อย่างไร อย่างมากมันก็อาจเป็นได้แค่การคุยกันเพื่อฆ่าเวลาในวันเหงาๆไปเท่านั้น

ผมชื่อเอฟ อายุ 26 ปี อาชีพรับจ้างทำงานในโรงงาน เมื่อตอนผมเรียนจบชั้น ม.3 ผมต้องออกจากโรงเรียนเพื่อให้น้องสาวคนเดียวของผมได้เรียนต่อ ผมมักได้รับคำชมเชยจากหัวหน้างานเสมอ เพราะในปีๆนึง ผมทำงานไม่เคยขาดงานแม้แต่วันเดียว จากที่เคยได้ค่าแรงวันละสองสามร้อยบาท เมื่อปลายปีที่แล้วผมก็ได้ค่าแรงเป็นสี่ร้อยบาทแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการส่งน้องและรักษาพ่อที่ป่วยออดๆแอดๆ แม่ผมเลยต้องออกมาทำงานอีกแรงเพื่อประคับประคองครอบครัวให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายนี้ไปให้ได้

17 เมษายน 2558 ผมรู้จักกับปัดทางเฟซบุ๊ก ในช่วงแรกๆ เราทั้งสองต่างใช้ร่างอวตารพูดคุยกัน ในช่วงต้นผมก็ไม่ได้คิดจะคุยกับเธอมากขนาดนั้นเพราะกว่าผมจะเลิกจากงานมันก็ดึกมากแล้ว ก็ชีวิตไอ้หนุ่มโรงงานที่ใช้แรงแลกเงิน มันจะมีเวลาที่ไหนมาเพ้อเจ้อเรื่องความรักกับเขาได้ แค่มีเวลาได้หลับและได้ตื่นไปทำงานก็ดีมากแล้ว แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ผมประทับใจในตัวเธอ เธอไม่เคยเซ้าซี้คุยหรือวุ่นวายกับเวลาของผมแม้แต่ครั้งเดียว ทุกวันเธอจะคอยให้กำลังใจ ปลอบโยน ต่อเติมแรงใจของผมให้มีแรงตื่นขึ้นไปสู้งานหนักในวันรุ่งขึ้น

ผมมาทราบทีหลังเมื่อเรารู้จักกันได้สักสองสามเดือน ว่าจริงๆแล้วเธอเป็นนักศึกษากำลังเรียนอยู่มหาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในคณะบริหารการเงินการธนาคาร ผมรู้สึกเจียมใจและไม่อยากให้เธอต้องมาทิ้งความฝันกับคนอย่างผมที่อนาคตแทบจะไม่มี

ความสัมพันธ์ของเราเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จากที่พิมพ์คุยกันทางเฟซบุ๊กก็เปลี่ยนมาเป็นการโทรศัพท์ถึงกัน เธอไม่เคยเห็นหน้าผมและผมก็ไม่เคยเห็นหน้าเธอ เราร่วมกันถักทอสายใยบางๆเชื่อมใจทั้งสองของเรา ในช่วงบ่ายที่แดดร้อนผมยิ้มและคิดถึงเธอ ในยามเย็นที่เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดผมคิดถึงเธอ และพอมารู้ตัวอีกที ผมก็ตกหลุมรักเธอเสียแล้ว...

เราพบกันครั้งแรกภายหลังจาก 7 วันที่ผมโดนจับที่โรงงานด้วยข้อหาโพสต์ข้อความเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยงและแชร์ผังทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ ความกลัวกระโดดขย้ำผมตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมโดนจับ ผมปฏิเสธว่าผมไม่ได้ทำผังราชภักดิ์ สำหรับภาพสุนัขทรงเลี้ยงผมเอามาจากทวิตเตอร์และไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบที่เขากล่าวหา ในค่ายทหารมันเป็น 7 วัน ที่เต็มไปด้วยความมืดและเสียงอันสับสนในห้วงสำนึกของผม ผมไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับครอบครัวและไม่รู้ว่าครอบครัวผมจะเป็นอย่างไร สำหรับปัด การขาดการติดต่อกันไปเจ็ดวันมันคงเพียงพอที่จะทำให้เธอมีคนใหม่เข้ามาในชีวิตและคงลืมผมไปแล้วก็ได้

แต่ก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับผม เมื่อสองคนแรกที่ตีเยี่ยมผมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพในบ่ายวันนั้นหลังจากถูกขังที่ค่ายทหารคือปัดกับแม่ของผม

ปัดไม่ใช่คนหน้าตาสวยมากมาย แต่มีรอยยิ้มที่งดงามและท่าทางใจดี แม่เล่าให้ผมฟังว่า จากวันแรกที่ผมโดนจับ ปัดเป็นคนแรกที่เทียวโทรมาถามไถ่ และช่วยแม่ในการออกตามหาตามค่ายทหาร ผมนึกภาพผู้หญิงสองคนที่เทียวเดินถามพี่ๆทหารตามค่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่ออกหรอก อย่างมากผมก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ ทุกข้อความมันจุกในอกของผม ถ้อยคำที่พอจะเค้นออกมาได้มันก็ถูกกลบด้วยหยดน้ำตาของไอ้ขี้คุกคนนึงอย่างผมเท่านั้น

ทุกวันนี้ผมได้แต่สวดมนต์เพื่อทำจิตใจให้สงบ ผู้คุมที่นี่ใจดี ผมได้กำลังใจจากพี่ๆที่ติดคุกด้วยคดีการเมืองเช่นผมคอยให้กำลังใจรวมทั้งเพื่อนๆที่คอยมาเยี่ยมเยือนส่งข้าวส่งน้ำโดยตลอด กิจวัตรของผมทุกวันนี้นอกจากสวดมนต์ ทำงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ช่วงเช้าของทุกวันยังเป็นช่วงเวลาที่ผมได้ต่อเติมแรงใจ ปัดจะแวะมาเยี่ยมผมก่อนไปมหา'ลัยเกือบทุกวัน ยกเว้นช่วงที่มีสอบ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของแม่ผมมาแทน จากที่เคยคุยกันทุกคืนก่อนนอนก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาที่นี่ ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาคุยกันทุกเช้าแทน แม่เล่าให้ฟังว่าช่วงหลังปัดจะไปนอนเป็นเพื่อนที่บ้านในวันที่พ่อไม่สบาย แล้วรีบตื่นมาเยี่ยมผมและไปเรียนในช่วงสาย ผมได้รับการอบรมจากนายในแดนว่าหากได้ออกไปควรบวชเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นชีวิต มีบางคืนผมก็ฝันเห็นปัดเป็นคนถือหมอนในงานบวชของผม

โอกาสที่จะได้รับการประกันตัวออกไปมีอยู่ริบหรี่

17 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ จึงเป็นวันครบรอบ 10 เดือนที่ผมกับปัดได้รู้จักกันและเป็นวันวาเลนไทน์ของเรา แต่เสียดายที่วันแห่งความรักปีแรกของเรา เราอาจจะต้องส่งของขวัญให้กันผ่านทางช่องเยี่ยมญาติที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผมยังเฝ้ารอวันที่เราจะได้กลับไปอยู่กันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง พ่อ แม่ น้องสาวของผม และปัด อยู่กันอย่างเงียบๆที่นิคมอุตสาหกรรมชานเมื่อง ที่ที่ผมจากมา...

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทนายจูน' เข้ารับทราบข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน-แจ้งความเท็จ แล้ว

0
0

ศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและหนึ่งในคณะทำงานคดี 14 ขบวนประชาธิปไตยใหม่ เข้ารับทราบข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานแล้ว หลังปฏิเสธไม่ให้ ตร. ที่ไม่มีหมายค้นรถตนเองเพื่อยึดโทรศัพท์ขบวนประชาธิปไตยใหม่ ส่วนคดีแจ้งความเท็จ ไม่ได้ว่าแจ้งความเท็จตรงไหน รอสอบผู้กล่าวหาเพิ่ม

ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือทนายจูน ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน (ที่มาภาพ เพจขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement - NDM)

9 ก.พ.2559 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ที่สน.ชนะสงคราม ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือทนายจูน ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในคณะทำงานคดี 14 ขบวนประชาธิปไตยใหม่ เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก 2 ฉบับ จากพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงคราม เพื่อให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งหมายแรกเป็นข้อหา ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่ ทีมีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร และหมายที่สองแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน

สำหรับความคืบหน้า ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา โดย ศิริกาญจน์ ได้ให้การปฏิเสธ พร้อมทั้งให้การในรายละเอียดด้วยวาจาและหนังสือ โดยตำรวจแจ้งว่าจะไม่มีการส่งตัวไปศาล หรือควบคุมตัว เนื่องจากมาตามหมายเรียก สำหรับคดีนั้นมี 2 คดี โดยคดีหนึ่งเป็นศาลแขวง เนื่องจากเป็นลหุโทษ โดยพนักงานสอบสวนจะไปยื่นที่ศาลเพื่อขอผัดฟ้อง ประมาณ 1 เดือน เพื่อนัดมายื่นฟ้องอีกที และอีกคดีเป็นศาลอาญา

ภาวิณี กล่าวถึงสาเหตุของคดีนี้ว่า เเป็นตอนที่ทนายไม่ให้ค้นรถ การที่เจ้าพนักงานตำรวจมาเอาหลักฐานในภายหลังทั้งๆ ที่ตอนจับกลุ่มตัวขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ก็สามารถยึดโทรศัพท์ได้อยู่แล้ว ถ้าหากจะยึดในตอนที่อยู่ สน.พระราชวัง ก่อนที่จะไปศาลทหารก็สามารถเรียกที่จะเอาโทรศัพท์ได้อยู่แล้ว ถ้าหากจะเอา แต่ตันนั้นเข้าไม่เอา กลับมาเอาตอนที่จะส่งตัวขบวนการประชาธิปไตยใหม่เข้าไปในเรือนจำ ซึ่งเรามองแล้วว่าตอนนั้นไม่ปกติ อาจจะมีการไม่สุจริตอะไรบางอย่างในการที่จะยึดโทรศัพท์ของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ไป โดยหน้าที่เราก็ต้องป้องกัน รวมทั้งในการเข้ายึดขณะนั้นก็ไม่มีหมายค้นด้วย เราเห็นว่ามันไม่เป็นไปตามสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายด้วยจึงต้องคัดค้าน มันมีเหตุอันสมควรในการที่เราจะปกป้องตรงนี้
 
สำหรับคดีที่สอง ที่ พ.ต.อ.สุริยา จำนงโชค กล่าวหาว่าศิริกาญจน์แจ้งความเท็จนั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานด้วยว่า ระหว่างการแจ้งข้อกล่าวหาว่า ศิริกาญจน์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.172 และ 174 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน เพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษนั้น ทนายความของศิริกาญจน์ได้ถามพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของพฤติการณ์การกระทำความผิดตามที่แจ้งจับ แต่พนักงานสอบสวนไม่อาจชี้แจงได้ว่าข้อความใดที่ศิริกาญจน์ได้แจ้งความไปแล้วเป็นเท็จ เธอจึงไม่อาจรับทราบข้อกล่าวหาและให้การต่อสู้คดีในชั้นนี้ได้ ศิริกาญจน์จึงขอให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ พ.ต.อ.สุริยา ผู้กล่าวหาในประเด็นนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะนัดหมายให้ศิริกาญจน์มารับทราบข้อกล่าวหาและให้การในคดีนี้ภายหลัง
 
สำหรับคดีดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ระบุว่าเกิดจากเหตุการณ์การชุมนุมของ 14 ขบวนประชาธิปไตยใหม่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 58 ซึ่งนำมาสู่การจับกุมทั้ง 14 คนในวันถัดมาที่สวนเงินมีมา ถนนเจริญกรุง โดย ศิริกาญจน์ อยู่ร่วมสังเกตการณ์ขณะที่ทั้ง 14 คนถูกจับกุมและได้ติดตามไปยังสน.พระราชวังและศาลทหารเพื่อทำหน้าที่ทนายความ กระบวนการฝากขังในศาลทหารเริ่มต้นเมื่อประมาณ 22.00 น. จนถึงเวลาประมาณ 00.30 น.โดยไม่มีบุคคลภายนอกสามารถเข้าไปในศาลทหารได้ ผู้ต้องหาทั้ง 14 รายจึงจำเป็นต้องฝากสิ่งของไว้กับทนายความเนื่องจากทั้งหมดถูกส่งเข้าเรือนจำในคืนนั้น ทีมทนายความจึงได้นำสิ่งของทั้งหมดของผู้ต้องหาไปเก็บรักษาไว้ภายในรถของ ศิริกาญจน์

ภายหลังการฝากขังเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดยพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 ได้ขอเข้าตรวจค้นรถของ ศิริกาญจน์ เพื่อขอตรวจค้นโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาทั้ง 14 ราย แต่เนื่องจากทีมทนายความเห็นว่าพนักงานสอบสวนได้อยู่ร่วมกับผู้ต้องหามาตั้งแต่เวลา 17.00 น.จนถึง 00.30 น.โดยมิได้ขอตรวจยึดโทรศัพท์มือถือจากผู้ต้องหาและพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ไม่สามารถตอบได้ว่าต้องการสิ่งใดในโทรศัพท์มือถือ จึงไม่อนุญาตให้ทำการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการยึดรถและผนึกรถด้วยกระดาษ A 4 ทำให้ทนายความจากจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ต้องนอนเฝ้ารถคันดังกล่าวบริเวณหน้าศาลทหารตลอดทั้งคืน

 
สภาพของรถยนต์ทีมทนายความผู้ต้องหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จอดอยู่ที่ศาลทหาร เช้า 27 มิ.ย.58 โดยเมื่อคืน 26 มิ.ย.58 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำแผงกั้นมาล้อมรถ และใช้กระดาษติดเทปกาวแปะรอบประตูรถ อ้างว่าจะค้นรถยนต์หาหลักฐานของผู้ต้องหาเพิ่มเติม และจะค้นรถเมื่อไปขอหมายค้นจากศาลมาแล้ว ล่าสุดทีมทนายความไปแจ้งความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระบุว่าตำรวจไม่มีอำนาจยึดรถ (ที่มาของภาพ: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน)

ต่อมาในวันที่ 27 มิ.ย.58 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นมาแสดง ศิริกาญจน์  จึงยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นและยึดโทรศัพท์มือถือไปทั้งหมด 5 เครื่อง โดยก่อนที่เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์พยานหลักฐานกลางจะได้ทำการปิดผนึกโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งมอบให้พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ได้นำมือถือเครื่องดังกล่าวไปจากสถานที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์พยานหลักฐานกลาง โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็นเป็นพยานกว่าสิบนาที่ เมื่อมีการทักท้วงว่าเป็นการกระทำผิดขั้นตอนเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวจึงนำโทรศัพท์มือถือกลับมาเพื่อปิดผนึก

ในวันเดียวกันหลังจากการทำบันทึกตรวจยึดสิ่งของที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามแล้ว ศิริกาญจน์ ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสน.ชนะสงครามว่าพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดชและพวกกระทำความผิดตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จากเหตุการณ์ยึดรถข้ามคืน ซึ่งนำมาสู่เหตุการออกหมายเรียกผู้ต้องหาในวันนี้

 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความเป็นอยู่ในรัฐยะไข่: บทเรียนการทำงานพัฒนาในพื้นที่ขัดแย้งทางสังคม

0
0

การเรียนการสอนในชั้นเรียน ภายในค่ายผู้ลี้ภัยภายในประเทศ (IDPs) ซึ่งผู้อาศัยในค่ายมาจากชุมชนชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธ

ค่ายผู้ลี้ภัยภายในประเทศ (IDPs) ของชาวยะไข่ที่นับถือพุทธ ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากรัฐบาลความตั้งใจของรัฐคือเพือมาตรฐานความเป็นอยู่ที่มีความแตกต่างระหว่างผู้ลี้ภัยชาวพุทธและชาวมุสลิม ค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ห่างจากชุมชนมุสลิมที่ถูกเผาไปในเหตุกาณณ์จลาจลปี ค.ศ. 2012

รอบๆ ชุมชนผู้ลี้ภัยภายในประเทศ (IDPs) ของชาวยะไข่ที่นับถือพุทธ

ค่ายผู้ลี้ภัยภายในประเทศ (IDPs) ซึ่งสมาชิกค่ายเป็นชาวโรฮิงญา ซึ่งแทบไม่มีการพัฒนาเพื่อยกระดับสภาพความเป็นอยู่ภายในค่าย

เด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่นี้ อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยภายในประเทศ (IDPs) ของชาวโรฮิงยา อย่างไรก็ตาม ในค่ายแห่งนี้ไม่มีการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็ก

บทความนี้เขียนขึ้นจากส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ประสบการณ์ทำงานของชาวไทยใหญ่ (สัญชาติพม่า) อดีตเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศที่ทำงานให้ความช่วยเหลือด้าน Technical Support แก่ชุมชนท้องถิ่นในเขตเมืองเมาง์ดอ(Maungdaw) และ เมืองบูติเดาง์ (Buthidaung) รัฐยะไข่ ประเทศพม่า ระหว่างปี ค.ศ. 2001-2004 และปัจจุบันยังทำงานกับองค์กรที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณแก่โครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและโครงการพัฒนาในประเทศพม่า

ในช่วงระยะเวลาที่ผู้ให้ข้อมูลทำงานในรัฐยะไข่ พื้นที่แห่งนี้ถือเป็นเขตที่ประชากรประสบปัญหาความยากจนมากสุดแห่งในประเทศพม่า และเมืองโมงดอว์ซึ่งประชากรกว่าร้อยเก้าสิบเป็นชาวมุสลิม เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาความยากจนมากที่สุดของรัฐยะไข่ อันเป็นผลมาจากปริมาณน้ำฝนตกหนาแน่นที่มักทำให้การเกษตรได้รับความเสียหาย การถูกกีดกันทางกฎหมาย ผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้ง และการถูกควบคุมด้วยนโยบายความมั่นคงที่เข้มงวด เนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนที่เคยมีการเคลื่อนไหวของกองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิม

ประชากรในรัฐยะไข่ประกอบด้วยคนสองกลุ่มหลัก คือ ชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธ เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของพื้นที่ และชาวมุสลิม-โรฮิงญา อาศัยหนาแน่นในพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ถึงแม้ว่าความแตกแยกทางสังคมและความขัดแย้งที่มีความรุนแรงดังที่ปรากฏในปัจจุบัน แต่มิติทางศาสนาและชาติพันธุ์เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนของพื้นที่นี้ตลอดมา และประเด็นด้านอัตลักษณ์เป็นปัญหาที่มีความรุนแรงมากในกลุ่มคนมุสลิม-โรฮิงญา เนื่องจากไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายพม่า แม้ว่าในขณะนั้นชาวพุทธและเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นจะเรียกชาวมุสลิมส่วนมากว่า ‘โรฮิงญา’ แต่เพื่อหลีกเหลี่ยงความขัดแย้งและการเผชิญหน้า คนโรฮิงญามักปิดซ่อนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และแสดงตัวตนผ่านความเชื่อทางศาสนาในฐานะชาวมุสลิม และหากต้องกล่าวถึงคำว่าโรฮิงญาในที่สาธารณะ พวกเขามักจะกระซิบกระซาบด้วยซุ่มเสียงที่แผ่วเบา เพื่อไม่ให้กลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ยินคำนี้

องค์กรพัฒนาเอกชนซึ่งในขณะนั้นมีเพียงองค์กรระหว่างประเทศเท่านั้นที่ทำงานในรัฐยะไข่ ตระหนักดีถึงความอ่อนไหวของประเด็นศาสนาและชาติพันธุ์ ในการทำงานจึงหลีกเลี่ยงไม่ข้องเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขแหล่งทุนจากกลุ่มประเทศผู้นำด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการปกป้องสิทธิมนุษยชน ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ที่ทำงานรัฐยะไข่ขณะนั้น กำหนดให้ผู้รับทุนต้องค้นหาและทำงานกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเปาะบางมากที่สุด ชาวมุสลิม-โรฮิงญาจึงถูกกำหนดให้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการพัฒนาจำนวนมากที่ขับเคลื่อนภายใต้แหล่งเงินทุนดังกล่าว และในเวลาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้งและภาวะด้อยพัฒนาของรัฐยะไข่

ยกตัวอย่างเช่น การดำเนินโครงการด้านพัฒนาศักยภาพและสิทธิผู้หญิงในรัฐยะไข่ ที่แม้ว่าผู้หญิงชาวพุทธจะประสบปัญหาความยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยปัจจัยประกอบหลายด้าน ทำให้ปัญหาที่เกิดกับกลุ่มชาวมุสลิมถูกมองจากองค์กรพัฒนาว่ามีความรุนแรงมากกว่าชาวพุทธ โดยเฉพาะการถูกกีดกันทางกฎหมายจากการไม่รับสัญชาติ เช่น ถูกจำกัดสิทธิในด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพ จำกัดสิทธิในการเดินทาง ฯลฯ ทำให้ชาวมุสลิม-โรฮิงญาขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งรายได้และไม่มีความมั่นคงในดำรงชีวิต ปัญหาเหล่านี้มีความเลวร้ายมากในกลุ่มผู้หญิง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากเงื่อนไขทางวัฒนธรรม ที่ผู้หญิงในสังคมอิสลามมีหน้าที่ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ดูแลสามี และแทบไม่มีโอกาสออกไปทำงานนอกบ้าน

เงื่อนไขทางวัฒนธรรมและความยากจนทำให้ผู้หญิงมุสลิมที่ส่วนมากมีอายุ 10 กว่าปี ต้องแต่งงานกับชายมีอายุสูงมากเพื่อหาคนอุปการะ ในหลายกรณีพบว่า เมื่อสามีซึ่งมีอายุมากกว่ามักเสียชีวิตลงก่อน ทำให้ผู้หญิงต้องเผชิญกับปัญหาความยากจนเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากการเลี้ยงดูลูกซึ่งมักมีจำนวนมาก เนื่องจากข้อกำหนดทางศาสนาที่ห้ามคุมกำเนิด และการแต่งงานใหม่ที่หมายถึงการเพิ่มจำนวนบุตรเป็นแนวปฏิบัติเพื่อความอยู่รอดของหลายคน ผู้หญิงซึ่งรวมถึงเด็กที่เกิดขึ้นมาต้องเผชิญกับปัญหาความยากจน ปัญหาสุขภาพ และปัญหาทางสังคมที่ซับซ้อนตามมาอีกหลายด้าน ด้วยเหตุนี้ โครงการพัฒนาจำนวนมากจึงมุ่งความสนใจไปที่ตอบสนองต่อปัญหาของผู้หญิงในสังคมอิสลามเป็นสำคัญ

การกำหนดเป้าหมายการพัฒนาจากแหล่งทุน โดยขาดความรู้ความเข้าใจถึงเงื่อนไขภายในสังคมของพื้นที่ทำงาน และดำเนินโครงการพัฒนาของผู้รับทุน ที่มุ่งตอบสนองต่อโจทย์ของแหล่งทุน โดยไม่ทันได้ฉุดคิดถึงกระทบทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ได้ทำให้ชาวยะไข่ที่นับถือพุทธเกิดความรู้สึกไม่ได้รับการเหลียวแลจากองค์กรระหว่างประเทศ และปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกเหล่านี้ ได้กลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทำให้อคติหวาดระแวงของชาวพุทธที่มีต่อชาวมุสลิมร้าวลึกมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่การทำงานในพื้นที่เน้นประเด็นด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาคุณภาพ โดยแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นศาสนาและชาติพันธุ์ แต่เจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชนเริ่มสัมผัสได้ว่า การทำงานเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของพื้นที่โดยรวมและความเปราะบางทางสังคม ได้ทำให้ชาวพุทธที่มองว่าตัวเองเผชิญกับความยากลำบากในการดำรงชีวิตไม่แตกต่างไปจากชาวมุสลิม เกิดความไม่พอใจต่อดำเนินทำงานองค์กรพัฒนาเอกชน ความตึงเครียดทางสังคมระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม คำครหาของชาวพุทธต่อองค์กรพัฒนาเอกชน และท่าทีต่อต้านเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศเริ่มเผยตัวขึ้นในหลายพื้นที่ที่มีการดำเนินโครงการพัฒนา

เพื่อรับมือปัญหาที่อาจเกิดจากความไม่พึงพอใจของชาวพุทธในอนาคต องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรแหล่งทุนได้เริ่มปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน จากเดิมที่มุ่งตอบสนองต่อปัญหาของกลุ่มเป้าหมายที่มีความเปราะบางมากที่สุด ไปสู่การตอบสนองต่อประเด็นปัญหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม แต่ไม่สามารถสลายความคลางแคลงใจของชาวพุทธที่มีต่อองค์กรระหว่างประเทศซึ่งสั่งสมมานานลงได้ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนด้วยอื่นด้วย เช่น การปรับเปลี่ยนท่าที่การทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ ที่อาจทยอยเกิดขึ้นล่าช้าเกินไป ในที่ปัญหานี้ได้ถูกตอกย้ำจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่ฉกฉวยโอกาสนี้ สร้างฐานสนับสนุนจากชุมชนชาวพุทธในการขับเคลื่อนเป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น

รัฐบาลพม่า ภายใต้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณจากองค์กรระหว่างประเทศ ได้พัฒนาชุมชนผู้ลี้ภัยชาวพุทธให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีแตกต่างจากชาวมุสลิมอย่างชัดเจน รวมถึงการออกกฎหมาย การละเว้นการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น ที่ทำให้ชาวพุทธรู้สึกว่าได้รับมีสิทธิพิเศษเหนือชาวมุสลิม เพื่อสร้างฐานสนับสนุนให้แก่รัฐบาลในการเลือกปฏิบัติทางกฎหมายต่อกลุ่มชาวมุสลิม โดยเฉพาะกลุ่มโรฮิงญา และเพื่อลดกระแสความไม่พอใจของชาวยะไข่ที่มีต่อรัฐบาลพม่า ด้วยการแสดงออกว่า รัฐบาลใส่ใจในความทุกข์ร้อนของชาวยะไข่ ทั้งที่ในความเป็นจริง รัฐบาลพม่าแทบไม่เคยให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่นี้ ดังที่เห็นได้จาก รัฐยะไข่ประสบปัญหาความยากจนมากที่สุดพื้นที่หนึ่งในพม่า

“สมาคมปกป้องเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา” หรือ “มะบะต๊ะ” ซึ่งนำโดยพระสงฆ์หัวรุนแรง ใช้โอกาสนี้ปลุกกระแสต่อต้านชาวต่างชาติ และทำให้ศาสนาพุทธมีบทบาทในสังคมการเมืองพม่ามากยิ่งขึ้น พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ปลุกระดมให้กระแสต่อต้านองค์กรระหว่างประเทศในรัฐยะไข่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบเหตุจลาจล และมีบทบาทในการฉุดรั้งการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนในมิติทางศาสนาและการแก้ไขปัญหาชาวมุสลิม-โรฮิงญา อาทิเช่น การผลักดันกฎหมายหลายฉบับที่ละเมิดสิทธิทางศาสนาและลิดรอนสิทธิชาวมุสลิม-โรฮิงญา การสร้างเงื่อนให้ประเด็นทางศาสนาและชาวมุสลิม-โรฮิงญามีความอ่อนไหวในระดับที่สามารถยกระดับไปสู่การเผชิญหน้าและการใช้ความรุนแรงได้ตลอดเวลา

การต่อต้านองค์กรระหว่างประเทศในรัฐยะไข่ ซึ่งเกิดจากกระตุ้นของหลายปัจจัย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสาเหตุมาจากการสั่งสมความไม่พึงพอใจของชาวพุทธต่อการทำงานองค์กรเหล่านี้ ปรากฏชัดเจนในเหตุจลาจลเมื่อปี ค.ศ. 2012 สำนักงานและเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติขององค์กรองค์กรระหว่างประเทศกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายการใช้รุนแรงในเหตุจลาจล ด้านเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นบางส่วนถูกทำร้ายร่างกาย และส่วนมากถูกกดดันให้ลาออกจากการทำงาน

ผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอันเกิดจากการผสมโรงจากหลายปัจจัย และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงได้ในระยะเวลาสั้นนี้ คือ รัฐยะไข่ โดยเฉพาะในชุมชนมุสลิม และกลุ่มคนมุสลิม-โรฮิงญา กลายเป็นพื้นที่ด้อยพัฒนาท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางบวกของสังคมพม่าในภาพรวม ปัญหาความอยากจน ความอดอยาก และปัญหาทางสังคมหลายด้านยังคงดำรงอยู่ ปัญหาแตกแยกและความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมมีความรุนแรงเพิ่มมากยิ่ง ในขณะที่องค์กรพัฒนาเอกชนบางแห่งที่ยุติบทบาทลงในช่วงเหตุจลาจล ไม่สามารถกลับเข้าตั้งสำนักงานและดำเนินโครงการในรัฐยะไข่ได้อีก โครงการพัฒนาที่ดำเนินงานโดยองค์ระหว่างประเทศในรัฐยะไข่มีปริมาณน้อยลง และมีความยากลำบากในการดำเนินงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎเกณฑ์ของรัฐ และวิกฤตความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของชาวพุทธ ที่มองว่าองค์กรเหล่านี้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกับชาวมุสลิม นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลจากการประเมินความปลอดภัยในการทำงานขององค์กรระหว่างประเทศ ที่มีผลต่อการตัดสินใจลดหรือยุติบทบาทองค์กรในรัฐยะไข่

 

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนในของการดำเนินงานภายใต้โครงการวิจัยเรื่อง บทบาทของภาคประชาชนสังคมพม่าภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี ค.ศ.2010 : กรณีโครงการเศรษฐกิจพิเศษทวาย ภายใต้การสนับสนุนด้านงบประมาณจากโครงการ ASEAN Expert ปีงบประมาณ 2558 ฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) บทวิเคราะห์ในบทความเป็นของผู้วิจัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หญิงบริการทางเพศในเปรูลงสมัคร ส.ส. หวังใช้เวทีการเมืองดันประเด็นสตรี

0
0

ในเปรู หญิงอายุ 51 คนหนึ่งที่เป็นทั้งคนทำงานบริการทางเพศและนักกิจกรรมสิทธิแรงงาน ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. หวังใช้การเมืองผลักดันในประเด็นต่างๆ ที่เธอต่อสู้ โดยไม่หวั่นว่าจะถูกเหยียดหยาม

9 ก.พ. 2559 สำนักข่าวเดอะการ์เดียนนำเสนอเรื่องราวของ อังเกลา วิลลอง คนทำงานบริการทางเพศคนแรกที่ลงชิงชัยในการเลือกตั้ง ส.ส. ของเปรู เธอบอกว่าในเปรูไม่เคยมีคนที่มาจากกลุ่มประชากรด้อยโอกาสอย่างเธอได้ลงสมัครเลือกตั้งเพื่อเข้าเป็นตัวแทนในสภามาก่อน

วิลลอง เป็นหญิงอายุ 51 ปีที่ทำงานบริการทางเพศและเป็นนักกิจกรรมเรียกร้องสิทธิให้กับคนทำงานบริการทางเพศมากว่า 20 ปีแล้ว เธอลงสมัครเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปและการเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน เม.ย. ที่จะถึงนี้โดยเป็นตัวแทนจากกลุ่มแนวร่วมพรรคการเมืองและนักกิจกรรมฝ่ายซ้ายของเปรูชื่อกลุ่ม 'เอล เฟรนเต อัมปริโอ' (El Frente Amplio) ซึ่งเธอต้องขับเคี่ยวกับผู้ลงสมัครรายอื่นๆ อีกกว่า 2,600 คน เพื่อจะได้เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้แทนในสภาเปรู 130 ที่นั่ง

วิลลองมีห้องทำงานอยู่ในเอล บอเตซิโต สถานบริการทางเพศที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเปรู มีผู้หญิงทำงานบริการอยู่ในสถานที่ดังกล่าวมากกว่า 100 คน วิลลองติดป้ายหน้าห้องของเธอเองว่า "อังเกลา วิลลอง บุสตามานเต : ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเซ็กส์" เธอให้สัมภาษณ์ต่อเดอะการ์เดียนว่าเธอไม่มีความกังวลว่าเธอจะถูกเหยียดหยามจากการที่เธอเป็นหญิงบริการที่ออกหาเสียงเลือกตั้งเพราะสำหรับเธอแล้วการเป็นหญิงบริการเป็นสิ่งที่มีเสรีภาพและทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจ

"ผู้คนมักจะบอกว่าถ้าคุณไปกับผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน คุณจะเป็นกระหรี่ คุณสวมชุดไม่ปกปิดมากพอพวกเขาก็ว่าคุณเป็นกระหรี่ ถ้าหากคุณเซ็กซี่หรือหยาบคายพวกเขาก็ว่าคุณเป็นกระหรี่...ดังนั้นแล้วไม่ว่าฉันจะเป็นหญิงค้าบริการทางเพศหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าฉันจะทำให้ฟรีๆ หรือไม่ก็ตาม ฉันก็จะยังคงถูกหาว่าเป็นกระหรี่ ดังนั้นก็จะเป็นสุดยอดกระหรี่แล้วฉันก็จะมีความสุขสุดๆ" วิลลองกล่าว

วิลลองหยุดพักงานบริการไปนาน 20 ปี ก่อนที่จะกลับมาทำงานนี้อีกครั้ง ในช่วง 20 ปีนั้นเธอไปเป็นผู้นำองค์กร 'มีลุชกา วิดา อี ดิกนิแดด' (Miluska Vida y Dignidad) ก่อตั้งในปี 2542 ซึ่งเป็นองค์กรแรกของเปรูที่เรียกร้องสิทธิแรงงานและการเคารพคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ทำงานบริการทางเพศ โดยในเปรู การทำงานบริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แต่การเร่ขายบริการบนท้องถนนและการเป็นตัวแทนจัดหาบริการทางเพศถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งวิลลองจัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นหลังจากที่เธอถูกตำรวจทุบตีอย่างหนักเพราะปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง

วิลลองเล่าต่อไปว่า ในตอนนั้นเธอต้องการฟ้องร้องแต่เพื่อนร่วมงานของเธอพูดในทำนองว่าคนที่เป็น "กระหรี่" ผู้ไม่ได้รับความเคารพในความเป็นมนุษย์แบบพวกเธอคงฟ้องร้องใครไม่ได้ แต่วิลลองก็ตอบไปว่า "ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเป็นกระหรี่ที่ได้รับความเคารพในความเป็นมนุษย์" โดยในคดีที่เธอถูกทุบตีนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก่อเหตุถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษจำคุก กลายเป็นต้นแบบให้เธอเชื่อว่าคนทำงานบริการทางเพศไม่จำเป็นต้องยอมรับต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพวกเธอ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าองค์กรของวิลลองจะเรียกร้องสิทธิให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเรียกร้องให้มีกฎหมายยอมรับผู้ทำงานบริการทางเพศ แต่เธอก็ถูกปิดกั้นจากการเข้าถึงการเมืองในระดับรัฐสภาซึ่งวิลลองกล่าวว่า เป็นเพราะผู้คนส่วนมากเชื่อว่าคนทำงานบริการทางเพศไม่มีสติปัญญา แต่เธอมองว่าคนทำงานบริการทางเพศก็รู้จักวิธีการแสดงออกและมีแนวคิดที่ชัดเจน โดยที่วิลลองวางแผนว่าเธอจะใช้ช่องทางรัฐสภาทำให้มีการจัดการที่ดีในสถานบริการทางเพศ

วิลลองยังเปิดเผยถึงแผนการของเธออีกว่าเธอต้องการให้มีกฎหมายที่พัฒนาด้านสิทธิสตรี ทำให้การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฎหมายในกรณีที่มีการข่มขืน สนับสนุนกฎหมายรับรองคู่ชีวิตและการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกัน รวมถึงต่อสู้กับการค้ามนุษย์และการล่อลวงหาประโยชน์จากการใช้แรงงานทางเพศในเด็กที่อายุไม่ถึงเกณฑ์

ในแง่มุมประวัติชีวิตของวิลลอง เธอเล่าว่าเธอตั้งครรภ์เมื่ออายุ 16 ปี และต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เธอทำงานบริการทางเพศเพื่อแลกเงินมาจ่ายค่ายาให้กับลูกของเธอที่ป่วย โดยที่ก่อนหน้านี้เธอก็เคยทำงานอื่นๆ อย่างการรับจ้างในครัวเรือน การเร่ขายของตามถนน และงานพี่เลี้ยงเด็ก ถึงแม้ว่าเธอจะตัดสินใจเข้าสู่วงการค้าบริการทางเพศในช่วงที่ชีวิตเธอกำลังวิกฤต แต่พอเมื่อวิกฤตผ่านไปแล้ววิลลองก็ยังรู้สึกสบายใจกับการทำงานบริการทางเพศโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อ ในทุกวันนี้เพื่อนร่วมงานของเธอต่างก็รู้สึกว่าตัวเองมีพลังมากขึ้นโดยที่เธอจะต่อสู้เพื่อให้มีการยอมรับและคุ้มครองคนทำงานบริการทางเพศต่อไป รวมถึงมีการต่อสู้กับการค้ามนุษย์

"สังคมนี้มันโหดร้ายต่อผู้หญิง" วิลลองกล่าว "พวกเราถูกสอนตั้งแต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ให้ต้องรู้สึกผิดและอับอาย เราถูกทำให้ถ้าไม่เป็นนักบุญก็เป็นกระหรี่"

วิลลองกล่าวอีกว่า ถึงแม้เธอจะไม่ได้เรียนสูง แต่สิ่งที่เธอเรียนรู้มาจากประสบการณ์ ทำให้เธอเข้าใจมากพอถึงคนที่ยากจน คนที่หิวโหยและคนที่ขาดแคลน


เรียบเรียงจาก

Peru sex worker's campaign trail: 'I'll put order in the big brothel that is congress', The Guardian, 08-02-2016
http://www.theguardian.com/global-development/2016/feb/08/peru-sex-worker-angela-villon-campaign-trail-ill-put-order-in-the-big-brothel-that-is-congress

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงาน: คนพิการไม่ได้มีแต่เรื่องป่วยไข้ มีเรื่อง 'ใคร่ๆ' ด้วย

0
0

ความพิการล้วนก่อให้เกิดการปรับตัวในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการเรียนรู้ รวมทั้งมักจะเกิดความแตกต่างในทุกๆ เรื่องอยู่เสมอ ถึงแม้คนอเมริกันที่พิการกว่า 56 ล้านคน มีการรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม และต้องการแสดงความเป็นตัวตนให้มากขึ้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องเซ็กส์ ก็ดูเหมือนจะเป็นจุดบอดที่ไม่มีการกล่าวถึง

เมื่อพูดถึง ‘เซ็กส์’ มักนำไปสู่ความขัดเขิน และยิ่งกับคนพิการแล้ว การพูดเรื่องเหล่านี้ยิ่งยากเข้าไปอีก โดยปกติเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการพูดถึงเรื่องเพศ ผู้ปกครองส่วนมากมักรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ หากมีคำถามเช่น ‘ร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อถึงวัยหนุ่มสาว?’ หรือ ‘ทำอย่างไรถึงจะมีแฟน?’ หากยิ่งในกรณีที่ร่างกายนั้นๆ ผิดแปลกจากปกติ แม้แต่หมอและพยาบาลก็มักรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นๆ เช่น เรื่องการใช้ถุงยางอนามัย หรือ ‘ฉันจะถึงจุดสุดยอดได้อย่างไร?’ และด้วยผลของความล้าหลังของข้อมูล คนพิการหลายๆ คนถูกทิ้งให้ต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง จนบางคนอาจมองว่า เรื่องเซ็กส์ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้

จากการศึกษาพบว่า คนพิการมีโอกาสน้อยกว่าที่จะมีความสัมพันธ์ยาวนาน หรือแต่งงาน เมื่อเทียบกับคนไม่พิการ อย่างไรก็ดี คำกล่าวอ้างนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของความบกพร่องทางร่างกาย เมื่อปี 2557 หนังสือพิมพ์อังกฤษได้จัดทำโพลล์เพื่อสอบถามชาวอังกฤษว่า เคยมีเซ็กส์กับคนพิการหรือไม่ และพบว่าคำตอบร้อยละ 44 คือ “ไม่ และไม่คิดที่จะมี”


แมท เฟรเซอร์ 
(ภาพจาก
Wellcome images, (CC BY-NC-ND 2.0)

แมท เฟรเซอร์ นักแสดงพิการชาวอเมริกันผู้โด่งดังจากซีรีย์ชุด American Horror Story กล่าวในบทสัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า ถ้าคุณเป็นคนพิการ มีสองเรื่องที่คนอื่นๆ คิดว่าคุณทำไม่ได้ คือ ‘ต่อสู้และมีเซ็กส์’

สิบปีที่แล้ว คริสติน เซลลิงเกอร์ ประสบอุบัติเหตุจนเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงไป เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงที่หน่วยกู้ภัยเคลื่อนย้ายเธอออกจากหุบเขา และพบว่าเธอได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ทำให้ระบบประสาทบางส่วนไม่ทำงาน ส่งผลให้เหลือความรู้สึกและสามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย (อาการบาดเจ็บไขสันหลังชนิดไม่สมบูรณ์) เธอเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ที่หลัง และต้องพักฟื้นนานถึงสามเดือนครึ่ง ซึ่งระหว่างการพักฟื้น เธอได้เรียนรู้การเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่มีเรื่องการเดทและเซ็กส์

“เราพูดถึงเรื่องปัสสาวะ เรื่องอุจจาระ เรื่องการดูแลผิวพรรณ เรื่องขั้นตอนการใช้วีลแชร์ เรื่องการแต่งตัว แต่ทำไมถึงไม่มีเรื่องเซ็กส์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ทุกๆ คนทำ แต่ทำไมเราถึงเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน? ฉันจึงคิดว่า คงไม่สามารถออกเดทกับใครได้อีกแล้ว เพราะไม่มีใครอยากเดทกับคนพิการ” เธอกล่าว

สิบปีหลังจากนั้น เธอทำงานให้คำปรึกษาในศูนย์บาดเจ็บไขสันหลัง ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และเพิ่มคุณภาพชีวิตคนพิการ เธอออกแบบการเรียนรู้เรื่องเซ็กส์ และสุขภาพทางเพศ ผ่านทั้งแผ่นพับ อินเทอร์เน็ต วิดีโอออนไลน์ และมีทีมงานที่คอยให้คำปรึกษาอย่างเป็นกันเอง โดยการให้คำปรึกษาจะมีความเป็นส่วนตัว และคำนึงถึงความแตกต่างในความพิการแต่ละประเภท

ในศูนย์บาดเจ็บไขสันหลังแคนาดาพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นชาย มักสอบถามถึงเรื่องเพศแทบจะทันทีหลังได้รับการบาดเจ็บ แต่ในผู้หญิง คำถามเหล่านี้มักมาหลังจากกระบวนการพักฟื้น และเป็นคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ รวมถึงการเดทมากกว่า

เนื้อหาเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องลับๆ ล่อๆ แม้แต่ในโรงเรียน ในปี 2553 สภาเพื่อการศึกษาเรียนรู้แคนาดาได้สำรวจความรู้เรื่องเซ็กส์สำหรับหนุ่มสาวที่พิการทางร่างกาย และพบว่าร้อยละ 100 ของผู้เข้าร่วมรู้สึกว่า การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นไม่พอ รวมทั้งผู้สอนก็ไม่ได้มีความรู้เพียงพอ ทั้งนี้ในปี 2518 สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายรองรับการศึกษาของเด็กพิการในโรงเรียนรัฐบาลโดยกฎหมายกำหนดให้โรงเรียนในแต่พื้นที่ให้การศึกษาแก่เด็กพิการเทียบเท่าเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขา รวมถึงอำนวยความสะดวกในเรื่องอุปกรณ์เฉพาะที่ช่วยเหลือในด้านการดำเนินชีวิตและการเรียนสำหรับเด็กพิการแต่ละคน อย่างไรก็ดี กฎหมายที่ว่ายังคงหละหลวม

ทิม โรส ซึ่งพิการด้วยโรค Cerebral palsy ชนิดเกร็ง (อาการทางสมอง ซึ่งส่งผลให้การขยับแขนขา ลำตัว ใบหน้า ลิ้นและการทรงตัวผิดปกติ และอาจมีปัญหาในการควบคุมลมหายใจเพื่อเปล่งเสียง – ประชาไท) กล่าวว่าโรงเรียนมัธยมปลายของเขาค่อนข้างปิดกั้นเขาจากการเรียนเรื่องเซ็กส์ และเมื่อถึงเวลาเรียน อาจารย์มักจะขอให้เขาออกจากห้องเรียน

“การสอนเรื่องเซ็กส์ มักจะสอนในคาบวิชาพลศึกษาซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่เคยได้เรียนในทุกปี และถึงแม้นักเรียนจะหาช่องทางที่จะเรียนเรื่องเกี่ยวกับเซ็กส์ เนื้อหาที่สอนก็ไม่ใช่สำหรับคนพิการอย่างพวกเรา ความรู้เรื่องเซ็กส์ส่วนมากมาจากการลองผิดลองถูกจากข้อมูลที่ได้มาจากเพื่อน และจากโทรทัศน์” โรสกล่าว
 


เว็บศูนย์โรสเพื่อความรัก เซ็กส์ และผู้พิการ ซึ่งมีรูปทิม โรส และภรรยา เป็นปก

ในปี 2554 โรสและภรรยาได้ก่อตั้งศูนย์โรสเพื่อความรัก เซ็กส์ และผู้พิการ ซึ่งให้คำปรึกษาเชิงบวกกับคนพิการ จนทำให้เขาได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรตามโรงเรียนและบริษัทต่างๆ มากมาย ศูนย์ของเขาโฟกัสในการเสริมสร้างประสบการณ์ในด้านการศึกษาและการทำธุรกิจ ทั้งยังให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความพิการในเชิงบวกและการศึกษาเรื่องเซ็กส์

“ผมมักใช้เวลาในคืนวันศุกร์กับหนังผู้ใหญ่ในโทรทัศน์ พ่อแม่ของผมก็เข้าใจดี แต่ผมจะไม่ไปถามพวกเขาเกี่ยวกับการช่วยตัวเองแน่นอน” เขากล่าวและเล่าว่าเขาค้นพบวิธีช่วยตัวเอง ด้วยตนเอง

“การช่วยตัวเองของผมแตกต่างจากคนอื่นเพราะผมสามารถใช้งานนิ้วมือได้เพียงสองนิ้ว มันค่อนข้างจะนุ่มนวลและแผ่วเบา อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกดีที่หัวนมและติ่งหูยังไวต่อสัมผัส ดังนั้น การสัมผัสสิ่งเหล่านี้ช่วยผมได้มาก” เขากล่าว

ในบทบาทของผู้ให้ความรู้ โรสกล่าวว่าเขาพยายามเปิดรับฟังการถกเถียงในทุกเรื่องรวมถึงเรื่องการช่วยตัวเอง การพูดคุยอย่างเป็นกันเองของเขาช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น เขาพบว่า ภาพจำที่ไม่ดีต่อความพิการทำให้การปฏิบัติตัวของผู้อื่นแตกต่างออกไป และเกิดความคิดที่ว่า คนพิการไม่มีเสน่ห์ทางเพศ เพราะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ปกติ

“คนมักเห็นว่า ความพิการเป็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณ นั่นทำให้หมดความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งผมไม่เชื่อ เพราะถึงแม้ร่างกายจะเปลี่ยนไป หรือมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ถ้าคุณมัวแต่ไปโฟกัสในเรื่องนั้นๆ มันก็ยากที่จะเห็นว่าตัวเองเซ็กซี่ หรือเห็นว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องใกล้ตัว” เขากล่าว

“คนพิการจะมีเซ็กส์และประสบการณ์ทางเพศที่แตกต่างออกไป ดังนั้น การเรียนการสอนในโรงเรียนจึงไม่ตอบโจทย์ตามที่พวกเขาต้องการ สมัยนี้ วัยรุ่นดูเหมือนจะหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตหรือพูดคุยกับที่ปรึกษากันมากขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยังมีวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อลดช่องว่างในการสอนเรื่องเซ็กส์ระหว่างเด็กพิการและไม่พิการในโรงเรียน” เขากล่าวเสริม

เขากล่าวว่า คนพิการต่างต้องการความใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์ที่ดี เฉกเช่นเดียวกับคนไม่พิการ การทำให้สังคมตระหนักว่า คนพิการต้องการข้อมูลที่แตกต่างจากคนไม่พิการนั้นจะช่วยให้เกิดประสบการณ์ทางเพศใหม่ๆ และเป็นก้าวแรกในระบบการศึกษาเพื่อคนทุกคน โดยเน้นว่า เรื่องเซ็กส์ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการร่วมเพศเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการเรียนรู้ร่างกายตัวเอง ร่างกายผู้อื่น ความสัมพันธ์ อีกทั้งต้องทำให้รู้ว่าเรื่องเหล่านี้สามารถยืดหยุ่นได้ ในแต่ละตัวบุคคล

ด้านเซลลิงเกอร์ และคนรัก ที่คบหากันกว่า 4 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจเดทกันเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันมากว่า 1 ปี ซึ่งหมายความว่า พวกเขาต้องเข้าใจดีเกี่ยวกับความพิการของเซลลิงเกอร์ และความยากลำบากที่จะต้องพบในความสัมพันธ์

“พวกเราคุยกันเรื่องเซ็กส์ เขารู้ว่าฉันมีปัญหาในเรื่องปัสสาวะและอุจจาระ ซึ่งอาจจะเกิดอุบัติเหตุเหล่านี้ได้ตลอดเวลา การเตรียมพร้อมแบบนี้ ช่วยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น” เธอกล่าว

เขาทั้งสองมีความสุขกับชีวิตเซ็กส์ แต่เพราะขาทั้งสองข้างของเธอไม่สามารถใช้งานได้ จึงทำให้การจัดท่าทางนั้นค่อนข้างเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่พวกเขาทั้งสองก็ได้เจอท่าที่เหมาะสม และพบว่ามันสนุกมาก

เซลลิงเกอร์กล่าวว่า การขบคิดเรื่องเซ็กส์หลังจากได้รับอุบัติเหตุนั้นไม่ง่าย แต่คุ้มค่า

“ใครบางคนอาจพูดว่า มันจำเป็นจริงๆ เหรอ [ที่จะต้องมีเซ็กส์] หากคุณสูญเสียความรู้สึกเหล่านั้นไปแล้ว ฉันตอบได้เลยว่า มันคุ้มค่ามาก ทั้งกับตัวคุณเองและคนรักของคุณ มันจะช่วยประคับประคองความสัมพันธ์ คล้ายๆกับครั้งแรกที่คุณมีเซ็กส์ คุณจะต้องคิดว่าจะจัดการกับมันอย่างไร อะไรทำให้รู้สึกดี คุณจะต้องเรียนรู้มันใหม่ทั้งหมด แต่นั่นแหละ มันคือความตื่นเต้น ไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรค” เธอกล่าว


แปลและเรียบเรียงจาก
How People with Disabilities Have Sex
https://broadly.vice.com/en_us/article/how-people-with-disabilities-have-sex
Sex, lives and disability
http://mosaicscience.com/story/sex-disability
Disabled and Fighting for a Sex Life
http://www.theatlantic.com/health/archive/2015/03/sex-and-disability/386866/

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิจารณ์ กสท.มีมติล่าช้ากรณียุติช่อง Z PAY TV ทำกำกับตามกฎหมายไม่เป็นจริง

0
0

สุภิญญา ชี้มติ กสท. กรณียุติช่อง Z Pay TV ในกล่อง GMMZ ล่าช้ากว่าเหตุ ทำให้การกำกับตามกฎหมายไม่เป็นจริง

9 ก.พ. 2559 สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (8 ก.พ. 2559) กสท.มีมติกรณีช่อง Z Pay TV ในกล่อง GMMZ ล่าช้าเนื่องจากมีการยุติไปแล้วเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2559 แต่ กสท. เพิ่งมีมติให้สำนักงาน กสทช. ทำคำสั่งทางปกครองไปยังบริษัท GMMZ จำกัด และบริษัท GMMB จำกัด เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2559 ให้ระงับการกระทำที่มิได้แจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ข้อ 15 วรรคแรก ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาการให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก พ.ศ.2556 และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการให้บริการที่บริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด ได้ตกลงไว้กับผู้ใช้บริการโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร อันเป็นการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์โดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ตามข้อ 5 (7) ของประกาศ กสทช. เรื่อง การกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 ประกอบกับมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553

หากบริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว กสท. จะใช้มาตรการปรับทางปกครองจำนวน 2 ล้านบาท และปรับอีกวันละ 1 แสนบาท และต้องให้ทั้งสองบริษัทส่งแผนการเยียวยาผู้บริโภคเพิ่มเติมให้ครบถ้วน ภายใน 7 วัน เนื่องจากขณะนี้มีผู้บริโภคที่ตกสำรวจ และไม่ได้รับการเยียวใดๆ เช่น กลุ่มที่ไม่สามารถเติมเงินได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2559 หรือผู้ที่เติมเงินบ้าง และไม่เติมบ้าง รวมถึงผู้ที่ติดตั้งด้วยจานระบบ C-band ที่ไม่รองรับกล่องของ CTH ทำให้ผู้บริโภคต้องเสียเงินซื้อจานใหม่

“กรณีนี้อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ส่งเรื่องให้ กสท. มีมติตั้งแต่เมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อให้มีมติก่อนที่จะยุติ Z Pay TV แต่ก็ล่าช้าไปจนเกิดการกระทำไปแล้ว ซึ่งทำให้ไม่มีผลในการกำกับทางกฎหมายแต่อย่างใด  และขณะนี้มีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับกล่อง ทำให้เสียโอกาสในการรับชม ดังนั้นหากผู้บริโภครายใดที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา ขอให้ติดต่อร้องเรียนเข้ามาที่ Call Center กสทช. 1200 หรือที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่กำลังรวบรวมผู้ใช้บริการที่เสียประโยชน์จากกรณีดังกล่าวถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้” สุภิญญากล่าว

นอกจากนี้ในวันนี้คณะอนุกรรมการการคุ้มครองผู้บริโภคฯ จะพิจารณาเสนอ กสท. เพื่อให้มีมติที่เป็นผลในการบังคับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคฯ เป็นจริงด้วย
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรยันประยุทธ์ไม่ใช่คนขี้โมโห ระบุที่อารมณ์เสียเพราะนักข่าวไปถามกวน

0
0

9 ก.พ.2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อสรุปของร่างรัฐธรรมนูญว่าไม่มีพูดถึงใน ครม. ส่วนข้อคิดเห็นต่างๆ ของแต่ละกระทรวงนั้น ยังไม่อยากพูด เพราะยังไม่เป็นที่สิ้นสุด คงต้องให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นผู้รวบรวมทั้งหมดว่ามีการเชื่อมโยงอย่างไร อาจจะต้องเพิ่มลงไปในหมวดปฏิรูปหรือยุทธศาสตร์ชาติ

ต่อกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การให้นักศึกษารักษาดินแดน (รด.) ช่วยรณรงค์ประชามติ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อย่าไปโจมตี รด.เขาป็นนักศึกษาทั้งหมด เรื่องนี้ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ชี้แจงทำความเข้าใจในภาพรวมทั้งประเทศ ทางทหารหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เช่นกัน การออกมาช่วยรณรงค์ประชามติของ รด.ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการไปชี้ประเด็น หลักๆ คือ อยากให้ประชาชนออกมาทำประชามติ อย่างที่ ผบ.ทบ.ให้ความเห็นไปว่า ไม่ได้เป็นการไปพูดเรื่องการเมือง แต่จะเน้นไปที่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำต่างๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่มา ส.ส.-ส.ว. ฉะนั้นไม่ต้องห่วง

เมื่อถามว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. อารมณ์ดีหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวด้วยอารมณ์ขันว่า “ก็เพราะนักข่าวไปถามกวน นายกฯ ไม่ได้เป็นคนขี้โมโห เขาอยู่กับผมมานานอยู่มาตั้งแต่ปี 2517 หลายปีแล้ว อยู่มาเยอะ ถ้าโมโหง่ายผมไม่อยู่ด้วยหรอก ผมเองนี่แหละขี้โมโหง่ายกว่านายกฯ อีก”

ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาแถลงผลการประชุม เนื่องจากนายกรัฐมนตรีจะตอบคำถามได้ในกรอบกว้างๆ ตามนโยบาย จึงต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงรายละเอียดให้เกิดความชัดเจน  สำหรับความคืบหน้าร่างรัฐธรรมนูญ พรุ่งนี้ จะเป็นวันสุดท้าย ที่รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะส่งข้อเสนอแนะให้ตนรวบรวม  เพื่อนำเสนอให้นายกรัฐมนตรีก่อนเดินทางไปปฎิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ แต่จะมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ลงนามแทน

 

เรียบเรียงจาก : มติชนออนไลน์ ไทยรัฐออนไลน์และเดลินิวส์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิพากษาคดี 'อภิชาต' ชูป้ายต้านรัฐประหารหน้าหอศิลป์ฯ 11 ก.พ.นี้

0
0


เหตุการณ์วันที่ 23 พ.ค. 57 หน้าหอศิลปฯ - อภิชาต คือชายที่ใส่เสื้อเชิ้ต กลางภาพ (แฟ้มภาพ)

คลิปเหตุการณ์วันที่ 23 พ.ค. 57 ที่หอศิลป์ฯ กรุงเทพมหานคร ช่วงทหารเข้าจับกุมอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ จำเลยคดีความผิดตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ประกาศ คสช. 7/2557 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90, 215 วรรคแรก, 216 และ 368 วรรแรก

9 ก.พ. 2559 สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ส่งใบแจ้งข่าว ระบุว่า ในวันที่ 11 ก.พ. 2559 นี้ เวลา 09.00 น. ณ ศาลแขวงปทุมวัน จะมีนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาต พงษ์สวัสดิ์ นักกิจกรรมและนักวิชาการด้านกฎหมายรุ่นใหม่ เป็นจำเลยในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 มาตรา 8, 11 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 215 วรรคแรก, 216 และ 368 วรรคแรก เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 (คดีหมายเลขดำที่ 363/2558) จากกรณีการทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่บริเวณหน้าหอศิลป์กรุงเทพมหานคร เพื่อคัดค้านการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557

คดีนี้พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เป็นเหตุในการฟ้องคดีเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร และฉบับที่ 38/2557 เรื่อง คดีที่ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอำนาจศาลทหาร ซึ่งทั้งสองฉบับลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหารตามประกาศสองฉบับดังกล่าว

ในกระบวนการดำเนินคดี ได้มีการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยไปเมื่อวันที่ 11 และ 30 กันยายน 2558 และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 โดยฝ่ายโจทก์ได้นำพยานเข้าสืบจำนวน 2 ปาก คือ ร.ท.พีรพันธ์ สรรเสริญ นายทหารสารวัตร กองพลทหารที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) และ ร.ต.ท.ชลิต มณีพราว พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จ.ส.อ.อภิชาต พงษ์สวัสดิ์ จำเลย ได้เบิกความยืนยันต่อศาลว่า การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่บริเวณหน้าหอศิลป์กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 เป็นการแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยต่อการรัฐประหารโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และเห็นว่าขณะนั้นการรัฐประหารยังไม่สำเร็จ จึงเป็นหน้าที่ประชาชนที่จะต้องพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญ คัดค้านการได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นอกจากนี้ ฝ่ายจำเลยยังมี รศ.จรัญ โฆษณานันท์ นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติปรัชญา สิทธิมนุษยชน อาชญาวิทยา สังคมวิทยากฎหมาย ได้เบิกความต่อศาลในประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของการประกาศกฎอัยการศึก การยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติสำเร็จเมื่อใด ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองขัดต่อรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) หรือไม่ และสิทธิของประชาชนในการต่อต้านการรัฐประหาร โดยมีรายละเอียดในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้

1.  การประกาศกฎอัยการศึกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ? : การประกาศกฎอัยการศึกของประเทศไทยมี 2 กรณี คือ กรณีการประกาศใช้กับพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ ถือเป็นพระราชอำนาจต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าของพระมหากษัตริย์ และกรณีการประกาศใช้ในแต่ละพื้นที่ ผู้บังคับบัญชาของทหารในแต่ละพื้นที่มีอำนาจในการประกาศใช้ได้ และการประกาศกฎอัยการศึกจะมีผลเมื่อมีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แต่ประกาศกองทัพบก ฉบับที่ 1/2557 เรื่องการประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ซึ่งมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในวันดังกล่าว และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 2/2557 เรื่องการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรนั้น เป็นการประกาศโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก โดยไม่ได้มีพระบรมราชโองการ จึงเป็นการประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

2.  การยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติสำเร็จเมื่อใด ? : ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153-1154/2495 ว่า การล้มล้างอำนาจเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลโดยใช้กำลังในตอนต้นอาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนกว่าจะได้รับการยอมรับจากประชาชน หมายความว่า การรัฐประหารจะสำเร็จก็ต่อเมื่อมีการยอมรับและไม่มีการต่อต้านจากประชาชน โดยมีนักทฤษฎีกฎหมายอธิบายไว้ว่า การจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ คนในประเทศนั้นๆ จะต้องปฏิบัติตามเชื่อฟังอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันอาจจะมีการยึดอำนาจสำเร็จแล้ว แต่ขณะที่มีการฟ้องคดีนี้เห็นว่าการยึดอำนาจยังไม่สำเร็จ

3.  ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองขัดต่อรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) หรือไม่ ? : ICCPR ข้อ 19 ได้รับรองคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นไว้ โดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ได้ มาตรา 4 ก็ได้บัญญัติรับรองเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ มีผลผูกพันตามพันธกรณีระหว่างประเทศเช่นกัน ซึ่งประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 มีการจำกัดสิทธิของประชาชนดังกล่าว ประกาศจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 4 และ ICCPR ข้อ 19 โดยหลักเมื่อกฎหมายลูกมีลักษณะขัดต่อกฎหมายแม่แล้ว กฎหมายแม่ย่อมมีอำนาจมากกว่า

4.   ประชาชนมีสิทธิที่จะต่อต้านการรัฐประหารหรือไม่ ? : อำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังได้ แม้จะมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติบังคับใช้แล้ว แต่ประชาชนยังคงมีสิทธิในการที่จะไม่เห็นด้วย การกระทำของจำเลยในคดีนี้ถือเป็นการป้องกันสิทธิในการแสดงออกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 และเมื่อประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 4 และ ICCPR ข้อ 19 แล้ว จึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำความผิด

ทั้งนี้ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 นั้น ถือเป็นเหตุการณ์แรกที่ประชาชนได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้านการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยในวันดังกล่าวได้มีการควบคุมตัวประชาชนจำนวน 5 คน เพื่อดำเนินคดี ซึ่ง จ.ส.อ.อภิชาต ก็เป็นหนึ่งในประชาชนที่ถูกควบคุมตัวและถูกดำเนินคดี ซึ่งสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางคดีแก่ จ.ส.อ.อภิชาต อย่างไรก็ดี ภายหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารยังคงมีประชาชนออกมาทำกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประวิตร โรจนพฤกษ์' เข้ารอบสุดท้าย ชิงรางวัล 'เสรีภาพการแสดงออก'

0
0

"ประวิตร โรจนพฤกษ์" ติด 1 ใน 20 คนสุดท้ายเข้าชิงรางวัล "เสรีภาพการแสดงออก" ขององค์กร Index on Censorship โดยในกลุ่มสื่อมวลชน นอกจากประวิตรแล้ว มีสื่อจากซีเรีย อียิปต์ ปากีสถานและตุรกี เข้าชิง

9 ก.พ. 2559 วันนี้ มีการประกาศ 20 รายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล "เสรีภาพในการแสดงออก" ประจำปี 2559 ซึ่งจัดโดยองค์กร Index on Censorship ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากที่มีผู้ถูกเสนอชื่อกว่า 400 รายทั่วโลก โดยมีชื่อของ ประวิตร โรจนพฤกษ์ อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ซึ่งปัจจุบัน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสเว็บไซต์ข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ เป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงด้วย

สำหรับรางวัลเสรีภาพในการแสดงออก มอบให้กับบุคคลหรือองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพการแสดงออกทั่วโลก รางวัลดังกล่าวแบ่งเป็นสี่ประเภท ได้แก่ ศิลปะ การรณรงค์ การรณรงค์ออนไลน์ และสื่อสารมวลชน

องค์กร Index on Censorship ระบุว่า ผู้ที่เข้ารอบ 20 คน จำนวนมากตกเป็นเป้าของทางการ ไม่ก็อาชญากรและกลุ่มสุดโต่ง จากงานที่พวกเขานำเสนอ บ้างก็ประสบกับการคุกคามที่อาจถึงแก่ชีวิต รวมถึงถูกดำเนินคดีอาญา

ในประเภทสื่อสารมวลชน มีผู้เข้ารอบ 5 ราย ได้แก่  Zaina Erhaim ผู้สื่อข่าวหญิงซึ่งยังคงรายงานสถานการณ์จากในซีเรีย, Mada Masr ผู้สื่อข่าวอิสระในอียิปต์ ที่นำเสนอข่าวต่างจากสื่อที่ถูกรัฐบาลควบคุม, Hamid Mir ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ที่ถูกคุกคาม ทำร้ายร่างกาย ลักพาตัว และพยายามฆ่า จากการต่อสู้กับอำนาจที่ไม่มีใครกล้าท้าทายในปากีสถาน, Ferit Tunç ผู้สื่อข่าวชาวเคิร์ด ผู้ก่อตั้ง นสพ.อิสระในตุรกี และใช้วิธีสร้างสรรค์ เช่น พิมพ์สูตรอาหาร แฝงสารลับ เพื่อท้าทายการเซ็นเซอร์การรายงานข่าวเรื่องคอร์รัปชัน และประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวซึ่งถูกคุมตัว สอบสวน จากการแสดงความเห็นเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและรัฐบาลทหาร

ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าว จะมีการประกาศผลผู้ชนะในวันที่ 13 เม.ย. ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

 

ที่มา:  
Index unveils 2016 freedom of expression awards shortlist 
https://www.indexoncensorship.org/2016/02/index-unveils-2016-freedom-of-expression-awards-shortlist/

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลยะลานัดไต่สวนคำร้องเพิ่มเติม กรณีให้พลทหารอิสมาแอเป็นคนสาบสูญ 25 มี.ค.นี้

0
0

ศาลจังหวัดยะลานัดไต่สวนคำร้องเพิ่มเติม กรณีครอบครัวยื่นคำร้องให้ พลทหารอิสมาแอ นะดารานิง เป็นคนสาบสูญ 25 มี.ค. นี้ โดยให้หมายเรียกพันจ่าเอกบัญญัติ อ่วมปัญญา, พันจ่าเอกเวชกร อินทรีย์, นาวาตรีวรรณะ ฤทธิชัย และพลทหารอุสมาน มะเซ็ง มาทำการไต่สวนเพิ่มเติม 

9 ก.พ. 2559 มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ส่งใบแจ้งข่าวระบุว่า วานนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2559) ศาลจังหวัดยะลานัดไต่สวนคำร้องกรณีมารดาพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้พลทหารอิสมาแอ นะดารานิงเป็นคนสาบสูญ ทนายความผู้ร้องนำพยานผู้ร้องไต่สวนได้ 1 ปาก คือนางอาอีเสาะ นะดารานิง มารดาพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ระหว่างไต่สวนผู้ร้องอ้างส่งเอกสารเป็นพยานจำนวน 11 ฉบับ
   
ไต่สวนพยานผู้ร้องได้ความว่าขณะเกิดเหตุนายอิสมาแอ นะดารานิง สมรสกับนางสาวมัสรูฮา อูเซ็ง และมีบุตรด้วยกัน 1 คนคือ เด็กหญิงนูรมี นะดารานิง อายุสี่เดือนและมีร่างกายไม่สมบูรณ์เนื่องจากดวงตาทั้งสองไม่สามารถมองเห็นตั้งแต่กำเนิด ต่อมานายอิสมาแอ นะดารานิง ได้รับการตรวจเลือกทหารกองเกิน จากการสมัครเข้ารับราชการทหาร โดยได้เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อปี พ.ศ.2552 จากนั้นได้ย้ายมาประจำการเป็นพลทหารในสังกัดกองร้อยปืนเล็กที่ 4 กองพันทหารราบที่ 8 ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ เมื่อปี พ.ศ.2553

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2553 พลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ได้โทรศัพท์ติดต่อหานางอาอีเสาะ นะดารานิงมารดาและแจ้งว่าจะขอกลับบ้าน เนื่องจากไม่สามารถลากลับได้เพราะได้ใช้สิทธิในการลาแล้ว แต่พันจ่าเอกบัญญัติ อ่วมปัญญา ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งพันจ่าประจำหมวด มว.พยาบาลฯรับอาสาจะพาพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ออกจากค่ายดังกล่าว แต่นางอาอีเสาะ นะดารานิง มารดาได้ห้ามไว้เนื่องจากจะเดินทางไปขอเข้าเยี่ยมเอง

ต่อมานางอาอีเสาะ นะดารานิงมารดาได้โทรศัพท์ติดต่อหานายอิสมาแอ นะดารานิง แต่ไม่สามารถติดต่อได้จึงตัดสินใจเดินทางไปขอเข้าเยี่ยมในวันที่ 11 มิถุนายน 2553 ที่ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา และได้พบพลทหารไม่ทราบชื่อสกุลปฏิบัติหน้าที่นายทหารประจำวัน แจ้งว่าพลทหารอิสมาแอ นะดารางนิง ได้ออกจากค่ายกลับบ้านไปแล้ว

จากนั้นนางอาอีเสาะ นะดารานิงมารดาจึงเดินทางกลับมารอที่บ้าน จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นนายอิสมาแอ นะดารานิงก็ยังไม่กลับมาถึงบ้านอีก ทางครอบครัวพลทหารอิสมาแอ นะดารานิงได้ออกติดตามหาทุกพื้นที่ แต่ก็ไม่พบเจอ จนกระทั่งในวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ทางครอบครัวพลทหารอิสมาแอ นะดารานิงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรามัน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 ทางครอบครัวพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ได้เดินทางไปที่ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลาเพื่อขอเข้าเยี่ยมพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง และได้พบพันจ่าเอกเวชกร อินทรีย์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายทหารเวรประจำวัน และได้รับแจ้งว่าพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ไม่ได้อยู่ภายในค่ายและได้กลับบ้านไปแล้วแต่ไม่ได้ทำใบลาไว้ จากนั้นทั้งสองจึงได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลา กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ร้องเรียนต่อองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ รวมทั้งมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ครอบครัวพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554 ทางมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ได้มีหนังสือขอทราบความคืบหน้ากรณีหายตัวไปของพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ถึงผู้บัญชาการกองพันทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ จนกระทั่งมีหนังสือชี้แจงและสรุปผลการสอบสวนในเดือนมิถุนายน 2553 ว่าพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ได้ขออนุญาตไปตรวจรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 และหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่หน่วยอีกเลย

ต่อมาทางครอบครัวพลทหารอิสมาแอ นะดารานิงได้ร้องขอความช่วยเหลือทางคดีกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จนกระทั่งมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้มีหนังสือขอทราบความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนกรณีคนหายกับทางผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรรามัน สำเนาถึงผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทางศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหนังสือตอบกลับว่ายังไม่พบบุคคลดังกล่าวแต่อย่างใด

นับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2553 จนถึงปัจจุบัน พลทหารอิสมาแอ นะดารานิง หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลา 5 ปีกว่าแล้ว ทางครอบครัวพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ไม่เคยได้รับการติดต่อจากพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง และมีหนังสือรับรองจากผู้ใหญ่บ้านว่าพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ปัจจุบันไม่มีผู้ใดพบเห็นและทราบแน่ว่าพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนีคดีอาญามาก่อนแต่อย่างใด และไม่เคยต้องโทษคดีอาญาใดๆ มาก่อน จึงขอศาลมีคำสั่งให้นายอิสมาแอ นะดารานิง เป็นคนสาบสูญตามกฎหมาย

จากการไต่สวนศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีประเด็นที่จำต้องรับฟังพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดคดีเกิดความยุติธรรมมากที่สุดในประเด็นที่ผู้ถูกร้องให้เป็นผู้ที่สาบสูญ หายตัวไปจากหน่วยงานทหารจึงสมควรให้มีการไต่สวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว โดยให้หมายเรียกพันจ่าเอกบัญญัติ อ่วมปัญญา, พันจ่าเอกเวชกร อินทรีย์, นาวาตรีวรรณะ ฤทธิชัย และพลทหารอุสมาน มะเซ็ง มาทำการไต่สวนเพิ่มเติม จึงนัดไต่สวนเพิ่มเติมอีกครั้งในวันที่ 25 มีนาคม 2559 เวลา 09.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อดีตส.ส.อุบล ชี้โอกาสรธน.ผ่านประชามติน้อย แต่ปชช.จะแสดงมติลงโทษเหตุบริหารปากท้องห่วย

0
0

9 ก.พ. 2559 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า แบบสอบถามที่สำนักโพลล์ต่างๆ ไปถามกลุ่มคนเพียง 1200-1350 คน แล้วมาสรุปกันเป็นตุเป็นตะ ว่าประชาชนเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้มากกว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการบอกว่าประชาชนเห็นด้วยกับรธน. ว่าต้องเชื่อฟังท่านนายกประยุทธ์ และนายมีชัย มากกว่าเชื่อฝ่ายการเมือง ซึ่งในแง่วิชาการก็ดูดีแต่ความน่าเชื่อถือของการทำโพลที่เอาใจผู้มีอำนาจหรือตั้งใจที่จะชี้นำสังคมนั้นมันอันตรายอย่างยิ่งและคนที่โพลไปถามมานั้นเป็นกลุ่มคนเดิมๆที่ฝักใฝ่แนวทางการรัฐประหารมากกว่าแนวทางประชาธิปไตยหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ มันจึงทำให้เราไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง มันกลับกลายเป็นว่าพวกเรากำลังหลอกตัวเอง และมีขบวนการหลอกคนอื่นให้หลงเชื่อตามพวกตนเอง และใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมากสำหรับสังคมไทยและอนาคตของประเทศไทย  

อนุสรณ์ ถามปชป. ใจคอจะร้องยุบพรรคท่าเดียวหรือ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ออกมายุ คสช.ให้ดูข้อกฎหมายเข้าข่ายยุบพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ หลัง ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วีดิโอคอลมายังอดีต ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะพรรคการเมืองที่แพ้การเลือกตั้งกันมาตลอด ย่อมกลัวคำว่าทักษิณจนหัวหด การที่อดีต ส.ส.กทม.ไปรวมตัวกันเพื่อสังสรรค์งานปีใหม่ แล้วเขาจะขอพรใครที่เคารพนับถือ หรือใครจะอวยพร พูดอะไรก็เป็นสิทธิ เพราะไม่ใช่กิจกรรมทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องที่พรรคการเมืองอื่นจะมายุ่ง ต้องหัดรู้จักรักษามารยาทบ้าง การที่ออกมาเรียกร้องให้คสช.ยุบพรรคเพื่อไทย แสดงให้เห็นนิสัยดั้งเดิมที่ชอบจ้องร้องยุบพรรค ตั้งแต่ร้องยุบพรรคไทยรักไทย ศาลฎีกาฯ ตัดสินว่าพรรคไทยรักไทย (ทรท.) บริสุทธิ์ ไม่ได้จัดจ้างพรรคเล็ก ตามข้อกล่าวหา จนบัดนี้ยังไม่มีคนของพรรคนี้ออกมาแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด ใจคอจะไม่คิดกลยุทธ์อะไรที่จะมาเอาชนะใจประชาชน เอาชนะพรรคเพื่อไทยอย่างบริสุทธิ์ นอกจากจ้องจะร้องยุบพรรคท่าเดียวหรือ กลับไปหาคนมารับผิดชอบกรณีร้องยุบพรรคพรรคไทยรักไทยให้ได้ก่อน อย่าไปจัดการงานนอกสั่ง หรือธุระไม่ใช่

 อดีตส.ส.อุบลฯ ชี้โอกาส รธน.ผ่านประชามติน้อย แต่จะเป็นโอกาสที่ ปชช.แสดงมติลงโทษรัฐบาล

นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "เท่าที่ได้พบปะกับชาวบ้านนั้น โอกาสที่รัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติน้อยมาก เพราะชาวบ้านรู้สึกได้รับผลกระทบจากการทำงานของรัฐบาล อยู่กันอย่างยากลำบาก ราคาพืชผลตกต่ำ เมื่อมีให้ลงมติก็จะถือโอกาสนี้ลงโทษรัฐบาล"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'วีฟาอี มอลอ' โต้ข่าวดิสเครดิตเอี่ยวก่อเหตุชายแดนใต้ หลังขอความเป็นธรรมปมการตายอับดุลลายิ

0
0

9 ก.พ. 2559 นาย วีฟาอี มอลอ นักสิทธิมนุษยชน และภาคประชาสังคม ออกมาโต้ข่าว ที่มาการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ว่าตนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งในข่าวในระบุว่าตนทำหน้าที่ เป็นฝ่าย ฝ่ายโลจิสติกส์ (logistics)  ซึ่งมีเนื้อหาข่าวดังนี้ 

041100 ก.พ.59 ปรากฏความเคลื่อนไหวของนายวีฟาอี มอลอ อายุ 31 ปี/59 เลข ปชช.1-9403-00020-41-1 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 156 บ.นัดบารู (บ.คอลอตันหยง) ม.1 ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พฤติการณ์สมาชิก ผกร.ระดับแกนนำสั่งการ ทำหน้าที่ ฝ่ายโลจิสติกส์ (logistics) (เครือญาติของนายอับดุลลายิบ ดอเลาะ ชื่อจัดตั้ง เปาะซูแซ/จูแซ อายุ 41 ปี/58 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 233/3 บ.กอตอระนอ (หมู่บ้านย่อยของบ้านโคกหญ้าคา) ม.1 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พฤติการณ์สมาชิก ผกร.ระดับ Kompi หรือ ระดับ ผบ.ร้อยของชุดปฏิบัติการ RKK เสียชีวิตในระหว่างควบคุมตัวที่หน่วยซักถามของ ขกท.สน.จชต.ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อ 4 ธ.ค.58) กำลังจัดหาอุปกรณ์ประกอบวัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่อง , กระสุนปืนขนาด 5.56 , ขนาด 7.62 และวัตถุระเบิดชนิดขว้าง เพื่อจัดเตรียมให้สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ RKK เตรียมก่อเหตุลอบวางระเบิด , ลอบขว้างระเบิด และลอบยิง/ซุ่มยิง ในพื้นที่ ต.เมาะมาวี ต.กระโด ต.ระแว้ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และ ในพื้นที่ ต.ปะโด , ต.มายอ ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ จ.ปัตตานี เป้าหมายเป็น จนท.ทหาร , จนท.ตร. และ จนท.ฝ่ายปกครอง รวมทั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ห้วงจะก่อเหตุตั้งแต่วันที่ 5 – 15 ก.พ.59 - จากการตรวจสอบรายชื่อสมาชิก ผกร.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทราบชื่อดังนี้ 1) นายสะมะแอ ลาเตะ อายุ 44 ปี/59 เลข ปชช.3-9405-00006-56-0 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 211 บ.กอตอระนอ (หมู่บ้านย่อยของบ้านโคกหญ้าคา) ม.1 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พฤติการณ์สมาชิก ผกร.ระดับแกนนำสั่งการ 2) นายอับดุลเลาะ มะมิง อายุ 40 ปี/59 เลข ปชช.3-9403-00031-60-9 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 184/2 บ.โฉลง ม.5 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พฤติการณ์สมาชิก ผกร.ระดับ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ RKK 3) นายมะตอเฮ มูน๊ะ อายุ 39 ปี/59 เลข ปชช.3-9402-00254-43-6 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 39/2 บ.คูระ ม.2 ต.ม่วงเตี้ย อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี พฤติการณ์สมาชิก ผกร.ระดับแกนนำสั่งการ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลมือประกอบวัตถุระเบิด 4) นายอานูวา ยูโซะ อายุ 33 ปี/59 เลข ปขข. 3-9410-00342-21-9 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 218/3 บ.กอตอระนอ (บ้านย่อยของโคกหญ้าคา) ม.1 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พฤติการณ์ สมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง ระดับปฏิบัติการ RKK และมือประกอบระเบิด 5) นายวีฟาอี มอลอ อายุ 31 ปี/59 เลข ปชช.1-9403-00020-41-1 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 156 บ.นัดบารู (บ.คอลอตันหยง) ม.1 ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พฤติการณ์สมาชิก ผกร.ระดับแกนนำสั่งการ ทำหน้าที่ ฝ่ายโลจิสติกส์ (logistics) (เครือญาติของนายอับดุลลายิบ ดอเลาะ ชื่อจัดตั้ง เปาะซูแซ/จูแซ เสียชีวิตในระหว่างควบคุมตัวที่หน่วยซักถามของ ขกท.สน.จชต.ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อ 4 ธ.ค.58)

นายวีฟาอี มอลอ กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก ซึ่งตนทำงานในฐานะเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องนักสิทธิมนุษยชน ในรูปแบบสันติวิธีมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุด ตนก็เป็นอยู่เบื้องหน้าในการเรียกร้องความเป็นธรรมในกรณี การเสียชีวิตของนายอับดุลลายิ ดอเลาะ ที่เสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว ณ ค่าย อิงคยุทธบริหาร เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมรับฟังจากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่แต่งตั้งโดยแม่ทัพภาคที่ 4  ในฐานะญาติผู้เสียชีวิต

นายวีฟาอี ได้กล่าวอีกว่า นอกจากได้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว ตนยังทำงานที่ยึดหลักในแนวทางสันติวิธี แต่กลับถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ใช้อาวุธ การปล่อยข้อมูลในลักษณะนี้ ไม่ทราบถึงที่มาที่ไป แต่ทำให้ เกิดความเสียหายและความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตได้อีกด้วย

“ทั้งนี้ ตนจะดำเนินการเรียกร้องความเป็นธรรมไปยัง มูลนิธิศูนย์ทนายความประจำจังหวัดปัตตานีและแจ้งความในทางกฎหมายเพื่อให้มีการตรวจสอบและดำเนินคดีกับแหล่งที่มาของข่าวต่อไป”  นายวีฟาอี กล่าว

นาย วีฟาอี ยังได้เปิดเผยประวัติของตนต่อสำนักสื่อวาร์ตานี ว่า เขาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีในสาขามลายูศึกษา คณะมนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในปี 2550

จากนั้น ได้ทำงานร่วมกับ คุณอังคณา นีละไพจิตร ในฐานะคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ และจากนั้น ได้ร่วมก่อตั้งวิทยาลัยประชาชน หรือ People college และต่อมา ได้มาทำงานเป็นนักจัดรายการวิทยุ ที่สถานีมีเดียสลาตัน อันโด่งดัง และปัจจุบัน ได้เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของสำนักพิมพ์อาวัณบุ๊ก (Awan Book)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลไต่สวนคดี ‘ฤทธิรงค์’ เผยถูกตร.ขู่ดักทำร้ายหน้าโรงเรียน แล้วพาศพไปทิ้งที่เขาอีโต้

0
0

9 ก.พ. 2559 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า วานนี้ ( 8 ก.พ.59 )  เวลา 13.30 น. ศาลจังหวัดปราจีนบุรีได้ไต่สวนมูลฟ้อง (นัดครั้งที่สาม ) คดีหมายเลขดำที่ 925/2558 ซึ่งมีนายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตำรวจ สภ.เมืองปราจีนบุรี 7 คน ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ความผิดต่อร่างกาย และความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200, 295, 309, 310, 391 ประกอบมาตรา  83, 91โดยศาลได้ไต่สวนพยานฝ่ายโจทก์ คือ นายฤทธิรงค์  ชื่นจิตร ต่อจากนัดที่แล้ว

นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร โจทก์ ให้การต่อศาลต่อจากนัดที่แล้วว่า หลังจากตนถูกซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่ให้รับสารภาพว่าไปกระชากทองแล้ว ตนรู้สึกหวาดกลัวมาก ร้องไห้ ตัวสั่น  ไม่กล้าบอกกับพ่อแม่ เพราะเหตุถูกข่มขู่จากตำรวจว่า ถ้าบอกเรื่องนี้กับใครจะไปดักทำร้ายที่หน้าโรงเรียน แล้วพาศพไปทิ้งที่เขาอีโต้  ตนกลัวตนเองและพ่อแม่จะถูกทำร้ายจึงไม่กล้าบอกพ่อแม่ในช่วงแรก ๆ แม้จะกลับถึงบ้านแล้ว จนกระทั่งพ่อแม่ได้ปลอบโยนให้ตนหายกลัว และพ่อสังเกตร่องรอยช้ำบริเวณข้อมือ จึงได้สอบถามตนว่าถูกอะไร ตนได้บอกว่าถูกทำร้ายร่างกายและได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และถอดเสื้อให้พ่อแม่ดูร่องรอยบาดแผลตามร่างกายที่ถูกทำร้าย และพ่อก็ได้ถ่ายรูปไว้ จากนั้นจึงให้ไปพักผ่อน และวันรุ่งขึ้นได้พาไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกาย และในปีที่ผ่านมาตนต้องเข้ารับการรักษาสภาพทางจิตใจจากการถูกซ้อมทรมานดังกล่าว โดยได้รับการรักษาเป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน จากคณะแพทย์ สถาบันกัลยาราชนครินทร์ กรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้นายฤทธิรงค์ยังได้เบิกความถึงความยากลำบากในการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อให้มีการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องใช้ความพยายามหลายครั้งหลายวันจึงสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ต่อมาคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ท. ได้สอบพยานที่เกี่ยวข้องแล้วมีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซ้อมทรมานตน แต่เมื่อคณะอนุกรรมการฯ รายงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. ปรากฏว่าคณะกรรมการ ป.ป.ท. กลับมีมติในทางตรงข้ามกับคณะอนุกรรมการฯ ว่าคดีไม่มีมูล โดยอ้างว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ  แต่ตนเห็นว่าตามสำนวนการสอบสวนพยานทั้งหมดของคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว เพียงพอต่อการชี้ได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระทำความผิดตามที่ตนกล่าวหา ตนจึงได้นำคดีมาฟ้องเอง

ศาลได้นัดไต่สวนพยานปากนายฤทธิรงค์ต่อ ครั้งต่อไปในวันที่ 27 มิ.ย. นี้ เวลา 13.30 น. โดยพนักงานอัยการจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นทนายความของจำเลยทั้งเจ็ดคน จะเป็นผู้ถามค้าน หลังจากนั้นฝ่ายโจทก์จะนำพยานอีก 3 ปากให้ศาลไต่สวน  

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สทป.เตรียมส่งมอบจรวดนำวิถี DTI-1G ส่วนแผนซื้อรถถังรัสเซีย-กองทัพบกยังไม่สรุป

0
0

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เตรียมส่งมอบจรวดหลายลำกล้องแบบนำวิถี DTI-1G ซึ่งพัฒนาจากจรวดจีน WS-1B ให้กองทัพบกใช้งาน ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี ชี้แจงกองทัพยังไม่มีข้อสรุปว่าจะซื้อรถถังรัสเซีย T-90 A หรือไม่ โดยการคัดเลือกจะเป็นไปอย่างโปร่งใสและประหยัดคุ้มค่า

จรวดหลายลำกล้องแบบนำวิถี DTI-1G (ที่มา: สทป.)

9 ก.พ. 2559 - เพจของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทป. แจ้งว่าในวันที่ 12 ก.พ. เวลา 09.00 - 11.30 น. สทป. เตรียมส่งมอบต้นแบบระบบจรวดหลายลำกล้องแบบนำวิถี DTI-1G ให้กองทัพบกทดลองใช้งาน โดยจะมีพิธีส่งมอบที่กองพลทหารปืนใหญ่ มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหม เป็นประธาน

จากข้อมูลในวิกิพีเดียก่อนหน้านี้ในปี 2554 สทป. เคยเปิดตัวจรวดหลายลำกล้อง DTI-1 ขนาด 302 มม. 4 ลำกล้อง ซึ่งมีระยะยิง 60-180 กม. ติดตั้งกับยานยนต์ เคลื่อนย้ายเพื่อเปลี่ยนที่ตั้งยิงได้ วิจัยและพัฒนาโดย สทป. โดยเป็นการพัฒนามาจากจรวยเว่ยซื่อ (Weishi) WS-1B ของบริษัท SCAIC ของจีน ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบนำวิถีและกลายเป็นระบบจรวด DTI-1G ที่จะมีการส่งมอบในวันที่ 12 ก.พ. นี้

 

กองทัพบกชี้แจงยังไม่มีข้อสรุปจะซื้อรถถัง T-90 A จากรัสเซียหรือไม่

ส่วนข่าวกองทัพบกเตรียมจัดซื้อรถถังรุ่น T-90A จากรัสเซีย จำนวน 51 คัน เพื่อทดแทนรถถัง M41 จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าประจำการมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็นนั้น มติชนออนไลน์รายงานเมื่อ 8 ก.พ. ว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่างถึงกรณี มีบางสื่อบางฉบับนำเสนอว่า กองทัพบกเตรียมจัดซื้อรถถังล๊อตใหม่รุ่น T-90A จากประเทศรัสเซียนั้นว่า คงไม่เป็นความจริง อาจเป็นความคลาดเคลื่อน ซึ่งทางกองทัพบกมีแผนจัดหาในการซื้อ แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะซื้อรถถังจากประเทศใด อย่างไรก็ตามการจะเลือกแบบไหนจากประเทศอะไรนั้น ทางคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์ หรือ (กมย.) จะเป็นผู้พิจารณา ภายใต้หลักการ ความโปร่งใส ประหยัดคุ้มค่า และด้วยตระหนักเสมอว่างบประมาณที่ได้มาจากภาษีของประชาชน และเมื่อกระบวนการต่างๆ ได้ข้อสรุปหรือข้อยุติแล้วจะได้มานำเสนอให้สังคมได้รับทราบต่อไป

 

โฆษกกลาโหมยืนยัน พล.อ.ประวิตร เยือนรัสเซียปลาย กพ. ยังไม่ซื้อรถถัง

สำนักข่าวอิศราอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 23 - 27 ก.พ. นี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ จะเดินทางไปเยือนรัสเซียตามคำเชิญ เพื่อกระชับความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางเยือนรัสเซียช่วงเดือนมีนาคม

โดย พล.ต.คงชีพ ยืนยันว่า ไม่มีการหารือเรื่องจั้ดซื้อรถถังจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากองทัพบกมีความต้องการจัดซื้อรถถังจริง และมีหลายประเทศที่เสนอขาย และรัสเซียก็เป็นประเทศหนึ่ง แต่ขณะนี้ยังไม่ตกลงใจว่าจะซื้อจากประเทศใด

 

สมัยประยุทธ์เป็น ผบ.ทบ.เคยมีแผนซื้อรถถังยูเครนทดแทน แต่มีปัญหาเรื่องส่งมอบ

สำหรับรถถังซึ่งถูกปลดประจำการ ทำให้กองทัพไทยเตรียมจัดซื้อรถถังมาทดแทนนั้น คือรถถังรุ่น M41 Walker Bulldog เป็นรถถังประเภทรถถังเบาจากสหรัฐอเมริกา น้ำหนัก 23.5 ตัน ติดตั้งปืนใหญ่ 76 มม. ผลิตมาตั้งแต่ พ.ศ. 2496 มีประจำการในไทย 200 คัน และถูกปลดประจำการ ขณะที่ก่อนหน้านี้ ในปี 2554 สมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. เคยเดินทางไปโรงงานที่ประเทศยูเครน เพื่อดูรถถัง T-84 Oplot-M เป็นรถถังแบบหนัก โดยมีน้ำหนัก 46 ตัน ป้อมปืนของรถถังติดปืนใหญ่ 125 มม. เดิมเคยมีการสั่งซื้อ 50 คัน เพื่อทดแทนรถถัง M41 อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในปี 2557 มีการส่งมอบล็อตแรกไปเพียง 5 คัน เนื่องจากยูเครนยังติดพันปัญหาภายในประเทศ

 

มีแผนจัดกำลังรบกองทัพบก-แต่ยังไม่ตัดสินใจจัดซื้อ T-90 A จากรัสเซีย

รถถัง T-84 Oplot-M จากยูเครน ที่ส่งมอบให้กองทัพไทยล็อตแรก 5 คัน จากแผนที่ต้องการสั่งซื้อ 50 คัน แต่ยูเครนติดปัญหาภายใน (ที่มา: ukroboronprom)

รถถังแบบ T-90 จากประเทศรัสเซีย ในระหว่างสวนสนามรำลึกวันฉลองชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 9 พฤษภาคม 2556 (ที่มา: วิกิพีเดีย)

ขณะที่ก่อนหน้านี้ กรุงเทพธุรกิจรายงานเมื่อ 3 ก.พ. อ้างแหล่งข่าวจากกองทัพบก กรณีที่เว็บไซต์รัสเซีย ระบุว่า กองทัพบกไทยยังสนใจและตรียมจัดซื้อรถถัง T-90 A จากประเทศรัสเซีย โดยแหล่งข่าวให้ความเห็นกับกรุงเทพธุรกิจว่า เรื่องนี้เป็นเพียงการจัดทำแผนกำลังรบของกองทัพบก โดย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ให้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อจัดซื้อมาเสริมเขี้ยวเล็บให้กับกองทัพบกไทย รวมถึงการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก และรถถัง T-90 A ก็เป็นหนึ่งแผนที่กองทัพบกจะมีการจัดซื้อเพื่อมาทดแทน ซึ่งขณะนี้ยังเป็นแผนโครงสร้างกำลังรบของกองทัพบก ยังไม่ได้มีการตัดสินใจที่จะมีการจัดซื้อจากประเทศรัสเซีย

แต่ยังขณะนี้ยังไม่ได้มีการตกลงว่าจะมีการจัดซื้อกี่คัน เนื่องจากต้องรอการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 ก่อน โดยในวันที่ 4 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการประชุมเพื่อมอบนโยบายแนวทางการจัดทำงบประมาณให้กับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50704 articles
Browse latest View live