Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50858 articles
Browse latest View live

วรเจตน์ ภาคีรัตน์

$
0
0

"..ประชาธิปไตยเป็นการเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยเปลี่ยนเป็นเสียงข้างมากได้ และเสียงข้างมากก็เป็นเสียงข้างน้อยได้ โดยการแสดงเหตุแสดงผลซึ่งกันและกันเป็นแบบนี้ แต่ถ้าที่ใดก็ตามที่เสียงข้างน้อยไม่เคารพเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยอ้างอิงหลักการปกครองบางอย่างซึ่งปกครองโดยกฎหมาย ใช้กฎหมายทำลายเจตจำนงของเสียงข้างมาก สิ่งนี้ย่อมไม่เป็นประชาธิปไตย"

กล่าวบนเวทีเสวนา การปฏิรูป เพื่อความงาม ความเจริญ และความเป็นธรรม เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2558 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ประจิน ผุดไอเดีย ‘ไฮสปีดเทรน’ กทม.-พัทยา และ กทม.-หัวหิน

$
0
0

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ตั้งคณะกรรมการทำงานพิจารณาแนวทางลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-พัทยา-ระยอง และกทม.-หัวหิน คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้

3 มี.ค. 2558 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพมหานคร เชื่อมกับเมืองท่องเที่ยว จำนวน 2 เส้นทาง ประกอบด้วย สายกรุงเทพมหานคร-หัวหิน และกรุงเทพมหานคร-พัทยา-ระยอง ซึ่งขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินผลการศึกษาแล้ว แต่ให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องกลับไปทบทวนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากโครงการเดิมจะมีเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่นโยบายใหม่จะมีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมได้สั่งการให้ สร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง ทั้ง 2 เส้นทาง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องรูปแบบการลงทุนภายในปีนี้

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพมหานคร-พัทยา-ระยอง จะแยกออกจากระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ส่วนต่อขยายจากท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา ที่รัฐบาลมีเป้าหมายจะลงทุนเพื่อเชื่อมระหว่าง 3 สนามบิน คือดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา หลังจากที่จะนำมาพัฒนาเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบแห่งที่ 3 รวมถึงจะเป็นคนละระบบกับรถไฟทางคู่ราง 1.435 เมตร หรือรถไฟไทย-จีน เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุดและแก่งคอย-กรุงเทพฯ ระยะทาง 873 กิโลเมตร โดยมีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือรถไฟไทย-จีนจะขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทั่วไปจากหนองคายมาที่มาบตาพุด ส่วนแอร์พอร์ตลิงก์จะเชื่อมการเดินทางจากในเมืองกับระหว่างสนามบิน ด้านรถไฟความเร็วสูงจะรองรับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก

ด้านไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พลอากาศเอกประจิน ได้ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า คณะทำงานชุดนี้ต้องเชิญผู้ประกอบการเข้ามาหารือ เพื่อพิจารณารูปแบบความร่วมมือด้วย ว่าในการดำเนินโครงการจะเป็นรูปแบบไหน เป็นความร่วมมือแบบรัฐและเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) การให้สัมปทาน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในพีพีพี หรือเป็นความร่วมมือรัฐบาลกับรัฐบาล (จีทูจี) แบบเดียวกับที่ไทยทำร่วมกับจีน ในการก่อสร้างรถไฟทางคู่รางมาตรฐาน 1.435 เมตร เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุด และแก่งคอย-กรุงเทพฯ ซึ่งต้องให้มีความชัดเจน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พม่าคุมตัวนักข่าวโพสต์ภาพล้อรัฐบาล-ทหาร

$
0
0

คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวเผย "อ่องเนเมียว" นักข่าวพม่าถูกตำรวจถูกจับกุม และกล่าวหาว่าโพสต์ภาพตัดต่อและข้อความเสียดสีเป็นภัย ขัดขวาง และก่อกวนรัฐบาล และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึงมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี

3 มี.ค. 2558 - คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (Committee to Protect Journalists: CPJ) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนักข่าวในพม่าตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 ก.พ.) จากการโพสต์ภาพเสียดสีรัฐบาลพม่าในเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนจะปล่อยตัวเขาโดยไม่แจ้งข้อหาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (2 มี.ค.)

อ่องเนเมียว ช่างภาพข่าวอิสระถูกจับกุมตัวที่บ้านของเขาในเมืองมงยวะโดยถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระราชบัญญัติสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี 1950 เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นบ้านของเขา โดยบอกตอนแรกว่าจะค้นยาเสพติด ก่อนที่ต่อมาจะยึดสมุดบันทึก แลปทอป แฟลชไดรฟ์ และอุปกรณ์โทรทัศน์วงจรปิด

"การควบคุมตัวอ่องเนเมียวโดยไม่มีหมายจับในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นการส่งสัญญาณถึงนักข่าวทั้งหลายว่าพวกเขาอาจเป็นรายต่อไปหากยังวิจารณ์สถานการณ์ความมั่นคงที่ย่ำแย่ในพื้นที่ขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มในพม่า” ชอน คริสปิน ตัวแทน CPJ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวและว่า “เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลเต็งเส่งหยุดการใช้กฎหมายความมั่นคงภายในในการคุกคามสื่อและเปิดให้ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวจากสองฝ่ายในพื้นที่ขัดแย้งอย่างอิสระ”

ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาดังกล่าวมาจากภาพที่อ่องเนเมียวโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพโปสเตอร์หนังเกี่ยวกับการต่อสู้ปี 1971 ระหว่างกบฏคอมมิวนิสต์ที่หนุนหลังโดยจีนและกองทัพพม่า โดยมีภาพผู้นำรัฐบาลพม่าปัจจุบันและภาพมินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการกองทัพพม่า ซ้อนขึ้นมาในลักษณะเสียดสี

ภาพดังกล่าวถูกโพสต์หลังจากมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐกล่าวหาว่า “ทหารรับจ้างจีน” ให้ความช่วยเหลือกลุ่มกบฏชาติพันธุ์โกก้าง ใกล้ชายแดนร่วมของสองประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลพม่าประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ หลังการปะทะกันของกองกำลังสองฝ่าย ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 70 คน

อ่องเนเมียวถูกจับกุมจากการร้องเรียนของตำรวจสันติบาลไปยังสถานีตำรวจมงยวะโดยระบุว่า ภาพตัดต่อและข้อความเสียดสีเป็นภัย ขัดขวางและก่อกวนรัฐบาล ตำรวจยังจะแจ้งข้อหาเขาและบุคคลซึ่งไม่ระบุชื่อในข้อหาสมรู้ร่วมคิดตาม พ.ร.บ.สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยความผิดดังกล่าวมีโทษจำคุกสูงถึง 7 ปี

งานวิจัยของ CPJ ระบุว่า นักข่าวมักตกเป็นเป้าในพื้นที่ขัดแย้งซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธในพม่า รวมถึงทางตะวันออกของรัฐฉานและทางเหนือของรัฐคะฉิ่น ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า อ่องจ่อนาย ผู้สื่อข่าวอิสระถูกยิงเสียชีวิตที่รัฐมอญเมื่อเดือนตุลาคม ขณะอยู่ในการควบคุมตัวของทหาร ผลชันสูตรศพพบว่าเขาอาจจะถูกซ้อมทรมานก่อนจะถูกสังหาร ทั้งนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารคนใดต้องรับผิดชอบต่อการตายครั้งนี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เศรษฐศาสตร์ มช. ชี้เทคโนโลยี 4G ดันเศรษฐกิจโตมากกว่าแสนล้านต่อปี

$
0
0

นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มช. เปิดผลการศึกษา ประเมินหากมีการใช้เทคโนโลยี 4G ในไทย จะมีผลกระทบเชิงบวกต่อจีดีพีของประเทศในปี 58 คิดเป็นมูลค่า 168,136 ล้านบาท และในปี 59 คิดเป็นมูลค่า 265,274 ล้านบาท

3 มี.ค. 2558 ณ อาคารหอประชุมชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คณะนักวิชาการจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยผลการศึกษาการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการให้บริการบรอดแบนด์ผ่านทางโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Broadband) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสำนักงาน กสทช. กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยผลการศึกษาชี้ชัดว่า Mobile Broadband ก่อให้เกิดผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย ทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ซึ่งจากการคำนวณผลประโยชน์สุทธิ พบว่าในปี พ.ศ. 2556 มีผลให้รายได้ประชาชาติ (จีดีพี) ของประเทศเพิ่มขึ้น 430,233 ล้านบาท ขณะที่หากใช้วิธีการคำนวณผลกระทบโดยแยกเป็นรายสาขา พบว่าผลประโยชน์ที่เกิดจากผลรวมของอุตสาหกรรมรายสาขาและจากมิติการวิเคราะห์รอบด้านมีมูลค่าถึง 464,291 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้คิดเป็นผลประโยชน์ทางตรงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมประมาณ 59,875 ล้านบาท

ในส่วนการประเมินผลกระทบของเทคโนโลยี 4G ที่มีต่อเศรษฐกิจ นักวิชาการ มช. ระบุว่า ทำได้เพียงการศึกษาจากการเทียบเคียงตัวเลขและกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่มีเทคโนโลยี 4G แล้ว โดยเบื้องต้นประเมินว่า หากมีการนำเทคโนโลยี 4G มาใช้ให้บริการในประเทศไทย จะมีผลกระทบเชิงบวกต่อจีดีพีของประเทศในปี พ.ศ. 2558 คิดเป็นมูลค่า 168,136 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2559 คิดเป็นมูลค่า 265,274 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายงานการศึกษาดังกล่าวระบุด้วยว่า Mobile Broadband เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนในยุคปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้วิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไปในเกือบทุกด้าน ซึ่งการขาด Mobile Broadband ไปจากสังคมจะนำมาซึ่งความโกลาหลในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งเกิดการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ชี้แจงถึงแผนการดำเนินการปี 2558 โดยประเด็นหนึ่งคือ การเปิดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz (ของ AIS เดิม) และ 1800 MHz (ของ AIS และ TrueMove เดิม) ซึ่งตั้งเป้าที่จะเปิดประมูลให้ทันก่อนคลื่น 900 MHz ของ AIS จะหมดสัญญาสัมปทานในเดือนกันยายนนี้ โดยก่อนหน้านี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งให้ระงับการประมูลคลื่นเป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ 17 ก.ค. 2557

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประยุทธ์ทดลองขับขี่จักรยานยนต์ก่อนร่วมประชุม ครม.

$
0
0

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหน่วยบริการตรวจสภาพรถและเครื่องใช้ไฟฟ้าในทำเนียบรัฐบาล ก่อนทดลองขี่จักรยานยนต์ก่อนเข้าประชุม ครม. เผยสมัยเด็กๆ ชอบขับมอเตอร์ไซต์ และต้องระมัดระวังควรใส่หมวกกันน็อกด้วย

ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย

3 มี.ค. 2558 - เว็บไซต์รัฐบาลไทยรายงานว่า ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง นำคณะแกนนำเครือข่ายสตรี 4 ภาค เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายสตรี เนื่องในวันสตรีสากล พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมหน่วยบริการตรวจสภาพรถและซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าของนักเรียนอาชีวะ และยังทดลองขับขี่รถจักรยานยนต์ ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ทั้งนี้ในรายงานของ ฐานเศรษฐกิจพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ชอบขับรถจักรยานยนต์ รถยนต์ ชอบเครื่องยนต์ "สมัยเด็กพ่ออยากให้เรียนวิศวะ ผมดันอยากเป็นทหาร เลยต้องมาอยู่กับพวกเรานี่ไง เขาเรียกว่าคู่กรรม แต่ต้องระวังนะ ใส่หมวกกันน็อกด้วย ตอนเช้าไม่ได้ใส่หมวกกันน็อก เคยขี่สมัยเด็ก อยู่ ร.21 รอ. (กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์) ก็ขี่ อยู่ชายแดนก็ขี่ ก็กลัวเหมือนกันนะ เดี๋ยวล้มไปแล้วมีคนถ่ายรูปไว้ หัวเราะกันตายเลย"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มติ ครม. ปรับเบี้ยเลี้ยงทหารปฏิบัติราชการความมั่นคง-จาก 94 บาทเป็น 200 บาท

$
0
0

ที่ประชุม ครม. เห็นชอบตามที่กลาโหมเสนอปรับเบี้ยเลี้ยงทหารเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยกำลังพลที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ปกติได้เพิ่ม 28% พลทหารถึงสิบตรี เพิ่มจาก 75 บาทเป็น 96 บาท ปฏิบัติราชการนอกที่ตั้ง เพิ่มจาก 94 บาทเป็น 120 บาท ส่วนกำลังพลปฏิบัติราชการพิเศษเพื่อความมั่นคงเพิ่มจาก 94 บาท เป็น 200 บาท มีผล 1 ต.ค. นี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2558 (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

3 มี.ค. 2558 - ตามที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 3 มี.ค. นั้น (อ่านเอกสารที่เกี่ยวข้อง)ทั้งนี้เรื่องหนึ่งที่มีการพิจารณาได้แก่ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงกลาโหม (กห.) ปรับเพิ่มอัตราเบี้ยเลี้ยงทหาร เบี้ยเลี้ยงผู้ต้องขังหรือผู้ถูกควบคุมตัว และค่าอาหารผู้เจ็บป่วย เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 28 เว้นอัตราเบี้ยเลี้ยงทหารกองประจำการ  กรณีไปปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามนอกที่ตั้งปกติ หรือไปปฏิบัติราชการพิเศษเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ให้ได้รับอัตราเบี้ยเลี้ยงเพิ่มขึ้น จากเดิมวันละ 94 บาท เป็นวันละ 200 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 โดยมีรายละเอียดการปรับอัตราเบี้ยเลี้ยงดังนี้

000

สาระสำคัญของเรื่อง

กห. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้อัตราเบี้ยเลี้ยงทหาร เบี้ยเลี้ยงผู้ต้องขังหรือผู้ถูกควบคุมตัว และค่าอาหารผู้เจ็บป่วย มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงสมควรปรับอัตราเพิ่มขึ้นดังนี้

1. กลุ่มที่ 1 กำลังพลที่ปฏิบัติงานในสถานการณ์ปกติให้ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค (ร้อยละ 18) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าดำเนินการและการจัดหาในท้องถิ่น (ร้อยละ 10) ดังนี้

1.1 อัตราเบี้ยเลี้ยงสำหรับพลทหาร หรือสิบตรี จ่าตรี และจ่าอากาศตรีกองประจำการ และนักเรียนทหาร ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะบรรจุเป็นนายทหารประทวน

(1) เบี้ยเลี้ยงประจำ จาก 75 บาทต่อวัน เป็น 96 บาทต่อวัน
(2) เบี้ยเลี้ยงกรณีเดินทางไปราชการนอกที่ตั้งปกติจาก 94 บาทต่อวัน เป็น 120 บาทต่อวัน

1.2 อัตราเบี้ยเลี้ยงประจำสำหรับนักเรียนช่างฝีมือทหารและนักเรียนช่างกรมอู่ทหารเรือ จาก 87 บาทต่อวัน เป็น 111 บาทต่อวัน

1.3 อัตราเบี้ยเลี้ยงประจำสำหรับนักเรียนทหาร ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะบรรจุเป็นนายทหารสัญญาบัตร อัตราเบี้ยเลี้ยงสำหรับนักศึกษาวิชาทหารหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน และอัตราเบี้ยเลี้ยงสำหรับนักเรียนเตรียมทหาร จาก 106 บาทต่อวัน เป็น 120 บาทต่อวัน

1.4 อัตราเบี้ยเลี้ยงผู้ต้องขังและผู้ถูกควบคุมตัว จาก 52 บาทต่อวัน เป็น 67 บาทต่อวัน

1.5 ค่าอาหารผู้เจ็บป่วย จาก 75 บาทต่อวัน เป็น 96 บาทต่อวัน

2. กลุ่มที่ 2 กำลังพลที่ปฏิบัติงานนอกที่ตั้งปกติตามแผนงานป้องกันประเทศ ได้แก่ เบี้ยเลี้ยงทหารกองประจำการ กรณีไปปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามนอกที่ตั้งปกติหรือไปปฏิบัติราชการพิเศษเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ จาก 94 บาทต่อวัน เป็น 200 บาทต่อวัน โดยเปรียบเทียบกับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของข้าราชการทหาร ซึ่งกำหนดอัตราเบี้ยเลี้ยงข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก อัตราเงินเดือน พันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษขึ้นไป 270 บาทต่อวัน และข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอกลงมา 240 บาทต่อวัน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาวะการทำงานประชากรไทย ม.ค. 58 มีผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นคน

$
0
0

สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจพบว่าไทยมีกำลังแรงงาน 38.01 ล้านคน ผู้ว่างงานเดือนมกราคม 4.04 แสนคน เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อนมีผู้ว่างงาน 3.61 แสนคน

3 มี.ค. 2558 - ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (3 มี.ค.) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมกราคม พ.ศ. 2558 โดยมีรายละเอียดดังนี้

000

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทำการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเป็นประจำทุกเดือน โดยสอบถามประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่าง ทุกจังหวัดทั่วประเทศมีครัวเรือนตกเป็นตัวอย่าง 27,960 ครัวเรือนต่อเดือน คิดเป็นจำนวนประชากรที่ตกเป็นตัวอย่างทั้งสิ้นประมาณ 97,860 คน ซึ่งขนาดตัวอย่างดังกล่าวนำเสนอข้อมูลในระดับ ภาค และยอดรวมทั้งประเทศ  สำหรับแนวคิดและคำนิยามที่ใช้ในการสำรวจใช้ตามสภาพที่เหมาะสมกับประเทศไทย และตามข้อเสนอแนะขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และหน่วยงานสหประชาชาติ (UN) ซึ่งเป็นมาตรฐานทางสถิติที่ประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ในการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเพื่อให้ได้ข้อมูลการทำงาน การว่างงาน และการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของประชากร ที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ในระหว่างประเทศ

สำหรับในเดือนมกราคม พ.ศ. 2558 ในภาพรวมสถานการณ์แรงงานมีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นคน (จาก 3.61 แสนคน เป็น 4.04 แสนคน) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557  หากเปรียบเทียบกับช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 1.84 แสนคน (จาก 2.20 แสนคน เป็น 4.04 แสนคน) สำหรับสาระสำคัญการสำรวจสรุปได้ ดังนี้

1. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน

ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น 38.01 ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 37.36 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.04 แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล 2.47 แสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน  มีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 จำนวน 4.2 แสนคน (จาก 38.43 ล้านคน เป็น 38.01 ล้านคน)

2. ผู้มีงานทำ

ผู้มีงานทำ 37.36 ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 จำนวน 4.3 แสนคน (จาก 37.79   ล้านคน เป็น 37.36 ล้านคน) หรือลดลงร้อยละ 1.1 ซึ่งมีผู้ทำงานเพิ่มขึ้นและลดลง ในสาขาต่างๆ ได้ดังนี้

2.1 ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น  ได้แก่ สาขาการผลิต 3.5 แสนคน (จาก 6.30 ล้านคน เป็น 6.65   ล้านคน) สาขาการก่อสร้าง 1.0 แสนคน (จาก 2.18 ล้านคน เป็น 2.28 ล้านคน) สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ 4.0 หมื่นคน   (จาก 0.17 ล้านคน เป็น 0.21 ล้านคน) สาขากิจกรรมด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ 3.0 หมื่นคน (จาก 0.64 ล้านคน เป็น 0.67 ล้านคน)

2.2 ผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาภาคเกษตรกรรม 4.8 แสนคน (จาก 11.71 ล้านคน เป็น 11.23 ล้านคน) สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ 4.2 แสนคน (จาก 6.71 ล้านคน เป็น 6.29 ล้านคน) สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า 7.0 หมื่นคน (จาก 1.28 ล้านคน เป็น 1.21 ล้านคน) สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย 6.0 หมื่นคน (จาก 0.59 ล้านคน เป็น 0.53 ล้านคน) สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร 5.0 หมื่นคน (จาก 2.69 ล้านคน เป็น 2.64 ล้านคน)

3. ผู้ว่างงาน

3.1 ผู้ว่างงานทั่วประเทศมีจำนวน 4.04 แสนคน  คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.1 ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557) ประกอบด้วย  ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนจำนวน 1.64 แสนคน  อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนจำนวน 2.40 แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคบริการและการค้า 1.19 แสนคน ภาคการผลิต 7.8 หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม 4.3   หมื่นคน

3.2 ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา 1.44 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 9.5 หมื่นคน ผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 6.6 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 5.0 หมื่นคน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4.9 หมื่นคน  

3.3 ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง 1.41 แสนคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.7 หมื่นคน ภาคเหนือ 6.2 หมื่นคน กรุงเทพมหานคร 5.8 หมื่นคน และภาคใต้ 5.6 หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงาน ภาคกลางมีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อยละ 1.2 รองลงมาเป็น กรุงเทพมหานครและภาคใต้ มีอัตราการว่างงานเท่ากันคือ ร้อยละ 1.1 ภาคเหนือ ร้อยละ 1.0  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 0.9

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปน.ร่อนหนังสือเบรค กอ.รมน.-ป่าไม้โคราช-ออป.ไล่รื้อชุมชน

$
0
0

สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ส่งหนังสือขอความร่วมมือส่วนราชการชะลอการดำเนินการไล่รื้อชุมชนโคกยาว ชุมชนเพิ่มทรัพย์ และโคกหนองสิม ให้พิจารณาแผนจัดการที่ดินและทรัพยากรอย่างยั่งยืนโดยชุมชน

3 มี.ค.2558 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) แจ้งหน่วยงานรัฐ ขอความร่วมมือชะลอการดำเนินการใดๆ ที่อาจให้เกิดความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตตามปกติสุขของประชาชน กรณีคำสั่งไล่รื้อชุมชนโคกยาว จ.ชัยภูมิ กรณีชุมชนเพิ่มทรัพย์  จ.สุราษฎร์ธานี และกรณีปัญหาที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม จ.ร้อยเอ็ด และให้พิจารณาแผนจัดการที่ดินและทรัพยากรอย่างยั่งยืนโดยชุมชน

สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) และผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 เรื่องการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม โดยกล่าวถึงกรณีที่ได้รับการประสานงานจากนายประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ขอเข้าพบรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อปรึกษาหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการไล่รื้อชุมชนในพื้นที่ในอีสานและภาคใต้ ได้แก่ 1. ชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 2. ชุมชนเพิ่มทรัพย์ ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี 3. ปัญหาที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม ต.โพนสูง อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด และหารือเรื่องโครงการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนโดยชุมชน

ในหนังสือระบุถึง การประชุมปรึกษาหารือร่วมกับ ขปส. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีนายกมล สุขสมบูรณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายจากหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ที่ห้องประชุม 2 ชั้น 2 อาคารสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เดิม โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้

กรณีปัญหาชุมชนโคกยาว ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจาก ขปส. แจ้งว่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) มีคำสั่งให้ภาคประชาชนออกจากชุมชนภายใน 15 วัน ซึ่งภาคประชาชนได้ยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) จึงมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประสานสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ตามหนังสือที่ นร.0105/04/1701 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ขอความร่วมมือชะลอการดำเนินการใดๆที่อาจเป็นมูลเหตุให้เกิดความขัดแย้ง หรืออาจให้เกิดความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตตามปกติสุข และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐตามวิถีปกติไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการพิจารณาของส่วนราชการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ตามแต่กรณีจะมีผลเป็นที่ยุติต่อไป เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินงานโครงการโฉนดชุมชน

กรณีชุมชนเพิ่มทรัพย์  และกรณีปัญหาที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม ที่ประชุมได้พิจารณากรณีปัญหาเรื่องด่วน และปัญหาความเดือดร้อนกรณีอื่นๆ ของ ขปส. แล้วมีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามหนังสือที่ นร.0105.04/1697 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ดังนี้

กรณีชุมชนเพิ่มทรัพย์  เนื่องจาก ขปส. แจ้งว่า ปัจจุบันสมาชิกไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัย ดูแล และเก็บผลอาสินในพื้นที่ได้ จึงมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และจังหวัดสุราษฎร์ธานี พิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยอนุญาตให้ประชาชน เข้าไปดูแลและเก็บผลอาสินในพื้นที่ได้ในช่วงเวลากลางวัน

และกรณีปัญหาที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม เนื่องจาก ขปส. แจ้งว่า วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง มีคำสั่งให้ภาคประชาชนออกจากที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม จึงมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และจังหวัดร้อยเอ็ด ขอความร่วมมือชะลอการดำเนินการใดๆที่อาจเป็นมูลเหตุให้เกิดความขัดแย้ง หรืออาจให้เกิดความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตตามปกติสุข และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐตามวิถีปกติไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการพิจารณาของส่วนราชการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ตามแต่กรณีจะมีผลเป็นที่ยุติต่อไป

สำหรับการมายื่นหนังสือเพื่อขอให้พิจารณาสั่งการเพื่อยกเลิกหนังสือคำสั่งบังคับให้ออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุดนั้น ทางชุมชนโคกยาว และชุมชนบ่อแก้ว ร่วมยื่นหนังสือขอให้พิจารณารับรองแผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนโดยชุมชน แนบไปด้วย ในที่ประชุมดังกล่าว ได้พิจารณากรณีปัญหาชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ แล้วเห็นว่า (ตามหนังสือ ที่ นร.0105.04/1700 ลงวันที่ 25 ก.พ.58) เนื่องจากขณะนี้ชุมชนบ่อแก้ว อยู่ระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหาร่วมกับขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) และ ขปส. จึงมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำส่งข้อมูลโครงการฯ ดังกล่าว ให้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ พิจารณาต่อไป

สืบเนื่องจาก วันที่ 6 ก.พ. 58  เจ้าหน้าที่สนธิกองกำลังทหาร ตำรวจ ป่าไม้ จำนวนประมาณ 100 นาย เข้ามาปิดป้ายหนังสือประกาศ โดยคำสั่งที่ ทส.1621.4/2404 ลงวันที่ 26 ม.ค.2558 เรื่อง สั่งให้ผู้ถือครองพื้นที่ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ หรืองดเว้นการกระทำใดๆ หรือรื้อถอน หรือแก้ไข ทำประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตราย หรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และให้รื้อถอนสิ่งปลุกสร้าง พืชผลอาสินทั้งหมดออกจากป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่มีคำสั่ง ทั้งนี้ผู้เดือดร้อนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง ภายใน 15  วัน นับแต่วันได้รับคำสั่ง

วันที่ 16 ก.พ.58 ผู้เดือดร้อนได้ร่วมเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ 8 หน่วยงานภาครัฐ โดยเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ(ศูนย์ดำรงธรรม) เพื่อขอเข้าพบและยื่นหนังสือต่อ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ และ พล.ต.มารุต ลิ้มเจริญ (ผบ.กกล.รส.จว.ชย)โดยทาง เลขาฯ ผบ.กกล.รส.จว.ชย (พ.ต.สุรขัย ชอบยิ่ง) เป็นตัวแทนรับหนังสือ และยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 โดยทางเลขาฯกองอำนวยการสำนักจัดการป่าไม้ที่ 8 เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ

วันที่ 17 ก.พ.58 เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กสม.) และที่สำนักงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) โดยคุณ ยู คาโนะสุเอะ เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชน  เป็นตัวแทนรับหนังสือ และที่กระทรวงทรัพยากรฯ โดย นายเกรียงไกร นวนมะณี สร.ทส.(เลขาฯสำนักงานรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติฯ) เป็นตัวแทนรับหนังสือ

นอกจากนี้ได้เดินทางต่อไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา)  และยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม  (หม่อมหลวงปนัดดา ดิสกุล) โดยครั้งนี้ปลัดสำนักสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ

สำหรับการยื่นที่ทำเนียบรัฐบาล นอกจากเพื่อให้ยกเลิกคำสั่งไล่รื้อชุมชนโคกยาว ได้มีการยื่นหนังสือเพิ่มเติมเพื่อติดตามแนวทางแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีในพื้นที่ชุมชนคลองไทรพัฒนา ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี กรณีนายใช่ บุญทองเล็ก อายุ 61 ปี สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ถูกยิงเสียชีวิต โดยตัวแทน สกต.ยื่นหนังสือ เรียกร้องให้หาคนร้าย และช่วยเหลือครอบครัวที่เสียชีวิต รวมทั้งกรณีโคกหนองสิม อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด เนื่องจากวันที่ 12 ก.พ. 2558  เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังเข้ามาในพื้นที่สาธารณประโยชน์โคกหนองสิม ให้ชาวบ้านไปลงชื่อที่ อบต.โพนทอง เพื่อยืนยันถึงการยอมออกจากพื้นที่ภายในวันศุกร์ที่ 13 ก.พ.58




 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มติ ครม. ‘ม.เกษตร-สวนดุสิต’ ออกนอกระบบ ‘ศิลปากร-ธรรมศาสตร์-ขอนแก่น’ จ่อคิว

$
0
0

3 มี.ค.2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังจากนี้ ขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และขอนแก่นจ่อคิวเข้า ครม. ขณะที่มหาวิทยาลัยศิลปากรอยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์รายงานว่า นายกฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ ศธ. เสนอร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ 2 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ซึ่งหลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่วนร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น ขณะนี้ได้ส่งเรื่องไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐคณะรัฐมนตรี (สลค.) แล้ว เพื่อบรรจุเป็นวาระในการประชุม ครม. แต่ไม่ทราบว่าเรื่องจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เมื่อใด ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยศิลปากร อยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี

รมว.ศธ.กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งควบรวมระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ จัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของสถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน โดยมีสถานะนิติบุคคล และเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)   

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์รายงานว่า นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะสมาชิก สนช. กล่าวว่า จากการหารือในเบื้องต้น คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่จะมาดูร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยนอกระบบแต่ละฉบับ จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่างๆ โดย กมธ.การศึกษาและกีฬา สนช. จะเป็นเสียงส่วนใหญ่ และอาจมี กมธ.ชุดอื่นมาร่วมด้วย โดยในส่วนของฝ่ายรัฐบาล จะประกอบด้วยผู้แทนจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และผู้แทนมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าการพิจารณาร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ ควรพิจารณาโดย กมธ. ชุดเดียวกันหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นคิดว่าน่าจะเป็นชุดเดียวกัน เพราะร่าง พ.ร.บ.นอกระบบเป็นกฎหมายลักษณะเดียวกัน และไม่ซับซ้อน  แต่ทางรัฐบาลไม่เห็นด้วย เพราะถ้าเป็นชุดเดียวกันทั้งหมด กมธ.จะทำงานหนักมาก ดังนั้นจึงอาจต้องตั้ง กมธ. ขึ้น 2-3 ชุดเพื่อมาดูแลเรื่องดังกล่าวเพื่อให้เกิดความรอบคอบ

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิจารณ์ Love En Route หนังสั้นส่งเสริมท่องเที่ยวไทย หวั่นสร้างความเข้าใจผิดเรื่องการสต็อกกิ้ง

$
0
0

องค์กรที่ทำประเด็นเรื่องการละเมิดทางดิจิทัลในอังกฤษวิจารณ์หนังสั้นส่งเสริมท่องเที่ยวไทย "Love En Route" ไร้เดียงสาและอาจสร้างความเข้าใจผิดเรื่องการเฝ้าติดตาม (stalking)


3 มี.ค. 2558  องค์กรที่ทำประเด็นเรื่องการละเมิดทางดิจิทัลในอังกฤษวิจารณ์ภาพยนตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย เรื่อง "Love En Route" (เส้นทางรัก) ไร้เดียงสาและอาจสร้างความเข้าใจผิดเรื่องการเฝ้าติดตาม หรือ stalking

ภาพยนตร์สั้นดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักนายกรัฐมนตรีของไทย มีความยาว 7 และ 16 นาที โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มชาวอเมริกันที่เดินทางมาเมืองไทยเพื่อตามหาหญิงเจ้าของแอคเคาท์ Love En Route ในอินสตาแกรม มีฉากหลังเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย ตรัง และกรุงเทพมหานคร

"การเดินทางครั้งนี้ ผมไม่ได้เดินทางตามคำแนะนำของไกด์บุ๊คเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ผมเดินทางตามรอยรูปภาพในอินสตาแกรมที่มีชื่อว่าเลิฟอองรูท สิ่งที่ผมอยากทำในตอนนี้ ก็คือการตามหาผู้หญิงในภาพนี้ หลังจากที่ได้เดินทางตามรอยเธอมาถึงขนาดนี้ มันคงจะดี ถ้าเราทั้งคู่พบกัน และเป็นเพื่อนกัน" ชายหนุ่มในหนังเล่า

และเมื่อเขาพบหญิงสาวคนดังกล่าว เขาถามว่าเธอคือ Love En Route หรือไม่ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธแล้ว แต่เขาก็ยังบอกว่าเขาจำแว่นตาและป้ายที่กระเป๋าของเธอได้ ทำให้เธอปฏิเสธอีกครั้งว่า แว่นตานั้นหาได้ทั่วไปและป้ายนั้นก็มีคนให้มา อย่างไรก็ตาม ต่อมา ทั้งสองได้เป็นเพื่อนกันและได้ท่องเที่ยวไทยไปด้วยกัน ก่อนจะจบลงที่หญิงสาวเขียนลงอินสตาแกรมว่า "ฉันออกเดินทางเพื่อจะจำคนๆ หนึ่ง แต่การเดินทางทำให้ฉันได้พบคนอีกคนหนึ่งที่น่าจดจำ คนที่ฉันคิดว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ใช่"

เจนนิเฟอร์ เพอรี่ ผู้บริหารมูลนิธิ Digital-Trust ซึ่งเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดทางดิจิทัลในอังกฤษ วิจารณ์ถึงความใสซื่อของคนทำวิดีโอที่นำเสนอภาพของการเฝ้าติดตาม (stalking) อย่างมีประสิทธิภาพ

เธอชี้ว่า มีแอปพลิเคชันมากมายที่ถูกปรับใช้ในการทำให้คนได้พบกัน แต่ผู้สร้างก็ไม่ควรคิดใช้มันในทางที่ผิด พร้อมระบุว่า เขาไม่ตระหนักเลยว่าเขากำลังป้อนความเชื่อที่ว่ามันโอเคถ้าจะติดตามใครสักคนแม้ว่าเขาจะปฏิเสธแล้ว

เธอกล่าวว่า ชายในวิดีโอพยายามที่จะหาคนรักทางออนไลน์ด้วยการติดตามรอยบุคคลนั้น หลายครั้งผลมันอาจจะออกมาดี แต่ในโลกที่เธอรับมืออยู่ มีคนน่ากลัวและอันตรายมากกว่าที่คิด

"ในความเป็นจริง คนที่รุนแรงและน่ากลัวมาในรูปแบบของคนที่น่าหลงใหลมาก" เพอรี่กล่าวและเสริมด้วยว่า วิดีโอสะท้อนทัศนคติที่ไร้เดียงสาต่อเรื่องความสัมพันธ์และมันอาจจะมีตอนจบที่ต่างออกไปหากมันสะท้อนความเป็นจริง

"มันเป็นมุมมองที่ไร้เดียงสา สะท้อนว่าผู้หญิงอยากจะถูกติดตาม และตราบเท่าที่คุณตื้อและมีเสน่ห์ คุณก็จะเปลี่ยนใจเธอและลงเอยกับเธอในที่สุด เราเห็นเรื่องเหล่านี้ได้ในหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า ซึ่งมันเป็นความเชื่อที่อันตราย" เพอรี่กล่าว


ภาพยนตร์ "เส้นทางรัก"

 

 

เรียบเรียงจาก

Thailand tourism video Love En Route criticised for featuring Instagram stalker
http://www.independent.co.uk/travel/asia/thailand-tourism-video-love-en-route-criticised-for-featuring-instagram-stalker-10075751.html
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พัฒนาแว่นตาแสงอินฟราเรด ป้องกันถูกถ่ายภาพ-ระบบจดจำใบหน้าในเน็ต

$
0
0

บริษัทแอนตี้ไวรัส เอวีจี นำเสนอตัวอย่างแว่นตาแสงอินฟราเรดที่จะสามารถป้องกันระบบการจดจำใบหน้าในอินเทอร์เน็ตได้ ระบุแม้อยู่ในขั้นทดลองและยังมีข้อจำกัดการใช้งาน แต่หวังว่าจะช่วยสร้างการถกเถียงเรื่องการลุกล้ำความเป็นส่วนตัวด้วยเทคโนโลยี

3 มี.ค. 2558 ในขณะที่หลายคนรู้สึกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันเริ่มล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวมากขึ้นทั้งระบบจดจำหน้าตาในโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมถึงวัฒนธรรมแบบ "มนุษย์กล้อง" ทำให้บริษัทเอวีจีผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการถูกถ่ายภาพใบหน้าได้

บริษัท เอวีจี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเนเธอร์แลนด์ และมีผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์มากกว่า 188 ล้านราย ระบุว่าทีมฝ่ายนวัตกรรมของบริษัทได้พัฒนาแว่นตาที่จะสามารถต่อต้านการถูกถ่ายภาพและการจดจำใบหน้าได้ โดยแว่นตาดังกล่าวจะใช้การติดหลอดแอลอีดีฉายแสงอินฟราเรดในระดับที่สายตามนุษย์มองไม่เห็นแต่จะส่งผลต่อกล้องถ่ายรูปทำให้เห็นหน้าได้ชัดเจนน้อยลงเพราะมีแสงจากแว่นตา

ในเว็บไซต์ของเอวีจีระบุว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เกิดความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันโครงการข้อมูลไอทีขนาดใหญ่ เช่น โครงการสตรีทวิวของกูเกิล อาจจะทำให้ใบหน้าของพวกเราปรากฏในพื้นที่สาธารณะทางอินเทอร์เน็ตได้ รวมถึงระบบการจดจำใบหน้าเช่น โปรแกรมดีพเฟซ ของเฟซบุ๊ก ที่ทำให้บรรษัทเอกชนมีอำนาจในการจดจำและเชื่อมโยงใบหน้าของพวกเราได้

นิตยสารป็อบปูลาร์ไซเอนซ์ ระบุว่าเคยมีแนวคิดแบบเดียวกันเกิดขึ้นมาก่อนโดยนักพัฒนา อิซาโอะ อิจิเซน จากสถาบันสารสนเทศแห่งชาติของญี่ปุ่น แต่รูปลักษณ์ของมันดูไม่ใกล้เคียงกับแว่นตาทั่วไปในชีวิตประจำวัน


อิซาโอะ อิจิเซน จากสถาบันสารสนเทศแห่งชาติของญี่ปุ่นแนะนำแว่นป้องกันระบบจดจำใบหน้า
เครดิต : DigInfo TV

อิจิเซนกล่าวไว้ในสื่อเมื่อปี 2556 ว่า การสวมแว่นตาดำไม่เพียงพอต่อการป้องกันโปรแกรมจดจำใบหน้าได้ เพราะโปรแกรมจดจำใบหน้าจะบันทึกข้อมูลของจมูกด้วย แต่เทคโนโลยีการฉายแสงอินฟราเรดนี้จะรบกวนระบบจดจำใบหน้าเนื่องจากทำให้ความเข้มของแสงในส่วนดวงตาและจมูกมีความต่างกัน อย่างไรก็ตามระบบอินฟราเรดดังกล่าวจะยังมีข้อเสีย ถ้าหากเจออุปกรณ์ถ่ายภาพที่สามารถกรองรังสีอินฟราเรดได้

ทั้งนี้ แว่นตาแสงอินฟราเรดดังกล่าวยังอยู่ในระดับการทดลองและมีการนำเสนอตัวอย่างในงานประชุมทางเทคโนโลยีระดับโลกที่บาร์เซโลนาเท่านั้น ทางเอวีจีระบุว่าแว่นตาดังกล่าวอาจจะยังไม่มีการวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นการกระตุ้นให้มีการสนทนากันในเรื่องความพยายามลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเทคโนโลยีไอทีในปัจจุบันและจะมีการรับมือหรือตอบโต้สิ่งเหล่านี้ด้วยเทคโนโลยีได้อย่างไร

 


เรียบเรียงจาก

THESE GLASSES BLOCK CAMERAS FROM RECOGNIZING YOUR FACE, Popular Science, 03-03-2015
http://www.popsci.com/concept-glasses-stop-cameras-recognizing-your-face

AVG Reveals Invisibility Glasses at Pepcom Barcelona, AVG, 01-03-2015
http://now.avg.com/avg-reveals-invisibility-glasses-at-pepcom-barcelona/

Privacy visor glasses jam facial recognition systems to protect your privacy, DigInfo.tv, 19-03-2013
http://www.diginfo.tv/v/13-0050-r-en.php

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานกุมภาพันธ์ 2015

$
0
0

แม่บ้านในหน่วยงานรัฐของกรีซเฮ รัฐบาลชุดใหม่ประกาศจ้างกลับเข้าทำงานอีกครั้ง หลังรัฐบาลชุดก่อนเลิกจ้าง

1 ก.พ. 2015 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเอเธนส์ประเทศกรีซว่าเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของรัฐบาลที่ถูกปลดออกจากงานในกรีซออกมาฉลองเมื่อวันพุธหลังจากทราบข่าวว่าพวกเธากำลังจะได้รับกลับเข้าทำงานเหมือนเดิมโดยเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเกือบ600 คนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงชุมนุมกันด้านนอกกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจตั้งแต่พวกเธอได้รับแจ้งว่าถูกเลิกจ้างในปี2556 ซึ่งตั้งแต่นั้นมาพวกเธอก็ได้ตั้งแคมป์ปักหลักประท้วงกันอยู่ด้านนอกกระทรวงเศรษฐกิจขณะที่คำอุทธรณ์ของพวกเธอที่ระบุว่าการถูกเลิกจ้างดังกล่าวไม่ยุติธรรม ไปถึงศาลสูงสุดแล้วแต่พวกเธอก็แพ้คดี

ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานภายในอาคารของกระทรวงต่างๆ แต่การสูญเสียงานเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการเลิกจ้างตามคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลกรีซชุดก่อนให้คำมั่นไว้กับเจ้าหนี้ระหว่างประเทศซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเงินกู้จำนวนมหาศาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

พวกเธอกล่าวเมื่อวันพุธว่าดีใจมากที่ได้ทราบว่าพวกเธอจะได้รับกลับเข้าไปทำงานเหมือนเดิมซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวก็หมายถึงบ้านและครอบครัวก็ยินดีด้วยและพวกเราก็มีความฝันอีกครั้ง

แรงงานที่ปักหลักประท้วงอยู่ด้านนอกกระทรวงการคลังซึ่งเมื่อนายยานิส วารูฟาคิสรัฐมนตรีคลังคนใหม่ เดินทางมาถึงเขาก็ถูกจูบและได้รับเสียงปรบมือระหว่างทางที่เดินเข้าอาคารของกระทรวงซึ่งถูกรุมล้อมด้วยผู้ประท้วงและนักข่าว

นายวารูฟาคิสกล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเข้ารับตำแหน่งต่อจากศาสตราจารย์กีคัสฮาร์ดูเวลิส ว่าจะมีการปรับโครงสร้างที่กระทรวงการคลังทันทีซึ่งหนึ่งในการเคลื่อนไหวแรกจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายที่กระทรวงทันทีตัวอย่างเช่นจำนวนที่ปรึกษาและการลดค่าใช้จ่ายนี้จะนำเงินที่เหลือไปจ้างเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดกลับมาทำงานที่กระทรวงมันจะเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง

สหภาพแรงงานน้ำมันสหรัฐสไตรค์วันที่ 2 หวังฝ่ายบริหารทำสัญญาฉบับใหม่ทั่วประเทศ

2 ก.พ. 2015 คนงานของสหภาพแรงงานในโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานเคมีภัณฑ์ 9 แห่ง ทำการผละงานประท้วงเป็นวันที่ 2 ในวันนี้ ขณะที่ต้องการทำสัญญาฉบับใหม่ทั่วประเทศกับบรรดาบริษัทน้ำมันซึ่งจะครอบคลุมถึงพนักงานในโรงงานน้ำมันถึง 63 แห่ง

การเจรจาระหว่างสหภาพแรงงานและฝ่ายบริหารของบริษัทน้ำมันไม่มีความคืบหน้า ท่ามกลางการดิ่งลงของราคาน้ำมันถึงเกือบ 60% นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้บริษัทน้ำมันปรับลดค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำมัน

การประท้วงดังกล่าวถือเป็นการแสดงออกครั้งแรกเพื่อสนับสนุนการทำสัญญาทั่วประเทศนับตั้งแต่ปี 1980 โดยพุ่งเป้าไปยังโรงงานน้ำมันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวมกัน 10%

บริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ ประกาศตัดงบรายจ่ายด้านการลงทุน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หลังเผยกำไรลดลงจากการทรุดตัวของราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ เชลล์ ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป แถลงว่า กำไรดิ่งลง 57% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว สู่ระดับ 773 ล้านดอลลาร์ อันเนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมัน

พานาโซนิค บริษัทยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์เตรียมยุบโรงงานในจีนและเม็กซิโก

3 ก.พ. 2015 หนังสือพิมพ์ ‘นิกเกอิ’ ของญี่ปุ่น รายงานข่าวว่า พานาโซนิค บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ จะทยอยปิดโรงงานในประเทศจีน และเม็กซิโก หลังจากประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก จากยอดขายโทรทัศน์ในอเมริกาเหนือ และจีนที่ลดลงอย่างมาก

ซึ่งการปิดโรงงานในทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว จะส่งผลให้ พานาโซนิค มีกำลังการผลิตโทรทัศน์ในต่างประเทศลดลงถึง 700,000 เครื่องต่อปี หรือคิดเป็น 10% ของกำลังการผลิตโทรทัศน์ทั้งหมดทั่วโลกของบริษัท

โดยที่มณฑล ซานตง ในจีน พานาโซนิค ได้ยุติการผลิตในโรงงานของบริษัทร่วมทุนไปเมื่อปลายเดือนมกราคม และมีแผนสร้างสภาพคล่อง ด้วยการเลิกจ้างพนักงานอีกหลายร้อยอัตรา โดยจะจ้างบริษัทนอกผลิตโทรทัศน์แทนปีละ 200,000 เครื่อง

ขณะที่ภายในปลายปีนี้ พานาโซนิค จะขายโรงงานในเม็กซิโก ที่ผลิตโทรทัศน์ได้ปีละ 500,000 เครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐ และจะหันไปเน้นผลิตโทรทัศน์รุ่นหน้าจอความคมชัดสูง และรุ่นราคาแพงสำหรับตลาดบนต่อไป

ทั้งนี้ปัจจุบัน พานาโซนิค กำลังดิ้นรนเพื่อกระตุ้นรายได้ในธุรกิจโทรทัศน์ ซึ่งประสบภาวะขาดทุนมาตลอด 6 ปี โดยในปีงบการเงินปีล่าสุด สิ้นสุดเดือนมีนาคมปี 57 พานาโซนิค ขาดทุนไปถึง 46,500 ล้านเยน หรือราว 12,740 ล้านบาท

พนักงานขับรถโดยสารเฮติประท้วงรัฐบาล เรียกร้องให้ลดราคาน้ำมันภายในประเทศ

3 ก.พ. 2015 กลุ่มพนักงานขับรถโดยสารเฮติจำนวนมากรวมตัวกันประท้วงรัฐบาล เรียกร้องให้ลดราคาน้ำมันภายในประเทศ เบื้องต้นมีรายงานผู้บาดเจ็บ 3 คน โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เผายางรถยนต์ และทำลายรถยนต์ที่จอดอยู่ในพื้นที่ชุมนุม รวมถึงนำกิ่งไม้มาวางกั้นบริเวณท้องถนนเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาสลายการชุมนุม

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจเฮติได้เปิดฉากยิงและใช้แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ชุมนุมพนักงานขับรถโดยสารในประเทศ หลังออกมารวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลลดราคาน้ำมันลง โดยมีรายงานว่าจากปฏิบัติการสลายการชุมนุมดังกล่าว เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 3 คน

ทั้งนี้การหยุดงานประท้วงของกลุ่มพนักงานขับรถโดยสารส่งผลกระทบต่อระบบคมนาคมภายในประเทศอย่างหนัก เนื่องจากชาวเฮติส่วนใหญ่อาศัยบริการขนส่งมวลชนในการเดินทางเป็นหลัก

ญี่ปุ่นหารือร่วมกันทั้งภาครัฐ และเอกชน เตรียมออกกฎบังคับพนักงาน ลาพักร้อน อย่างน้อย 5 วันต่อปี

4 ก.พ. 2015 ที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนกำลังหารือร่วมกัน ในเรื่องการเตรียมออกกฎที่จะบังคับให้พนักงานลาพักผ่อน หรือ ลาพักร้อน โดยได้รับเงินเดือนอย่างน้อย 5 วันต่อปี โดยหวังว่าจะสามารถบรรเทาความเครียดทั้งร่างกาย และจิตใจ

โดยคนญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นคนทำงานที่มีวันทำงานมากที่สุดต่อปีประเทศหนึ่งในโลก แถมยังมีชั่วโมงทำงานต่อวันที่ยาวนาน โดยหลังจากการสำรวจของกระทรวงแรงงานญี่ปุ่น พบว่าคนทำงานส่วนใหญ่ใช้วันลาพักผ่อนประจำปี หรือลาพักร้อนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสิทธิที่มี โดยมีการลาพักผ่อนเฉลี่ยเพียง 9 วันเท่านั้น จากจำนวนวันที่ลาได้ทั้งหมด 18 วัน

เจ้านายจีนจัดกิจกรรมล้างเท้าให้พนักงาน ตอบแทนที่ทำงานเหนื่อยหนักมาตลอดทั้งปี

4 ก.พ. 2015  เว็บไซต์ gbtimes  รายงานว่า พนักงานบริษัทไอทีแห่งหนึ่งในประเทศจีน ได้รับโบนัสจากเจ้านายแบบเป็นเกียรติอย่างมาก เมื่อเจ้านายของพวกเขาได้จัดการล้างเท้าให้ ด้วยเหตุผลว่าอยากทำอะไรตอบแทนการทำงานหนักของลูกน้อง

รายงานระบุว่า บริษัทไอทีแห่งนี้ได้จัดกิจกรรมเจ้านายล้างเท้าให้ลูกน้องขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนายเจียว ซีอีโอที่ล้างเท้าให้กับพนักงานได้เปิดเผยว่า เขาเองเป็นหนึ่งในเจ้านายหลายคนในบริษัทที่ล้างเท้าให้ลูกน้อง ซึ่งที่ทำแบบนี้ ก็เพราะว่า นอกจากพนักงานจะได้รับโบนัสตามปกติแล้ว พวกเขาก็ควรจะได้รับอะไรที่มากกว่านั้นเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนการทำงานอย่างหนักมาตลอดปีด้วย

"ถ้าคุณไม่คิดว่าพนักงานเป็นคนในครอบครัวจริง ๆ ภาพแบบนี้จะไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยนะ แต่ถ้าหากคุณคิดว่าพวกเขาเสมือนคนในครอบครัว การล้างเท้าให้พวกเขานับว่าเป็นเรื่องปกติ" นายเจียว กล่าว

อินโดนีเซียประท้วงมาเลเซียอย่างเป็นทางการ แสดงความไม่พอใจที่โฆษณาเครื่องดูดฝุ่นของบริษัทแห่งหนึ่งมีข้อความดูถูกแรงงานแม่บ้านชาวอินโดนีเซีย

5 ก.พ. 2015 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ว่าสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลมาเลเซีย เพื่อให้พิจารณาโฆษณาเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติของบริษัท "โรโบว็อก" โดยเร็วที่สุด หลังบริษัทประชาสัมพันธ์คุณภาพสินค้าของตัวเองด้วยข้อความว่า "ไล่แม่บ้านชาวอินโดนีเซียออกได้เลย" อีกทั้งยังขีดเส้นใต้คำว่า "แม่บ้านชาวอินโดนีเซีย" เป็นเชิงเน้นด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูหมิ่นและทำร้ายจิตใจของชาวอินโดนีเซียอย่างมาก
นอกจากนี้ เนื้อหาในจดหมายร้องเรียนเผยเรื่องการเตรียมดำเนินคดีทางกฎหมายกับบริษัทโรโบว็อก ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย มีกำหนดเดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์อย่างเป็นทางการ ในช่วงเย็นของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น

แม้มีรายงานว่าบริษัทถอดโฆษณาตัวอื้อฉาวนี้ออกจากสื่อทุกแขนงแล้ว แต่ยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการจากผู้เกี่ยวข้อง ปัจจุบันมาเลเซียมีแรงงานแม่บ้านชาวอินโดนีเซียอยู่ราว 400,000 คน และทั้งสองประเทศเคยผิดใจกันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2555 หลังบริษัทจัดหางานแห่งหนึ่งในมาเลเซียโฆษณาด้วยประโยคที่ว่า "ลดราคาแม่บ้านอินโดนีเซีย!" จนรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองประเทศต้องโทรศัพท์สายด่วนปรับความเข้าใจกันอยู่นาน

ซีเมนส์ ยืนยันแผนการปลดพนักงาน 7,800 ตำแหน่งทั่วโลก หรือราว 2% ของยอดรวมพนักงานทั้งหมดของบริษัท

9 ก.พ. 2015 ธุรกิจยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมนี "ซีเมนส์" ยืนยันแผนการปลดพนักงาน 7,800 ตำแหน่งทั่วโลก หรือราว 2% ของยอดรวมพนักงานทั้งหมดของบริษัท ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายของการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแม้ข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆ นี้ จะแสดงให้เห็นว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนี ปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม

บริษัทด้านวิศวกรรมรายใหญ่สุดของยุโรปรายนี้ เริ่มยกเครื่องธุรกิจมาสักพักหนึ่งแล้ว เพื่อทำให้โครงสร้างการบริหารจัดการกระชับขึ้น และเร่งขั้นตอนการตัดสินใจให้รวดเร็วขึ้น โดยซีเมนส์บอกด้วยว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ จะทำให้บริษัทประหยัดเงินไปได้ราว 1,000 ล้านยูโร

แต่บรรดานักวิเคราะห์กลับมองว่า ตัวเลขที่แท้จริงอาจจะน้อยกว่านี้  โดยนักวิเคราะห์ตลาด จากไอจี "นายอลาสแตร์ แมคเคก" มองว่า การเลิกจ้างของซีเมนส์แทบไม่มีผลอะไรเลย เพราะในเวลาเดียวกับที่บริษัทประกาศปลดพนักงานนั้น ตัวเลขการจ้างงานใหม่ของบริษัทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มียอดรวมอยู่ที่ราว 11,000 คน สูงกว่าการเลิกจ้างข้างต้น และหากซีเมนส์ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมอะไรอีก สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัทก็คือ จำนวนพนักงานที่เพิ่มมากขึ้น

ที่ผ่านมา ซีเมนส์ ซึ่งผลิตสินค้าหลากหลายประเภท ไล่ตั้งรถไฟ ไปจนถึง กังหันลม ต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อฟื้นฟูกำไร แม้ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรม และคำสั่งซื้อในบ้านเกิดจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

อย่างไรก็ดี หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารซีเมนส์ "นายโจ เคเซอร์" แสดงความมั่นใจว่า บริษัทของเขาจะสามารถลดช่องว่างในการทำรายได้ กับบรรดาคู่แข่งอย่างเจนเนอรัล อิเลคทริค หรือจีอี ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐ และเอบีบี ของสวิตเซอร์แลนด์ ลงมาได้

ศาลฮ่องกงพิพากษาเอาผิด “นายจ้างหญิง” 18 กระทง ฐานทารุณ “แม่บ้านอินโด” ปางตาย

10 ก.พ. 2015 ศาลฮ่องกงได้ตัดสินให้หญิงฮ่องกงคนหนึ่งมีความผิดฐานทารุณกรรมแม่บ้านชาวอินโดนีเซีย ในคดีที่สื่อทั่วโลกจับตามอง ทั้งยังจุดประกายให้นานาประเทศพากันโกรธแค้น
       
ผู้พิพากษาอแมนดา วูดค็อก ประกาศ “ให้จำเลยถูกควบคุมตัวเพื่อรอการลงโทษ” ภายหลังการประกาศคำตัดสินในห้องพิจารณาคดีที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนว่า หลอ วันตุง ผู้เป็นนายจ้างของแม่บ้านแดนอิเหนาผู้เคราะห์ร้ายมีความผิด 18 กระทงจากทั้งหมดที่อัยการส่งฟ้อง 20 กระทง เป็นต้นว่า ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส และข่มขู่คุกคาม

“ดิฉันมั่นใจว่าเธอพูดความจริง” ผู้พิพากษาวูดค็อกกล่าวถึง เออร์เวียนา ซูลิสเตียนิงซิห์ อดีตลูกจ้างของหลอ ผู้ให้การต่อศาลว่าถูกหลอ “ทรมาน” โดยรายงานข่าวระบุว่า นายจ้างหญิงวัย 44 ปีของเธอ คว้าข้าวของภายในบ้านไม่ว่าจะเป็นไม้ถูพื้น ไม้บรรทัด หรือไม้แขวนเสื้อ มาเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ซูลิสเตียนิงซิห์
       
สุลิสเตียนิงซิห์ ผู้มีสีหน้าเบิกบานสวมเสื้อยืดดำสกรีนรูปใบหน้าของเธอ ตลอดจนคำว่า “ความยุติธรรม” กล่าวกับเอเอฟพีหลังศาลอ่านคำพิพากษาว่า เธอก็ “มีความสุขมาก” ก่อนจะหันไปสวมกอดกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิที่อยู่ยืนใกล้ๆ
       
ในขณะเดียวกัน หลอ คุณแม่ลูกสองชาวฮ่องกงได้แต่ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมอย่างสงบเสงี่ยมข้อกล่าวหาที่เธอได้รับนั้นมีดังเช่น ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสโดยเจตนา ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ และไม่จ่ายค่าแรง ส่วนความผิดอีก 2 กระทงที่ศาลประกาศให้เธอพ้นผิดนั้นเกี่ยวพันกับการละเมิดสิทธิของแม่บ้านชาวอินโดนีเซียอีก 2 คนที่เข้าไปทำงานก่อนหน้านั้น
       
ทั้งนี้ คดีของสุลิสเตียนิงซิห์ได้จุดชนวนให้แรงงานข้ามชาติในย่านธุรกิจของฮ่องกงออกมารวมตัวประท้วง ตลอดจนยังสะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของแม่บ้านชาวต่างชาติในทวีปเอเชีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง ภายหลังที่มีรายงานว่าแรงงานกลุ่มนี้ถูกกระทำทารุณ หรือกระทั่งถูกสังหาร
       
เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว นิตยสารไทม์ได้ยกย่องแม่บ้านชาวอินโดนีเซียผู้นี้เป็น 1 ใน 100 บุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของโลกประจำปี 2014 เช่นเดียวกับ มาลาลา ยูซาฟไซ เด็กหญิงชาวปากีสถานที่ถูกตอลิบานยิงศีรษะ และ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้เปิดโปงโครงการสอดแนมของสหรัฐฯ
       
ไทม์ยกย่องความกล้าหาญของซูลิสเตียนิงซิห์ วัย 23 ปีที่ออกมาเปิดโปงการกระทำของนายจ้าง และผลักดันให้รัฐบาลฮ่องกงออกกฎหมายคุ้มครองสวัสดิภาพชาวต่างชาตินับแสนคนที่เข้าไปทำงานเป็นคนรับใช้ภายในบ้าน

ครูเม็กซิโกปิดถนนเรียกร้องโบนัส-เงินเดือนที่ยังไม่ได้รับ

10 ก.พ. 2015 กลุ่มครูในเมืองเม็กซิโกชุมนุมปิดถนนกลางกรุงเม็กซิโกซิตีเมืองหลวง เพื่อประท้วงระบบการศึกษาของประเทศ รวมทั้งเรียกร้องให้ปรับปรุงสภาพการทำงาน และเรียกร้องเงินเดือนให้ครูกว่า 9,000 คน ที่ยังไม่ได้รับเงินเดือนและโบนัส แกนนำครูยังเรียกร้องให้สหภาพแรงงานอื่นๆ เข้าร่วมการชุมนุม เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับแรงงานทุกสาขาอาชีพ ซึ่งปัจจุบันเม็กซิโกติดอันดับประเทศ ที่ยังประสบปัญหาด้านมาตรฐานการศึกษา

สาวสุดซวย โดนไล่ออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน เหตุจากทวิตเตอร์

11 ก.พ. 2015 เว็บไซต์เดลิเมล์ รายงานข่าวกรณีที่สาวเท็กซัสรายหนึ่งซึ่งเธอกำลังจะไปเริ่มงานที่ร้านพิซซ่าเป็นวันแรก แต่ความซวยก็บังเกิดเมื่อ เธอดันมือพล่อยไปทวิตข้อความบนทวิตเตอร์ บ่นว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเป็นการเริ่มต้นงานที่โคตรแย่สุดแน่ๆ

ซึ่งเผอิญว่าพนักงานในร้านพิซซ่าดังกล่าวที่ใช้ทวิตเตอร์มาเห็นพอดีแล้วเอาข้อความไปฟ้องกับเจ้าของร้าน ซึ่งต่อมา ผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @RobertWaple เจ้าของร้านพิซซ่าดังกล่าว ได้ตอบโต้ด้วยการส่งข้อความทวิตกลับไปว่า คุณไม่ต้องมาเริ่มงานแล้ววันนี้ ฉันไล่คุณออก โชคดีกับชีวิตที่ไม่มีงาน และไม่มีเงิน

งานนี้เรียกได้ว่าเจ็บแสบเลยทีเดียว ซึ่งก็กลายเป็นอุทาหรณ์ว่าทุกวันนี้โลกโซเชียล เชื่อมถึงกันหมดจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังกันหน่อย โดยเฉพาะเหล่าบรรดาลูกจ้างที่ชอบระบายเรื่องงานบนโลกโซเชียล อาจจะซวยแบบนี้ได้ ทั้งนี้เรื่องราวดังกล่าวมีคนตั้งข้อสังเกตว่า มันถูกจัดฉากขึ้นมาหรือเปล่า แต่สุดท้ายมันก็ได้รับการยืนยันว่าเจ้าของร้านพิซซ่านี้มีตัวตนอยู่จริง พร้อมกับยืนยันกับคนบนโลกโซเชียลด้วยว่า ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง และที่ไล่ออกก็เพราะว่า งานตำแหน่งของสาวคนนี้เป็นงานที่ง่ายมากแค่คอยรับโทรศัพท์ ทำน้ำสลัด แถมยังได้กินพิซซ่าอีก แค่นี้ยังบ่นเลยแล้วเธอจะทนกับการทำงานได้ยังไง

เกาหลีใต้เผยจ้างงาน ม.ค.ชะลอตัวต่ำสุดใน 20 เดือน ส่งสัญญาณตลาดแรงงานอ่อนแรง

11 ก.พ. 2015 สำนักงานสถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า การขยายตัวของการจ้างงานในเกาหลีใต้ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน บ่งชี้ว่าภาวะตลาดแรงงานที่เคยคึกคักในช่วงก่อนหน้านี้เริ่มสะดุด

รายงานระบุว่า จำนวนผู้มีงานทำในเกาหลีใต้แตะที่ 25.106 ล้านรายในเดือนม.ค. เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 347,000 ราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2556 โดยในครั้งนั้น การจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 265,000 ราย

จำนวนผู้มีงานทำในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นมากกว่า 500,000 รายในเดือนก.ค.และส.ค.ปีที่ผ่านมา แต่ลดลงต่ำกว่าระดับ 500,000 นับตั้งนั้นเป็นต้นมา ก่อนจะลดลงต่ำกว่าระดับ 400,000 ในเดือนม.ค.

สำนักงานสถิติระบุว่า วันขึ้นปีใหม่ของเกาหลีมีผลต่อข้อมูลการจ้างงาน โดยปีที่แล้ว เทศกาลซอลลัลตรงกับช่วงกลางเดือนม.ค. ซึ่งช่วยกระตุ้นการจ้างงานในบางอุตสาหกรรม แต่เทศกาลดังกล่าวตรงกับช่วงกลางเดือนก.พ.ในปีนี้ จึงไม่ส่งผลต่อตัวเลขจ้างงานข้างต้น สำนักข่าวซินหัวรายงาน

บริษัทในสวีเดนผุดเทคโนโลยีฝังชิพไว้ในมือพนักงาน เพื่อใช้เปิดประตูหรือสั่งการอุปกรณ์ต่างๆในออฟฟิศ

11 ก.พ. 2015 บริษัทแห่งหนึ่งในประเทศสวีเดนผุดเทคโนโลยีสุดล้ำ ฝังชิพไว้ในมือพนักงานแทนการใช้บัตรพนักงานแบบเดิม ๆ โดยชิพดังกล่าวเป็นชิพ RFID (radio-frequency identification) ที่มีขนาดเล็กเกือบเท่าเมล็ดข้าว สามารถฝังไว้ใต้ผิวหนังได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสามารถใช้การชูมือหรือโบกมือเพื่อเปิดประตูออฟฟิศ, สั่งการเครื่องถ่ายเอกสาร และอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในออฟฟิศได้ และในอนาคตจะมีการพัฒนาให้สามารถใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้อีก เช่น ชำระค่าอาหารและเครื่องดื่มได้ด้วยการแตะมือ

ทั้งนี้นาย Rory Cellan-Jones ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้ไปเยือนออฟฟิศดังกล่าว พร้อมทั้งทดลองฝังชิพลงในมือของเขาด้วย โดยผู้ที่ทำการฝังชิพลงในมือของเขานั้นจะเริ่มนวดผิวหนังบริเวณระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเขาก่อนที่จะทาด้วยยาฆ่าเชื้อ จากนั้นก็บอกให้เขาหายใจเข้าลึก ๆ และทำการสอดชิพเข้าไปในมือทันที เขารู้สึกเจ็บคล้ายถูกฉีดยา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ปิดพลาสเตอร์ลงบนมือของเขา

ขณะที่นาย Rory Cellan-Jones ได้ทดลองใช้ชิพที่อยู่ในมือของเขาดูแล้ว ก็พบว่ามันไม่ได้ใช้งานง่ายอย่างที่คิด เขาต้องบิดมือในลักษณะแปลก ๆ เพื่อสั่งให้เครื่องถ่ายเอกสารทำงาน อย่างไรก็ตามการฝังชิพลงในมือนั้นไม่เป็นการบังคับ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของพนักงาน ซึ่งในขณะที่มีพนักงานหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะฝังชิพไว้ในมือของตนนั้น ก็มีพนักงานจำนวนหนึ่งที่ไม่อยากฝังชิพไว้ในมือเช่นกัน

ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวอาจพัฒนาเพื่อมาแทนที่อุปกรณ์เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้อย่างสายรัดข้อมือหรือแว่นในอนาคตก็เป็นได้ แต่สำหรับบางคนก็อาจจะไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่ที่จะต้องนำสิ่งแปลกปลอมฝังไว้ในร่างกายของตนเอง

ศาลเยอรมันตัดสินพิพากษาให้หนุ่มรายหนึ่งสามารถพ้นโทษไล่ออกหลังจับหน้าอกพนักงานทำความสะอาด

12 ก.พ. 2015 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้พิพากษาศาลแรงงานเยอรมันสร้างความอึ้งตะลึง ภายหลังได้พิพากษาให้หนุ่มรายหนึ่งสามารถพ้นโทษไล่ออกเลิกจ้างจากอู่ซ่อมรถยนต์ของนายจ้าง จากกรณีมีพฤติกรรมหื่นจับหน้าอกพนักงานทำความสะอาด

รายงานระบุว่า หนุ่มดังกล่าว วัย 37 ปี ทำหน้าที่เป็นช่างซ่อมรถของอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง และถูกไล่ออกเลิกจ้างเมื่อปี 2012 จากเหตุการณ์กระทำลามกอนาจาร จากการจับหน้าอกของพนักงานหญิงของโรงรถดังกล่าว และเจ้าตัวได้ขออุทหรณ์คดี ขณะที่ศาลแรงงานชั้นอุทธรณ์สร้างความอึ้งตะลึง หลังตัดสินให้บริษัทรับเขากลับเข้าทำงานตามเดิม ระบุว่า พฤติกรรมของหนุ่มรายนี้เป็นแค่เรื่องสนุก และไม่ได้กระทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จึงถือว่าสมควรจะถูกไล่ออกจากงาน

โดยศาลระบุว่า การรังควานทางเพศในสถานที่ทำงานไม่อาจทำให้บริษัทมีสิทธิไล่เขาออกจากงานได้ โดยหากเอาหลักการกระทำผิดจริยธรรมมาใช้กับลูกจ้าง ก็จะต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป และการออกจดหมายเตือนต่อพนักงานดังกล่าวน่าจะสิ่งที่เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะสำหรับลูกจ้างรายนี้ที่ทำงานให้แก่โรงรถแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า 16 ปี และการลงโทษพนักงานรายนี้ด้วยการไล่ออกจากงานถือว่ารุนแรงเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้านอู่ซ่อมรถแห่งนี้ มีปฎิกิริยาไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ และได้ตัดสินใจจะอุทธรณ์คดีในขั้นสูงสุดต่อไป

ญี่ปุ่นสั่งห้ามครูแชทกับนักเรียนหลังจำนวนครูหื่นพุ่งพรวด

12 ก.พ. 2015  รัฐบาลท้องถิ่น 11จังหวัดของญี่ปุ่นสั่งห้ามครูติดต่อกับนักเรียนเป็นการส่วนตัวผ่านทางอีเมล์ หรือแอปพลิเคชั่น เช่น ไลน์ เพื่อป้องกันพฤติกรรมไม่เหมาะสม หลังจากจำนวนครูที่ล่วงเกินทางเพศนักเรียนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 30 ปี
       
คณะกรรมการการศึกษาประจำ 11 จังหวัดทั่วประเทศญี่ปุ่น เช่น จังหวัดไซตามะ,คากาวะ โออิตะ รวมทั้ง เมืองเกียวโต,ฮิโรชิม่า และโอกายามะ ได้ออกกฎห้ามอาจารย์โรงเรียนมัธยมสื่อสารกับนักเรียนผ่านโปรแกรมทางอินเตอร์เน็ตแบบตัวต่อตัว กฎดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
       
กฎดังกล่าวมีขึ้นหลังจากกระทรวงการศึกษา วัฒนธรรม กีฬาและวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น สำรวจพบว่า เมื่อปีที่แล้วมีครูถูกลงโทษเนื่องจากล่วงเกินทางเพศนักเรียนวัยเยาว์มากถึง 205 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในรอบ 30 ปี โดยแอปพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง LINE กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่นำไปสู่เหตุการณ์ไม่เหมาะสม
       
คณะกรรมการการศึกษาเมืองไซตามะ ระบุว่า เมื่อปีที่แล้วได้ลงโทษไล่ออกครู 5 คนในข้อหาลวนลามนักเรียน โดยมีหลักฐานการสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์และอีเมล์ กรณีที่รุนแรงที่สุด พบว่า ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งได้เรียกตัวนักเรียนสาวไปพบที่ห้องพักของโรงแรมในยามวิกาล ในระหว่างที่พานักเรียนไปแข่งขันกีฬานอกสถานที่
       
ส่วนที่จังหวัดคากาวะ ครูวัย 50 ปีรายหนึ่งถูกไล่ออก หลังจากทางโรงเรียนพบว่า ครูรายดังกล่าวได้ส่งภาพลามกอนาจารและข้อความที่ไม่เหมาะสมจำนวนมากไปให้นักเรียนสาวทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการศึกษาประจำ 11 จังหวัดของญี่ปุ่น ระบุกรณียกเว้นให้ครูติดต่อออนไลน์กับนักเรียนได้เฉพาะเหตุจำเป็นเร่งด่วน เช่น เมื่อนักเรียนไม่มาเรียนติดต่อกันหลายวัน แต่ทั้งนี้ต้องได้รับอนุญาตจากครูใหญ่ก่อน
       
ด้านคณะกรรมการการศึกษาประจำกรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น ยังไม่มีมาตรการสั่งห้ามครูติดต่อกับนักเรียนทางออนไลน์อย่างเป็นทางการ เพียงแต่แนะนำว่า ถึงแม้จะได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา ครูต้องหลีกเลี่ยงการติดต่อกับนักเรียนแบบตัวตัวต่อ และให้ใช้การติดต่อแบบ “ข้อความกลุ่ม” แทน

'แจ็ค หม่า'งดแจกอั่งเปาตรุษจีนให้พนักงาน

14 ก.พ. 2015 แจ็ค หม่า นักธุรกิจใหญ่ชาวจีน เจ้าของ “อาลีบาบา” เว็บไซต์ตัวกลางซื้อ-ขายสินค้ารายใหญ่ของโลกประกาศว่า ตรุษจีนหรือปีใหม่จีนปีนี้พนักงานของเขาจะไม่ได้รับอั่งเปา หรือซองแดงใส่เงินขวัญถุงที่มอบให้กันตามธรรมเนียมเช่นปีก่อนๆ เนื่องจากปี 2557 บริษัทไม่ได้มีผลประกอบการดีเด่นเป็นพิเศษ แต่พนักงานจะยังได้รับเงินโบนัสตามปกติ

มหาเศรษฐีรวยที่สุดของจีนระบุผ่านแถลงการณ์ในเว็บไซต์ว่า ความสำเร็จของการเปิดตัวหุ้นของอาลีบาบาเข้าสู่ตลาดหุ้นแม้จะทุบสถิติราคาเปิดขายครั้งแรก หรือไอพีโอของตลาดหุ้นวอลสตรีท แต่ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ เพราะเป็นเพียงผลจากการทำงานหนักของพนักงานอาลีบาบาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากไอพีโอแล้ว ไม่อาจพูดได้ว่ามีสิ่งใดให้เบิกบานใจในปีที่เพิ่งผ่านไป

แถลงการณ์ดังกล่าวสร้างความประหลาดใจพอสมควรเนื่องจากเป็นที่ทราบกันว่าปี 2557 เป็นปีทองของอาลีบาบา จากการที่สามารถระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐได้มากถึง 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเข้าสู่ตลาดครั้งแรกในเดือนกันยายนปีก่อน และส่งผลให้นายหม่ามีชื่อติดทำเนียบมหาเศรษฐีจีนในชั่วข้ามคืน

เทสโก้ อาจปลดพนักงานเกือบหมื่นรับยอดขายร่วง

15 ก.พ. 2015 หนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟ ของอังกฤษรายงานว่า บริษัทเทสโก้ ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของอังกฤษ อาจปลดพนักงานเกือบ 10,000 ตำแหน่ง อันเป็นผลพวงจากการปิดสำนักงานใหญ่และร้านสาขาที่ไม่ทำกำไร และการปรับโครงสร้างองค์กร

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เทสโก้ วางแผนปิดสำนักงานใหญ่ที่เมืองเชสฮันท์ ประเทศอังกฤษ และร้านสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรได้ 43 แห่ง พร้อมทั้งขายสินทรัพย์ต่างๆ อาทิ ธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูล หลังยอดขายปรับตัวลดลง โดยยอดขายที่ไม่นับรวมน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลง 2.9% ในช่วง 19 สัปดาห์จนถึงวันที่ 3 ม.ค.

นอกจากนี้ เทสโก้ได้แต่งตั้งแมท เดวีส์ ซีอีโอบริษัท ฮัลฟอร์ดส์ กรุ๊ป มาดูแลธุรกิจของเทสโก้ในอังกฤษ และจัดการเรื่องการเปลี่ยนแปลงเพื่อฟื้นกิจการ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของคู่แข่งสัญชาติเยอรมัน

แมท เดวีส์ ซีอีโอของเทสโก้ กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า บริษัทได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงบางประการที่มีความยากลำบากอย่างยิ่ง และเขาตระหนักถึงผลพวงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งมีความสำคัญต่อกลุ่มผู้ถือหุ้นทั้งหมด แต่นั่นคือความเป็นจริงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ แม้ว่าเทสโก้จะยังครองตำแหน่งยักษ์ค้าปลักของอังกฤษ แต่เทสโก้ก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ส่วนแบ่งการตลาดที่ร่วงลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงกับร้านค้าระดับไฮเอนด์ และมาตรการลดราคาต่างๆ ดังนั้น เทสโก้ จึงต้องใช้มาตรการที่จริงจัง เพื่อที่จะพลิกฟื้นกิจการของบริษัท

อย่างไรก็ตาม ทางเทสโก้ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้

"ฝรั่งเศส" ผ่านกฎหมายเปิดร้านวันอาทิตย์เพิ่ม

15 ก.พ. 2015 สภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ผ่านร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ร้านค้าเปิดขายของในวันอาทิตย์บ่อยครั้งขึ้นเป็นปีละ 12 วัน จากปัจจุบันที่อยู่ปีละ 5 วัน โดยให้เป็นการสมัครใจทำงานของลูกจ้าง และให้จ่ายค่าแรงเพิ่มเป็น 2 เท่าจากวันปกติ พร้อมกันนี้ ยังเห็นพ้องให้มีการจัดตั้งเขตพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว ที่จะอนุญาตให้ร้านค้าในเขตที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมาเป็นพิเศษนี้ เปิดขายของได้จนถึงเที่ยงคืน และเปิดขายได้ทุกวันอาทิตย์ นอกเหนือจากการอนุญาตให้ร้านค้าที่อยู่ตามสถานีรถไฟขนาดใหญ่เปิดขายได้ทุกวันอาทิตย์เช่นกัน การเคลื่อนไหวที่ถือเป็นมาตรการล่าสุดในกฎหมายส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่กำลังซบเซาอยู่

รัฐบาลเกาหลีใต้จะเพิ่มจำนวนแรงงานชาวกัมพูชาที่ได้รับใบอนุญาตให้เข้าทำงานในภาคการผลิต การก่อสร้าง และการเกษตรของประเทศขึ้น 2 เท่า

17 ก.พ. 2015 ปัจจุบัน มีแรงงานชาวกัมพูชามากกว่า 35,000 คน ทำงานอยู่ในเกาหลีใต้ ซึ่งส่งเงินกลับประเทศราว 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยในปี 2557 เกาหลีใต้กำหนดโควตาอนุญาตแรงงานชาวกัมพูชาเข้าทำงานในประเทศที่ 4,600 คน ตามการระบุของเจ้าหน้าที่สถานทูตเกาหลีใต้
       
หลังการหารือครั้งแรกที่อาคารรัฐสภา ระหว่างเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำกัมพูชา ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ และเฮง สัมริน ประธานรัฐสภากัมพูชา เมื่อวันจันทร์ (16) ฝ่ายเกาหลีใต้เห็นชอบที่จะเริ่มรับแรงงานชาวกัมพูชาเพิ่มขึ้น 2 เท่า
       
“เวลานี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มโควตาแรงงานขึ้น 2 เท่า” เจ้าหน้าที่กัมพูชาอ้างคำกล่าวของทูตเกาหลีใต้
       
ด้านเลขานุการโทประจำสถานทูตเกาหลีใต้ ในกรุงพนมเปญ ระบุว่า แม้จำนวนโควตาในขั้นสุดท้ายจะยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
       
“ตัวเลขเจาะจงยังไม่ได้ถูกระบุขึ้น แต่คาดว่าจะประกาศในเร็วๆ นี้ แต่ตามที่เราทราบ จำนวนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก” เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้กล่าวและว่า จำนวนใบอนุญาตที่จะมอบให้นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมของประเทศ
       
“รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความประสงค์ที่จะขอเพิ่มจำนวนแรงงานในหลายโอกาส และรัฐบาลเกาหลีใต้ได้นำเรื่องเข้าพิจารณา”
       
ด้านองค์การนิรโทษกรรมสากล ระบุ แรงงานต่างด้าวจำนวนหนึ่งที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมทางการเกษตรของเกาหลีใต้มักเป็นเหยื่อการล่วงละเมิด โดยในรายงานปีก่อน องค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่า แรงงานจำนวนหนึ่งในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงงานจากกัมพูชา ได้รับค่าจ้างต่ำและถูกเอาเปรียบผ่านข้อตกลงที่บังคับให้แรงงานทำงานเป็นเวลานานเกินไป และมีชีวิตอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
       
นอกจากจำนวนแรงงานชาวกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นในเกาหลีใต้แล้ว ในทางกลับกัน ชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ปัจจุบัน เกาหลีใต้กำลังก่อสร้างสถานทูตแห่งใหม่บนเกาะพิช (เกาะเพชร) จากเดิมที่ใช้วิธีเช่าอาคาร พร้อมทั้งกำลังพิจารณาที่จะเปิดสถานกงสุลใน จ.เสียมราฐ
       
ระหว่างเดือน ม.ค.ถึงเดือน พ.ย. 2557 มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้เดินทางเยือนกัมพูชา 387,000 คน มีสัดส่วนเกือบ 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด

"ฟิลลิป มอร์ริส"ฟิลิปปินส์ปลดพนักงานกว่า 600 คน

17 ก.พ. 2015 "ฟิลลิป มอร์ริส" ยักษ์ใหญ่บุหรี่ของสหรัฐ เจ้าของแบรนด์บุหรี่ชื่อดัง "มาร์ลโบโร่" ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดเกือบทั้งหมดในฟิลิปปินส์ ประกาศปลดพนักงานกว่า 600 คน หลังเจอการแข่งขันที่ดุเดือดจากคู่แข่งท้องถิ่น

ประธานบริษัทฟิลลิป มอร์ริส โทแบคโก คอร์ป นายพอล ไรลีย์ กล่าวว่า บริษัทร่วมทุนของฟิลลิป มอร์ริสในฟิลิปปินส์ เลิกจ้างพนักงาน 640 คน หรือกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด 6,000คน ในประเทศ หลังจากประสบปัญหาทางธุรกิจมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เพราะมีแรงกดดันจากคู่แข่งท้องถิ่นที่ขายบุหรี่ราคาถูก จนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทลดลง
ก่อนหน้านี้ นายไรลีย์ เคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลโดยเอ่ยชื่อบริษัทไมท์ตี้ คอร์ป ผู้ผลิตบุหรี่คู่แข่งรายเล็กในกรุงมะนิลาว่า กำลังรุกคืบชิงส่วนแบ่งจากฟิลลิป มอร์ริสมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของฟิลลิป มอร์ริสในแดนตากาล็อก ลดลงจากประมาณ 90% เหลือ 70% นับตั้งแต่ปี 2556 ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทไมท์ตี้ คอร์ป ไต่จากเลขตัวเดียวมาแตะที่ประมาณ 24%

การประกาศปลดคนงานของฟิลลิป มอร์ริสครั้งนี้ มีขึ้นในช่วงที่กระทรวงการคลังของฟิลิปปินส์ กำลังตรวจสอบไมท์ตี้ คอร์ปว่า รายงานยอดขายต่อรัฐบาลต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อเลี่ยงภาษีหรือไม่ ขณะที่บริษัทไมท์ตี้ ชี้แจงว่า จ่ายภาษีอย่างถูกต้องมาโดยตลอด ส่วนบริษัทฟิลลิป มอร์ริส กล่าวหาว่า บริษัทไมท์ตี้จ่ายภาษีต่ำเกินไป

คนงานราว 4,000 คน ผละงานประท้วงที่โรงงานเสื้อผ้านอกนครย่างกุ้ง เรียกร้องปรับเพิ่มค่าทำงานล่วงเวลา 17 เซ็นต์ต่อชั่วโมง เป็น 2 เท่า

20 ก.พ. 2015 คนงานจากโรงงานในเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง ให้คำมั่นว่าจะตั้งค่ายชุมนุมนอกโรงงานของตัวเองจนกว่าผู้ว่าจ้างจะตอบสนองข้อเรียกร้อง โดยอ้างว่า พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าจ้างเพียง 80,000 จ๊าตต่อเดือน (ประมาณ 2,600 บาท) ขณะที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
       
คนงานรวมตัวกันอยู่ด้านนอกโรงงานรองเท้าของชาวจีน และเกาหลีใต้ บ้างตะโกน และร้องเพลงปลุกใจเรียกร้องประชาธิปไตย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายเฝ้าจับตาสถานการณ์
       
การเจรจาระหว่างเจ้าของโรงงาน ตัวแทนสหภาพแรงงาน พนักงาน และเจ้าหน้าที่รัฐ ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ด้วยทางการขู่ว่าจะสลายการชุมนุมหากคนงานไม่ยกเลิกชุมนุมประท้วง
       
พม่า พึ่งพาแรงงานค่าแรงต่ำพัฒนาอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หลังรัฐบาลกึ่งพลเรือนเข้าบริหารประเทศในปี 2554 ที่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมทั้งการทำให้สหภาพแรงงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่การเติบโตของภาคส่วนนี้ก็ต้องเผชิญต่อการผละงานประท้วงที่เพิ่มขึ้นในหมู่แรงงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปราว 200,000 คนของประเทศ

สหรัฐเผยการชะลอปรับขึ้นค่าจ้างส่งผลกระทบต่อชนชั้นกลางภายในประเทศ

20 ก.พ. 2015 ทีมเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐเปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวในอัตราที่รวดเร็วขึ้น นับตั้งแต่ที่เผชิญกับภาวะถดถอยครั้งรุนแรง แต่การชะลอการปรับขึ้นค่าจ้างจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นกลาง

รายงาน Economic Report of the President ซึ่งทำเนียบขาวนำเสนอต่อรัฐสภาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตรา 2.8% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 2.1% ของช่วง 3 ปีแรกที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ในขณะที่ตัวเลขจ้างงานในปี 2557 ขยายตัวเร็วขึ้น 30% จากปี 2556

รายงานระบุว่า "การปรับตัวดีขึ้นของตลาดแรงงานส่งผลให้ชนชั้นกลางได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะชดเชยรายได้ของชนชั้นกลางที่ปรับตัวลดลงเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนหน้านี้"

ทั้งนี้ รายงานได้อ้างถึงการปรับขึ้นค่าจ่างที่อ่อนแอในปี 2516 ซึ่งเป็นปีที่ผลผลิตชะลอตัวลงและความไม่เท่าเทียมด้านรายได้ โดยนับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ชาวอเมริกันมีส่วนร่วมในภาคแรงงานน้อยลง ซึ่งเพิ่มแรงกดดันในเรื่องค่าจ้างมากขึ้น

"การปรับตัวลดลงของอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวนั้น นับเป็นความท้าทายที่สำคัญ โดยกว่าครึ่งหนึ่งของการปรับตัวลงได้รับแรงผลักดันจากจำนวนประชากรสูงวัย เนื่องจากกลุ่มประชากรในยุคเบบี้บูมเมอร์เริ่มทยอยเกษียณอายุงาน" รายงานระบุ สำนักข่าวซินหัวรายงาน

'วอลมาร์ท' ประกาศขึ้นค่าแรงลูกจ้างสหรัฐ

20 ก.พ. 2015 "วอลมาร์ท" ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของโลกจากสหรัฐ ซึ่งกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องจ่ายค่าแรงต่ำและสวัสดิการย่ำแย่มาหลายปี ประกาศปรับขึ้นค่าแรง 40% ให้กับพนักงาน 500,000 คนในสหรัฐ เป็นอย่างน้อย 9 ดอลลาร์ หรือราว 273 บาทต่อชั่วโมง ภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าแรงมาตรฐานที่รัฐบาลกลางกำหนดไว้ 1.75 ดอลลาร์ และภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 พนักงานวอลมาร์ทในสหรัฐจะได้รับค่าแรงเพิ่มอีกเป็น 10 ดอลลาร์ หรือราว 314 บาทต่อชั่วโมง

แรงงานพม่ายังผละงานประท้วงร้องค่าแรงเพิ่มในเขตอุตสาหกรรมย่างกุ้ง

23 ก.พ. 2015 ทางการพม่ายังคงสนับสนุนให้มีการเจรจาระหว่างนายจ้างชาวต่างชาติและบรรดาแรงงานที่ผละงานประท้วง เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานในโรงงานต่างๆ ของเขตอุตสาหกรรมนครย่างกุ้งที่ยืดเยื้อนานหลายสัปดาห์

กระทรวงแรงงาน การจ้างงานและสวัสดิการสังคม ออกคำแถลงฉบับหนึ่งระบุว่า ทางการจะดำเนินมาตรการกับผู้ที่ละเมิดกฎหมายและยั่วยุให้มีการละเมิดกฎหมาย และบรรดานายจ้างชาวต่างชาติได้เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความคุ้มครองแก่โรงงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานของโรงงานเป็นไปอย่างปลอดภัย และเตือนว่าความเคลื่อนไหวของแรงงานที่ผละงานประท้วงซึ่งขัดขวางทางเข้าโรงงานบางแห่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายเช่นกัน

"โรงงานบางแห่งในเขตอุตสาหกรรมชเวปยีตาและหล่ายธายากำลังจะถูกขึ้นบัญชีดำเนื่องจากหยุดการผลิตมานานกว่า 2 สัปดาห์ เพราะแรงงานผละงานประท้วงตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค." คำแถลงระบุ

แม้คนงานที่ผละงานประท้วงส่วนใหญ่ได้บรรลุข้อตกลงกับบรรดานายจ้างระหว่างการเจรจาและกลับเข้าทำงานตามเดิม แต่ยังคงมีแรงงานบางส่วนนั่งประท้วงอยู่ด้านนอกโรงงาน

เมื่อสัปดาห์ก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจพม่าดำเนินมาตรการทางกฎหมายกับแรงงานของโรงงานสิ่งทอที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติในเขตอุตสหากรรมชเวปยีตาที่ผละงานประท้วงกว่า 2,000 คน เรียกร้องปรับเพิ่มค่าแรง โดยเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวแกนนำพร้อมคนงานอีก 30 คน

ปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้นหลายครั้งได้ส่งผลกระทบกับการลงทุนของต่างชาติในประเทศ ซึ่งรัฐบาลเขตย่างกุ้งระบุว่าการชุมนุมประท้วงส่งผลเสียต่อทั้งแรงงานและนายจ้าง
ขณะเดียวกัน การผละงานประท้วงก็เกิดขึ้นในเขตอุตสาหกรรมหล่ายธายาที่แรงงานเรียกร้องการปรับเพิ่มค่าแรงเช่นกัน ซึ่งเขตอุตสหากรรมทั้งสองแห่งนี้เป็นเขตอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในนครย่างกุ้ง

แรงงานเหล็ก-นายจ้างเยอรมนีตกลงขึ้นค่าจ้าง

24 ก.พ. 2015 สหภาพแรงงานคนงานเหล็ก "ไอจีเมทัล" ที่มีอำนาจต่อรองสูง ประกาศว่า บรรลุข้อตกลงกับฝ่ายบริหาร เรื่องการขึ้นเงินเดือน 3.4% ให้กับคนงานในรัฐบาเดน-เวอร์ทเทมเบิร์ก หลังจากตัวแทนสหภาพแรงงานและนายจ้างเจรจากันมาถึงสี่รอบ และคาดว่าข้อตกลงนี้จะนำไปใช้กับคนงานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และเซมิคอนดักเตอร์ทั่วประเทศจำนวน 4 ล้านคน โดยจะมีผลตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคมปีหน้า

สิงคโปร์ออกมาตรการช่วยเหลือชนชั้นกลาง

24 ก.พ. 2015 นายทาร์มาน ชานมูการัตนัม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังของสิงคโปร์แถลงแผนการใช้งบประมาณปี 2558 โดยมุ่งช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้ปานกลางในด้านต่างๆ เช่น การเพิ่มเพดานการออมหลังเกษียณให้กับผู้สูงอายุโดยนายจ้างและรัฐจะเพิ่มเงินสมทบลงไปในกองทุนเงินออม การปรับลดภาษีลงครึ่งหนึ่งให้กับครอบครัวที่มีบุตรอายุต่ำกว่า 16 ปีและจ้างแรงงานต่างชาติ เพื่อลดภาระของครอบครัวเหล่านั้นในการดูแลเด็กและคนชรา รวมถึงสนับสนุนสถานเลี้ยงดูเด็กในประเทศให้พัฒนาคุณภาพการดูแล และควบคุมให้มีการเก็บค่าบริการจากครอบครัวเด็กอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพแรงงาน โดยเริ่มตั้งแต่การจัดผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาเรื่องหลักสูตรการเรียนและเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพของนักเรียนแต่ละคนในโรงเรียนต่างๆ รวมถึงจะให้เงินช่วยเหลือในการอบรมพัฒนาทักษะอาชีพกับผู้ที่จบการศึกษาไปแล้ว โดยหวังให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ที่ทำให้มีโอกาสในการรับค่าแรงเพิ่มขึ้น และส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา รายได้ของชนชั้นกลางสิงคโปร์เพิ่มขึ้นประมาณ 6 เท่า โดยผู้มีรายได้ปานกลางมีเงินเดือนประมาณ 120,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของเอเชีย ขณะที่รายได้ของแรงงานระดับล่าง เริ่มปรับตัวขึ้นแล้วหลังอยู่ในอัตราคงที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

นายทาร์มานเผยว่า หลักคิดสำคัญของรัฐบาลสิงคโปร์ต่อแผนใช้งบประมาณนี้ คือ การสร้างสังคมที่ประชาชนสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความสามารถ และได้รับค่าตอบแทนรวมถึงการดูแลที่เหมาะสมจากรัฐในทุกช่วงของชีวิต

ลูกจ้างมาเลย์จ่อได้ค่าแรงเพิ่มเกิน 10%

25 ก.พ. 2015 ผลสำรวจล่าสุดชี้ ลูกจ้างมาเลเซียบางกลุ่มมีโอกาสได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น 3-10% หรืออาจมากกว่านั้น ผลจากนายจ้างต้องการจูงใจให้ลูกจ้างฝีมือดีอยู่กับบริษัทต่อไป

รายงาน"เฮย์ส เอเชีย ซาลารี่ ไกด์" ซึ่งเป็นผลสำรวจค่าจ้างและการจ้างงานทั่วโลกประจำปีของบริษัทเฮย์ส ระบุว่า นายจ้าง 10% ในมาเลเซียมีแผนที่จะขึ้นค่าจ้างมากกว่า 10% ให้กับลูกจ้างในการประเมินรอบที่กำลังจะมาถึง ส่วนนายจ้างอีก 33% จะขึ้นค่าจ้างให้กับลูกจ้าง 6-10%

อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า นายจ้างส่วนใหญ่จะขึ้นค่าจ้างให้ลูกจ้างระหว่าง 3-6% ขณะที่นายจ้างอีก 9% จะขึ้นค่าจ้างไม่ถึง 3% และมีนายจ้างเพียง 1% ที่ไม่มีแผนขึ้นค่าจ้างให้พนักงาน

เมื่อเทียบกับรายงานในปีที่แล้ว พบว่า มีนายจ้าง 3% ไม่ขึ้นค่าจ้างให้พนักงานเลย ขณะที่นายจ้าง 9% ขึ้นค่าจ้างให้ลูกน้องไม่ถึง 3% ส่วนนายจ้างอีก 48% ขึ้นค่าจ้างให้พนักงานระหว่าง 3-6% นายจ้าง 31% ขึ้นค่าจ้างให้พนักงานระหว่าง 6-10% และนายจ้างอีก 9% ขึ้นค่าจ้างให้ลูกจ้างมากกว่า 10%

นอกจากนี้ รายงานเฮย์ส เอเชีย ซาลารี่ ไกด์ ยังเปิดเผยว่า นายจ้างหลายรายในมาเลเซีย ยังใช้หลักแจกเงินโบนัสตามผลงาน นอกเหนือจากการขึ้นค่าจ้าง เพื่อให้รางวัลพนักงานที่ทำงานดีที่สุดในปีนี้ด้วย

ด้านกรรมการบริหารของบริษัทเฮย์ส เอเชีย นางคริสติน ไรท์ กล่าวว่า ความต้องการพนักงานที่มีฝีมือสูง เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นายจ้างยังนิยมใช้วิธีการแจกโบนัส ขณะที่นายจ้างที่ไม่สามารถขึ้นค่าจ้างคราวละมาก ๆ ให้กับพนักงานเก่ง ๆ ได้ ก็จะใช้วิธีแจกโบนัสเป็นการตอบแทน เพื่อรั้งตัวคนเหล่านี้ไว้กับองค์กร



ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:ประชาไท, ครอบครัวข่าว, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, สำนักข่าวไทย, กรุงเทพธุรกิจ, ไทยรัฐออนไลน์, เดลินิวส์, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, VOA

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปช. โหวตลับ ได้ ‘กอบศักดิ์’ นั่ง กมธ.ยกร่างฯ แทน ‘ทิชา’

$
0
0

สปช. ลงคะแนนลับ 119 คะแนน เลือก กอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็น กมธ.ยกร่าง รธน. แทน  ‘ทิชา ณ นคร’ ด้านกอบศักดิ์ โชว์วิสัยทัศน์ ลดเหลื่อมล้ำ พัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยประสบการณ์ 17 ปี

 

4 มี.ค. 2558 เมื่อวานนี้ เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงคะแนนลับ เพื่อเลือกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนของ สปช. แทนตำแหน่งที่ว่าง หลังทิชา ณ นคร ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสปช. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้มีสมาชิก สปช. ผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเลือกเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 4 คน ได้แก่ กอบศักดิ์ ภูตระกูล, ศิรินา ปวโรฬารวิทยา, จุไรรัตน์ จุลจักรวัฒน์ และอมร วาณิชวิวัฒน์ ซึ่งผลคะแนนปรากฏว่า กอบศักดิ์ ภูตระกูล ได้คะแนนสูงสุด 119 คะแนน ได้รับเลือกเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยก่อนที่จะมีการลงคะแนนได้มีการเปิดให้ทั้ง 4 คนได้แสดงวิสัยทัศน์เพื่อประกอบการตัดสินใจของสมาชิกสปช. ในการลงคะแนน  

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ได้ชูประเด็นลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาเศรษฐกิจ ที่ตนมีประสบการณ์และได้ศึกษามากว่า 17 ปี  โดยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมยกร่างรัฐธรรมนูญ และร่างกฎหมายลูกอีกหลายฉบับเพื่อประกอบการปฏิรูปเดินหน้าประเทศ 

ด้านศิรินา ปวโรฬารวิทยา กล่าวว่า บุคคลที่จะมาเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องพร้อมรับฟังความเห็นทุกฝ่าย และต้องเป็นบุคคลที่โปร่งใส ตวจสอบได้ ขณะเดียวกันเห็นว่า ความเห็นที่แตกต่างเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องสร้างจุดร่วมให้ได้เพื่อให้การเดินหน้าประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ แม้ว่าการเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญถือเป็นงานหนัก แต่ตนยืนยันอย่างเต็มใจที่จะสานงานนี้เพื่อประเทศ  

ขณะที่จุไรรัตน์ จุลจักรวัฒน์ กล่าวถึงเหตุผลที่สมัครเข้าร่วมกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ว่า เพราะเสียดายการลาออกของทิชา ณ นคร และอีกเหตุผลคือ ตนเชื่อมั่นว่าตนมีความบริสุทธิ์เพียงพอที่จะทำหน้าที่กรรมาธิการยกร่างรัฐ ธรรมนูญ เพราะตนเข้ามาเป็น สปช. อย่างโปร่งใส และมีอิสระในตัวเองโดยไม่ขึ้นกับใคร  ทั้งนี้หากตนได้รับเลือกให้เป็นกรรมาธิการยกร่างฯ ก็เชื่อว่าตนจะสามารถเชื่อมโยงการยกร่างรัฐธรรมนูญนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงได้

ส่วนอมร วาณิชวิวัฒน์   มีวิสัยทัศน์แบบสั้น แต่ได้ความกระชับว่า  มุ่งประโยชน์สาธารณะ  ผนึกกำลังแม่น้ำทุกสาย ผนวกองค์ความรู้ควบคู่คุณธรรม นำสู่รัฐธรรมนูญ  เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สลายแดง53 ‘อภิสิทธิ์’ ชี้ ‘บิ๊กป้อม-ป๊อก-ตู่’ รู้ดี ‘พล.อ.ประวิตร’ ปัดไม่ได้ตัดสินใจ ‘สุเทพ’ รับสั่งคนเดียว

$
0
0

ปฏิกิริยาหลัง ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ คดีสลายเสื้อแดงปี 53 อภิสิทธิ์ ชี้ ‘บิ๊กป้อม-ป๊อก-ตู่’ รู้ดี ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ยันไม่ใช่คนตัดสินใจ แค่รู้เห็นเท่านั้น ด้านพระสุเทพรับสั่งการคนเดียว

หลังจากเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  มีมติแจ้งข้อกล่าวหา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น)  มีพฤติการณ์ส่อกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ กรณีสั่งใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระหว่างวันที่ 10 เม.ย. ถึง 19  พ.ค.53 (อ่านรายละเอียด)

อภิสิทธิ์ ชี้ ‘บิ๊กป้อม-ป๊อก-ตู่’ รู้ดี

โดย อภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์กับมติชนออนไลน์ถึงคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ยอมรับมติของ ป.ป.ช.ที่เห็นว่าเป็นเหตุเข้าข่ายการถอดถอนออกจากตำแหน่ง พร้อมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และยืนยันว่ามีการปรับหลักการทำงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย แต่กรณีมีผู้ใช้อาวุธไม่ใช่เรื่องง่าย รัฐบาลมีหน้าที่คืนความสงบให้กับสังคม คนที่ทำงานร่วมกันรู้ดี เช่นพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในขณะนั้น รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรอง ผบ.ทบ.ในขณะนั้นด้วย เพราะเข้าร่วมประชุมอยู่ จึงรู้ดีถึงการทำงานในขณะนั้น หาก ป.ป.ช.ได้ข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา แต่ไม่แน่ใจว่าบุคคลทั้งหมดพร้อมจะเป็นพยานให้หรือไม่

พระสุเทพรับสั่งการคนเดียว

ขณะที่เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงานปฏิกิริยาจาก สุเทพ หรือพระสุเทพ ด้วย โดยพระสุเทพ กล่าวว่า "อาตมาไม่ต้องอ้างเป็นพยาน เพราะจำได้หมดทุกเรื่องที่ทำมา ทั้งหมดตอบได้เลยว่า อาตมาสั่งการคนเดียว นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ผู้เข้าร่วมประชุมในช่วงนั้น ทุกคนมีมติกัน ได้อภิปรายร่วมกันแล้ว อาตมาเป็นสั่งการ ขอรับผิดชอบในการสั่งการ ถ้าจะผิดหรือถูก อาตมารับผิดชอบ แล้วขอร้องว่า อย่าได้ไปเกี่ยวโยงกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ที่เขาทำ เพราะเขาทำตามคำสั่งอาตมา ตรงนี้ต้องให้ชัดเจน การชี้แจงเบื้องต้นจะทำเป็นหนังสือ แต่หาก ป.ป.ช.ต้องการให้ไปชี้แจงด้วยตัวเอง ก็พร้อมที่จะไป เวลานี้ก็รออยู่ และหาก ป.ป.ช. จะทำเรื่องถอดถอนในสภาฯ ก็พร้อมไปชี้แจงในสภาฯ ทั้งผ้าเหลืองเลย ที่ผ่านมาเคยใส่สูทเข้าสภามา 36 ปี เที่ยวนี้ จะห่มผ้าเหลืองเข้าสภาอยู่ และบางทีอาจจะถือโอกาสเทศน์ใหญ่กลางสภาเลย พูดจริงๆ ตอนนี้เตรียมร่างคำเทศน์ไว้แล้ว พร้อมที่จะไปตอบทุกคำถามในสภา ถ้า ป.ป.ช.เสนอให้ถอดถอน ไม่หนีไปด้วยตัวเองไม่ส่งทนายไปชี้แจงแทน"

พล.อ.ประวิตร ยันไม่ใช่คนตัดสินใจ แค่รู้เห็นเท่านั้น

ล่าสุดวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์รายงานปฏิกิริยาของ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวยืนยันถึงคดีนี้ว่า จะทำตามที่กฎหมายกำหนด และว่า "ผมไม่ใช่คนตัดสินใจสลายนปช.ปี 53 คนตัดสินใจคือท่านนายกฯ ท่านสุเทพ ผมเป็นอยู่ในกระบวนการรู้เห็นเท่านั้น"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสมอผี: บรรเลงปี่พาทย์โดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล

$
0
0

การบรรเลงปี่พาทย์เพลง "เสมอผี" โดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างการอภิปรายหัวข้อ ศาสนากับการเมือง โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ

ในการบรรยายหัวข้อ บรรยายสาธารณะ “ศาสนากับการเมือง ชาตินี้เราคงแยกกันไม่ได้” จัดโดยกลุ่มสภาหน้าโดม ที่ห้อง ศศ.107 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. นั้น ในช่วงการบรรยายหัวข้อ “ศาสนาผีกับการเมือง” โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียนด้านประวัติศาสตร์-โบราณคดี เป็นการบรรยายพร้อมด้วยการบรรเลงปี่พาทย์จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยช่วงหนึ่งมีการบรรเลงเพลง "เสมอผี"

ทั้งนี้สุจิตต์ แนะนำว่า คำว่า "เสมอ" ไม่ใช่ความหมายที่แปลว่า "เท่าเทียม" แต่คำนี้มาจากรากภาษาเขมรที่แปลว่า เดิน หรือ ย่างกราย เพลงเสมอใช้ในพิธีไหว้ครูปี่พาทย์ เพลงหน้าพาทย์ เพลงตระ ใช้ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ โดยสุจิตต์กล่าวติดตลกด้วยว่า "ขณะนี้ถือว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์เลยจะเชิญผีมาเป็นพยานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมืองปัจจุบัน แต่ในอนาคตไม่แน่" ทั้งนี้ในช่วงเริ่มบรรเลงปี่พาทย์ สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้พนมมือไหว้ท่วมหัวด้วย (อ่านการอภิปรายของสุจิตต์)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 26 ก.พ. - 4 มี.ค. 2558

$
0
0

แนะนายจ้าง-ลูกจ้างตกลงในองค์กร ก่อนหาตัวกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

(26 ก.พ.) ที่ รร.เซนจูรี่ ปาร์ค กรุงเทพฯ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานเสวนาต้นแบบนายจ้างและลูกจ้างที่มีระบบบริหารจัดการที่ด้านแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบการ ว่า การที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของนายจ้าง และลูกจ้างได้จำนวนมาก ถือว่าการทำงานของ กสร.ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะความสำเร็จที่แท้จริงนายจ้างและลูกจ้างจะต้องมีช่องทาง หรือกฎระเบียบที่พูดคุยตกลงกันเองภายใน และได้ข้อสรุปโดยไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีกว่าการนำข้อพิพาทมาสู่คนกลาง อย่างกระทรวงแรงงาน หรือนำไปสู่ขั้นตอนของศาลแรงงาน ซึ่งจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ โดยที่ผ่านมา ยังส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ศาลมีคำสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน แต่กลับไม่ได้รับมอบหมายงานให้ทำ แม้จะให้เงินเดือนตามเดิม นำมาสู่ข้อพิพาทว่า ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
       
“การพึ่งพาคนกลาง หรือศาล เมื่อเกิดข้อพิพาทนั้น หากไกล่เกลี่ยโดยคนนอกถามว่ากลับมาทำงานร่วมกันจะได้ไหม จะมองหน้ากันติดหรือเปล่าเพราะเป็นการยุติข้อพิพาทที่ไม่ได้มาจากข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย แต่มาจากกฎหมาย และที่ผ่านมา ศาลสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน นายจ้างก็จ่ายเงินเดือนแต่ไม่มอบหมายงานให้ทำ ลูกจ้างก็มาร้องเรียน กสร.อีกว่า เสียศักดิ์ศรี ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายบังคับให้นายจ้างมอบหมายงานให้ทำ มีเพียงกฎหมายให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่านั้น แต่หากเกิดกรณีนี้ขึ้นจริงก็จะให้เจ้าหน้าที่ กสร.เข้าไปช่วยเจรจา” รมว.แรงงาน กล่าว
       
พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้อาจจะให้สหภาพแรงงานที่มีประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่สหภาพ หรือลูกจ้างในสถานประกอบการต่างๆ เพื่อกำหนดเป็นช่องทางในการเจรจาข้อพิพาทโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง และจะพยายามลดขนาดของปัญหาลง

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-2-2558)

สปส.เสนอผู้ประกันตน ม.40 โอนสิทธิบำนาญชราภาพเข้า กอช.

(26 ก.พ.) พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ดำเนินการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) หลังจากนั้นจะมีการเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เพื่อให้เกิดความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติ ซึ่งในส่วนสำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีความพร้อมโดยเบื้องต้นในส่วนของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในทางเลือกที่ 3 สามารถโอนสิทธิประโยชน์กรณีบำนาญชราภาพ เข้าไปอยู่ในกองทุน กอช.ได้ทันที สำหรับทางเลือกที่ 4 และ 5 ที่ได้สิทธิบำนาญชราภาพ และสิทธิทดแทนในกรณีอื่นๆ นั้น หากสมัครใจจะโอนไปยัง กอช. ในส่วนสิทธิบำนาญชราภาพได้ แต่สิทธิอื่นๆ นั้นต้องมาศึกษาในรายละเอียดอีกครั้งว่าจะมีแนวทางอย่างไรให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์สูงสุด
       
รมว.แรงงาน กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกันตนในมาตรา 40 ตามทางเลือกที่ 3, 4 และ 5 ที่มีอยู่กว่ากว่า 1 ล้านคนไม่ต้องการโอนไปยัง กอช. สามารถลาออกจากการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่ง สปส.พร้อมที่จะจ่ายเงินคืนให้ทั้งในส่วนผู้ที่ประกันตนจ่ายเงินสมทบ และรัฐบาลร่วมสมทบ โดยรัฐบาลได้มีการตั้งงบประมาณประจำปีเพื่อจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ ในปี 2558 ที่มีการจ่ายเงินเข้ามาแล้ว จำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของการจ่ายเงินคืนแก่ผู้ประกันตนต้องดูความชัดเจนอีกครั้ง โดยระหว่างนี้ผู้ประกันตนที่ยังไม่ลาออกยังสามารถจ่ายเงินสมทบ และได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลต่อไปจนกว่าแนวทางการปฏิบัติของ กอช.จะชัดเจน

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-2-2558)

GM เตรียมเลิกผลิต Chevrolet Sonic ในไทยภายในเดือนมิ.ย. พร้อมปลดพนักงาน

บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ประกาศในวันนี้ (27 ก.พ.) ว่าทางบริษัทจะยกเลิกการผลิตรถยนต์รุ่น Chevrolet Sonic ในประเทศไทยภายในเดือนมิ.ย. โดยเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ พนักงานจำนวน 3,200 คนในประเทศไทยจะได้รับแจ้งให้เข้าร่วมโครงการลาออกโดยสมัครใจ ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะส่งผลให้มีการเลิกจ้างพนักงานจำนวนหลายร้อยคน
การประกาศของ GM ในวันนี้ มีขึ้นหลังจากที่เมื่อวานนี้บริษัทเปิดเผยว่าจะปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซีย และจะปลดคนงานจำนวน 500 คน

ทั้งนี้ GM ระบุว่า โรงงานเบกาซี ซึ่งตั้งอยู่ชานกรุงจาการ์ตา และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1995 จะถูกปิดลงในเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากประสบปัญหาค่าใช้จ่ายด้านชิ้นส่วนอะไหล่ที่สูงขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์รุ่น Chevrolet Spin ไม่เป็นไปตามเป้า โดย GM จะมีการนำเข้ารถยนต์รุ่น Chevrolet Orlando จากเกาหลีใต้ ขณะที่ยังคงมีการผลิตรุ่น Trailblazer และ Captiva ในประเทศไทย

(thaipr.net, 27-2-2558)

คปก.เสนอด่วนต่อ ครม. ให้ชะลอร่างพรบ.แรงงานสัมพันธ์

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) โดย ศ.ดร. คณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้ส่งบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่...) พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ฉบับที่...) พ.ศ....” เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยคปก.ขอให้ชะลอการเสนอร่างพรบ.ทั้งสองฉบับไว้ก่อนเพื่อทบทวนหลักการและสาระสำคัญของร่างพรบ. เพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศในการปรับปรุงร่างกฎหมายสองฉบับดังกล่าว โดยกระทรวงแรงงานจะต้องดำเนินกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเปิดเผยและทั่วถึง เพื่อให้ระบบแรงงานสัมพันธ์เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพและนำไปสู่การพัฒนาประเทศทั้งในภาคส่วนอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากร่างกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ทั้งสองฉบับมีความสำคัญและจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นและได้ข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วนหลายครั้ง อาทิ ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมาธิการแรงงานจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลแรงงานกลาง ผู้แทนกระทรวงแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภานายจ้าง องค์กรแรงงานระหว่างประเทศประจำประเทศไทย (ILO) แรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ องค์กรภาคประชาสังคม พบว่ามีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่ากฎหมายแรงงานสัมพันธ์ไม่ทันสถานการณ์การจ้างงานปัจจุบันที่ซับซ้อนและหลากหลาย ระบบแรงงานสัมพันธ์ที่มีอยู่ไม่เอื้ออำนวยต่อการแก้ไขความขัดแย้งและพัฒนาทั้งเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน

คปก.มีความเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่...) พ.ศ.... และร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ฉบับที่...) พ.ศ.... ยังขาดการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน และไม่มีการหยิบยกเอาเนื้อหาของร่างพรบ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.... ฉบับบูรณาการแรงงานที่ภาคประชาชนเข้าชื่อเสนอค้างอยู่ในสภาแต่มีการยุบสภาไปก่อนมาพิจารณา นอกจากนี้ ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายทั้งสองฉบับยังไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ รวมถึงผู้ทำงานในหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เช่น องค์กรมหาชน หน่วยงานนิติบุคคลของรัฐ องค์กรอิสระของรัฐ เป็นต้น และไม่ควรแบ่งแยกสิทธิในการรวมตัวจัดตั้ง และการเจรจาต่อรองระหว่างภาคเอกชนกับรัฐวิสาหกิจเป็นสองฉบับ

ยิ่งไปกว่านั้น คปก.เห็นว่าหลักการและสาระสำคัญของร่างกฎหมายทั้งสองฉบับไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรองและไม่สอดคล้องพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีด้วย อย่างไรก็ตาม คปก.เสนอว่าในระหว่างที่ยังมิได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าว กระทรวงแรงงานและรัฐบาลควรนำหลักการของอนุสัญญาดังกล่าวมาปรับใช้ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการปฏิรูปประเทศ

(สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย, 3-3-2558)

พบลูกเรือประมงไทยกลับจากโซมาเลีย ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางาน

วันที่ 3 มีนาคม นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมการจัดหางาน(กกจ.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กกจ.ได้ประสานไปยังกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ(กต.) เพื่อตรวจสอบเรื่องการจ้าง งาน รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆตามกฎหมาย คุ้มครองแรงงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องของลูกเรือ ประมงไทย 4 คนถูกโจรสลัดโซมาเลีย ควบคุมตัวและได้รับการช่วยเหลือกลับมาไทยแล้ว

กรมการกงสุลตรวจสอบแล้วพบว่าลูกเรือทั้ง 4 คน ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ จากกองทุนฯ

ส่วนการช่วยเหลือลูก เรือประมงทั้ง 4 คนนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)จะเป็นผู้ดูแลในเรื่องเงิน ช่วยเหลือเยียวยา และขณะนี้กกจ.ได้ให้เจ้าหน้าที่ จัดหางานจังหวัดซึ่งลูกเรือประมงทั้ง 4 คนมี ภูมิลำเนาอยู่ คือ จังหวัดระนอง ตราดและบุรีรัมย์ เข้าไปเยี่ยมที่บ้านเพื่อสอบถามและช่วยเหลือให้มีงานทำหากต้องการทำงานทางกกจ.ก็จะช่วยเหลือ แต่คงต้องให้พักผ่อนระยะหนึ่งก่อนเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย และจิตใจเพื่อให้มีความพร้อมทำงาน

(มติชน, 3-3-2558)

รมว.แรงงาน เผย ครม. เห็นชอบแผนจัดการแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ หลังครบกำหนดพิสูจน์สัญชาติ 31 มี.ค.
       
(3 มี.ค.) พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่ คณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) เสนอแผนการจัดการต่างด้าว 3 เรื่อง ได้แก่ การดำเนินการภายหลังครบกำหนดพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาวและกัมพูชา ในวันที่ 31 มีนาคมโดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่พิสูจน์สัญชาติเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2558 จะได้รับการตรวจลงตราและได้รับอนุญาตทำงาน จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 และสามารถขออนุญาตทำงานต่อได้อีก 2 ปี หลังสิ้นสุดการอนุญาต 31 มีนาคม 2559 (ถึง 31 มีนาคม 2561) 2.กลุ่มที่อยู่ระหว่างรอการพิสูจน์สัญชาติ เป็นกลุ่มที่ยื่นแบบบัญชีรายชื่อเพื่อขอรับการตรวจสัญชาติ แต่ยังไม่สามารถเข้ารับการตรวจสัญชาติได้ จะผ่อนผันให้อยู่ในไทยชั่วคราว และอนุญาตให้ทำงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 เมื่อผ่านการตรวจสัญชาติแล้วจะได้รับอนุญาตให้อยู่และอนุญาตให้ทำงานต่อไปอีก 2 ปี 3. กลุ่มที่ยังไม่ยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติ หากไม่มารายงานตัวเพื่อขอรับบัตรใหม่และขออนุญาตทำงานภายในวันที่ 30มิถุนายน 2558 ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และ4.กลุ่มผู้ติดตาม ที่อายุไม่เกิน 15 ปี ให้มารายงานตัวเพื่อขอรับบัตรใหม่พร้อมกับแรงงานต่างด้าว ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2558
       
พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่สองการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเล แบ่งเป็นระยะสั้น เปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวตั้งแต่เดือนเมษายน - มิถุนายน 2558 ที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (วันสตอปเซอร์วิส) ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล โดยจะได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 ส่วนระยะยาวจะขออนุมัติให้มีการนำเข้าแรงงานตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) จากประเทศอื่นๆ ตามความต้องการของนายจ้าง และเรื่องที่สาม สำหรับกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามเอ็มโอยูและครบกำหนด 4 ปี จะต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง 3 ปีแล้ว จึงจะกลับมาทำงานในไทยได้อีกครั้ง เป็น 30 วัน ซึ่งกระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทยต้องออกประกาศเพื่อรองรับ

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 3-3-2558)

สนง.ถสิติ เผยคนว่างงาน ม.ค.58 เพิ่มขึ้น 1.1%, ระดับอุดมศึกษาว่างงานสูงสุด

สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รายงานผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรเดือน ม.ค.58 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  พบว่าภาพรวมสถานการณ์แรงงานมีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นคน จาก 3.61 แสนคน เป็น 4.04 แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 57 และ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดือน ธ.ค.57 จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 1.84 แสนคน จาก 2.20 แสนคน เป็น 4.04 แสนคน

ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น 38.01 ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ 37.36 ล้านคน ผู้ว่างงาน 4.04 แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล 2.47 แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน  มีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 57 จำนวน 4.2 แสนคน จาก 38.43 ล้านคน เป็น 38.01 ล้านคน และ  ผู้มีงานทำ 37.36 ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 57 จำนวน 4.3 แสนคน จาก 37.79 ล้านคน เป็น 37.36 ล้านคน หรือลดลงร้อยละ 1.1

ผู้ทำงานเพิ่มขึ้นและลดลง ในสาขาต่างๆ ได้ดังนี้ ผู้ทำงานที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาการผลิต 3.5 แสนคน (จาก 6.30 ล้านคน เป็น 6.65   ล้านคน) สาขาการก่อสร้าง 1.0 แสนคน (จาก 2.18 ล้านคน เป็น 2.28 ล้านคน) สาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ 4.0 หมื่นคน   (จาก 0.17 ล้านคน เป็น 0.21 ล้านคน) สาขากิจกรรมด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ 3.0 หมื่นคน (จาก 0.64 ล้านคน เป็น 0.67 ล้านคน)

ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่  สาขาภาคเกษตรกรรม 4.8 แสนคน (จาก 11.71  ล้านคน เป็น 11.23 ล้านคน) สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ 4.2 แสนคน (จาก 6.71 ล้านคน เป็น 6.29 ล้านคน) สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า 7.0 หมื่นคน (จาก 1.28 ล้านคน เป็น 1.21 ล้านคน) สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย 6.0 หมื่นคน (จาก 0.59 ล้านคน เป็น 0.53 ล้านคน) สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร 5.0 หมื่นคน (จาก 2.69 ล้านคน เป็น 2.64 ล้านคน)

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ยังพบว่า ผู้ว่างงานทั่วประเทศมีจำนวน 4.04 แสนคน  คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.1 ของกำลังแรงงานรวม เพิ่มขึ้น 4.3 หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 57 ประกอบด้วย  ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนจำนวน 1.64 แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อนจำนวน 2.40 แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานจากภาคบริการและการค้า 1.19 แสนคน ภาคการผลิต 7.8 หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม 4.3 หมื่นคน

นอกจากนั้น ยังพบว่า ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา 1.44 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 9.5 หมื่นคน ผู้ที่ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 6.6 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 5.0 หมื่นคน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4.9 หมื่นคน โดยผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง 1.41 แสนคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.7 หมื่นคน ภาคเหนือ 6.2 หมื่นคน กรุงเทพมหานคร 5.8 หมื่นคน และภาคใต้ 5.6 หมื่นคน หากคิดเป็นอัตราการว่างงาน ภาคกลางมีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อยละ 1.2 รองลงมาเป็น กรุงเทพมหานครและภาคใต้ มีอัตราการว่างงานเท่ากันคือ ร้อยละ 1.1 ภาคเหนือ ร้อยละ 1.0  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 0.9

(สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 3-3-2558)

โรงงานรองเท้าขนาดกลางหลายเจ้าระส่ำ! เริ่มขายกิจการ-ลดขนาดธุรกิจ เหตุต้นทุน-ค่าแรงปรับเพิ่มขึ้น

(4 มี.ค.58) นายชนินทร์ จิตโกมุท นายกสมาคมรองเท้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มมีผู้ผลิตรองเท้าขนาดกลางในไทยบางรายประกาศขายกิจการซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักหลังจากที่ก่อนหน้านี้โรงงานผลิตรองเท้าในไทยเหล่านี้มีการปรับตัวด้วยการลดขนาดธุรกิจ ลดกำลังการผลิตลงเพื่อที่จะประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้จากภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทั้งในแง่ของวัตถุดิบ ค่าแรงงานที่ปรับขึ้นทั่วประเทศเป็น 300 บาทต่อวัน  รวมถึงการแข่งขันกับต่างประเทศที่สูงขึ้น โรงงานรองเท้าในไทยขนาดกลางที่เน้นรับจ้างผลิตหรือเน้นงานระดับล่างโอกาสที่จะทยอยปิดกิจการจะเพิ่มขึ้นก็ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักเพราะต้นทุนของไทยภาพรวมไม่สามารถสู้กับประเทศเพื่อนบ้านได้โดยเฉพาะจากจีนและเวียดนามได้ เมื่อเจอภาวะค่าเงินบาทแข็งค่ายิ่งทำให้การแข่งขันตลาดส่งออกไม่ดีตามไปด้วย

นายชนินทร์  กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันปัญหาล่าสุดที่ยังต้องเผชิญคือการขาดแคลนแรงงานฝืมือจำนวนมากเนื่องจากแทบไม่มีแรงงานฝีมือรุ่นใหม่เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มเติมเพราะเป็นงานที่ต้องอดทนและใช้เวลาฝึก ภาพรวมแรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมรองเท้าจึงขาดแคลนไม่น้อยกว่า 30,000 - 40,000 คน ทำให้ไม่สามารถขยายการผลิตได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัวหันไปผลิตสินค้าในระดับบนเพื่อความอยู่รอดหากจะคงกิจการเอาไว้

(TNN, 4-3-2558)

ก.แรงงาน เตรียมออกประกาศอาชีพที่ต้องมีหนังสือรับรองก่อนทำงาน เบื้องต้นนำร่อง 2 สาขาอาชีพ ช่างเชื่อม - ไฟฟ้า

ม.ล.ปุณฑริก สมิติ  อธิบดีกรมพัฒนา ฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ กพร. อยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับสมาคมอาชีพต่างๆ กำหนดสาขาอาชีพ ตำแหน่งงาน หรือลักษณะงานที่อาจเป็นอันตรายต่อ สาธารณะ หรือต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถในการดำเนินการ จำนวน 10 สาขาอาชีพ ว่า มีความจำเป็นต้องออกประกาศให้ผู้ที่ประกอบอาชีพดังกล่าว จะต้องมีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถหรือไม่ เช่น อาชีพในสาขาช่างต่างๆ หรืออาชีพที่หากใช้บุคคลที่ไม่มีความเชี่ยวชาญดำเนินการอาจก่อให้เกิดอันตรายโดยเบื้องต้นจะเสนอ ต่อ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อพิจารณาให้ออกประกาศจำนวน 2 สาขาอาชีพ ได้แก่ ช่างเชื่อม และช่างไฟฟ้าเป็นอาชีพที่ต้องมีหนังสือรับรองความรู้ ความสามารถซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีข้อกำหนดให้ปรับตัวก่อนจะบังคับใช้จริง
       
อธิบดี กพร. กล่าวอีกว่า เมื่อประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว นายจ้างต้องจ้างบุคคลที่มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถเท่านั้น โดย กพร. จะเป็นผู้ทดสอบความรู้ความสามารถและออกหนังสือรับรองให้ และหากผู้ประกอบการจ้างบุคคลที่ไม่มีหนังสือรับรองต้อง จะมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และผู้ที่ไม่มีหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ จะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท อย่างไรก็ตาม จะพิจารณาประกาศ รายชื่ออาชีพที่ต้องใช้หนังสือรับรอง ความรู้ความสามารถให้ทันกำหนด พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือ แรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 บังคับใช้ในวันที่ 26 มีนาคม นี้

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 4-3-2558)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สัมภาษณ์พิเศษ ‘ลมใต้ปีก’ บก.ผู้ต้องโทษ 112 สิบปี

$
0
0

ตั้งแต่ 30 เมษายน 2554 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้วที่เขาอยู่ในเรือนจำ

เขาน่าจะนับเป็น บก.คนแรกที่ถูกจำคุกด้วยมาตรา 112 เป็นเวลา 10 ปี จากบทความ 2 ชิ้นซึ่งเขาไม่ได้เขียน อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าแม้เขาไม่ใช่ผู้เขียนก็มีความผิด ศาลอุทธรณ์ก็เห็นดังนั้น

บางส่วนของคำพิพากษาศาลชั้นต้น

“ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่นั้น เห็นว่าบทความคมความคิด ในนิตยสารเสียงทักษิณทั้งสองฉบับ มีเนื้อหาที่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต เมื่อนำเหตุการณ์ในอดีตมาเชื่อมโยงแล้วสามารถระบุได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื้อหาของบทความเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ การที่จำเลยนำบทความไปจัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และเผยแพร่ จึงมีเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112”

นอกจากจะเป็น บก.รายแรกที่เข้าไปอยู่ในคุกยาวนานแล้ว เขายังเป็นผู้ต้องหา-จำเลย ที่ยื่นประกันตัวมากที่สุดในยุคสมัย นั่นคือ 16 ครั้งตั้งแต่ในชั้นสอบสวน แต่ก็ไม่ประสบผล

เขามีแบ็คกราวน์การทำงานในประเด็นแรงงานมายาวนานนับตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา เน้นทำงานความคิดกับคนชั้นล่าง เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้แรงงาน ก่อนจะเบนเข็มมาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจนหลังรัฐประหาร 2549 คนในขบวนแรงงานบางคนกล่าวว่า “เขามาขโมยมวลชน ทำงานความคิดกับคนเสื้อแดง”

ท่ามกลางชีวิตของเขาทั้งในยามปกติและยามวิฤตหนักในชีวิตอย่างในช่วง 4 ปีหลังนี้ ภรรยาของเขาคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการประคับประคองตัวตนและอุดมการณ์ของเขา พร้อมทั้งทำหน้าที่อื่นๆ ทดแทนเขาในระหว่างที่ถูกจำคุก ที่น่าสนใจคือ ดูเหมือนเธอจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ ซึ่งบางคนนิยามมันว่า “การวิ่งชนข้างฝา”

สำหรับคนที่โดนคดีในห้วงเวลาไล่เลี่ยกับเขา มีหลายคนที่สู้คดี แต่ท่ามกลางข้อจำกัดด้านสิทธิพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมรวมทั้งทัศนคติของสังคมและผู้พิพากษา ทั้งหมดทยอยยอมแพ้ รับสารภาพ ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา จนสิ้นเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ได้ออกจากเรือนจำเร็วที่สุด

ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงรายหนึ่งที่ถูกจำคุกอยู่หลายวันก่อนได้รับการประกันตัวเมื่อเร็วๆ นี้ เล่าว่าได้มีโอกาสเจอ บก.คนนี้ในคุก และประทับใจกับความอดทน มุ่งมั่นในการต่อสู้คดีของเขา

“ผมรับไม่ได้เลยกับสภาพในคุก พี่เขาบอกผมว่าให้คิดว่าเราตายไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้ว เราถึงจะอยู่ในคุกได้”

ทั้งหมดนี้ เรากำลังพูดถึง สมยศ พฤกษาเกษมสุข

ในเย็นวันหนึ่งเรามีโอกาสพูดคุยกับ สุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยาของสมยศ ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักดีทั้งในและต่างประเทศ สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวเป็นปากเป็นเสียงในคดีมาตรา 112

เธออวดโปสการ์ดนับพันใบ มัดรวมเป็นปึกๆ ซึ่งเธอไปรับมาจากเรือนจำ โปสการ์ดเหล่านี้ส่งตรงมาจากทั่วโลกถึงสมยศที่เรือนจำ จนสมยศอ่านไม่ไหว ไม่มีที่เก็บและขอให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้ให้เพื่อให้ภรรยานำกลับบ้านในช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา

โครงการนี้จัดโดย Amnesty International และ FOR-SITE foundation ก่อนหน้านี้เมื่อ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา FIDH และ AHRC ได้ออกแถลงการณ์ในวาระที่สมยศถูกพิพากษาจำคุกโดยศาลชั้นต้นครบ 2 ปี

เธอเล่าว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่พิจารณาคดี มีองค์กรหลักๆ ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้สมยศหลายแห่ง เช่น Clean Cloth Campaign, Asia-Australia Worker Link (AWL) , Frist Union , The Korean Confederation of Trade Unions (KCTU), Trade Union ประเทศเนปาล อินโดนีเซีย มาเลเซีย , สหพันธ์แรงงานนานาชาติกิจการเคมี พลังงาน ปิโตรเลียม และแรงงานทั่วไป (ICEM)นอกจากนี้ยังมี The International Federation for Human Rights (FIDH), Amnesty International (AI), Article 19, Human Rights Watch, The Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights (OHCHR) , ฝ่ายการเมืองของสหภาพยุโรป EU, Pen international, Committee to Protect Journalist (CPJ) , Freedom House, Reporter Without Border เป็นต้น  ในไทยก็มีมูลนิธิผสานวัฒนธรรม, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) , สมาคมบรรณาธิการและนักเขียน

เป็นโอกาสดีที่เราจะได้พูดคุยกับเธอคนนี้โดยละเอียดอีกสักครั้ง อย่างน้อยก็เนื่องในวันสตรีสากล

0000

องค์กรระหว่างประเทศรณรงค์เรื่องสมยศ เสรีภาพในการแสดงออกเยอะ องค์กรในประเทศมีบ้างไหม ไม่ว่าขบวนการแรงงาน กลุ่มสื่อ หรือเขาไม่นับรวมสมยศเพราะที่ผ่านมาก็เห็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าสมยศถือเป็นสื่อมวลชนไหม

จริงๆ จุดเริ่มต้นมันควรเกิดขึ้นในประเทศก่อน แต่สถานการณ์ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่า หนึ่ง เนื่องจากในประเทศไทย องค์กรต่างๆ มีความแตกแยกทางความคิดกันมาก แล้วประเด็นหลักการก็ไม่มีการยึดถือ เช่น คนที่ผลิตหนังสือหรือผลิตสื่อต้องถูกจำคุกโดยหลักการมันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าสมมติว่าทุกองค์กรยึดหลักการ องค์กรก็ควรจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านเรื่องแบบนี้ แต่ในเมืองไทยกลายเป็นตีความไปว่าสมยศไปเกี่ยวโยงกับทักษิณ หนังสือสปอร์นเซอร์โดยทักษิณ เพราะใช้คำว่าเสียงทักษิณ เพราะฉะนั้นก็สมควรแล้วที่จะถูกดำเนินคดีหรือถูกลงโทษ กลายเป็นความคิดที่เอาตัวบุคคลขึ้นมาปะปนกับหลักการ อะไรที่มันเป็นความถูกต้องไม่ว่าใครจะทำมันก็ต้องถูก อะไรที่มันผิดไม่ว่าใครจะทำมันก็ต้องผิด

เรื่องของการใช้กฎหมายมาละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สื่อไทยไม่พูด เนื่องจากสมยศผลิตสื่อซึ่งไม่ใช่สื่อหลัก เป็นสื่ออาจจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายเสื้อแดงหรือฝ่ายทักษิณ เพราะฉะนั้นองค์กรสื่อในเมืองไทยจึงแทบจะไม่มีใครออกมาให้เห็นเลย กรรมการสิทธิเข้ามาตรวจสอบเนื่องจากเราทำเรื่องร้องเรียนไป เขามีหน้าที่ในการที่จะต้องมาตรวจสอบอยู่แล้ว เขาทำตามหน้าที่เขาแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ องค์กรอื่นก็เหมือนกับกึ่งๆ ที่จะออกมาเปิดตัวสนับสนุนดีไหมหรือไม่สนับสนุน กั๊กๆ เอาไว้ กลายเป็นว่า เมื่อคนคนหนึ่งผูกพันกับเรื่องอะไรบางเรื่อง ถ้าคนนั้นถูกกระทำ ไม่เป็นไร

เพราะเขากลัวว่าจะกลายเป็นซัพพอร์ตเสื้อแดง เลือกข้างเลือกฝั่งหรือเปล่า

อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ตอนนี้อย่างที่เห็นคือสังคมไทยแตกแยกทางความคิดกันอย่างมาก ไม่ได้ยึดถือในเรื่องของหลักการแต่กลายเป็นในเรื่องของบุคคลมากๆ ถ้าสมยศออกมาเคลื่อนไหวแล้วก็สมยศเป็นหนึ่งในเสื้อแดง เคยเป็นแกนนำ นปช.รุ่น2 หรืออะไรแบบนี้ มันจะถูกตัดสินไปแล้วว่าสมยศต้องทำอะไรที่ผิด หรือแม้กระทั่งมีผังล้มเจ้า สมยศก็มีชื่ออยู่ในผังล้มเจ้า เพราะฉะนั้นมันเชื่อมโยงไปเลย

ช่วยเล่าบทบาทในงานสายแรงานที่สมยศทำมายาวนาน และรวมถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขามาเคลื่อนไหวเรื่องการเมือง

จริงๆ เขาทำงานสายแรงงานเป็น activist  ตั้งแต่สมัยเรียน หลังจาก 6 ตุลา 2519 อีก 3-4 ปีเขาก็ไปทำงานที่สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ตอนนั้นแรงงานที่ถูกกดขี่มากๆ เป็นแรงงานย่านอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ แกก็เข้าไปทำงานกับคนงาน จัดการศึกษาในเรื่องของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เรื่องการเจรจาต่อรอง

หลังจากนั้นก็ขยายมาตั้งกลุ่มเองกับคนงานที่ย่านรังสิต คือ กลุ่ม YCW (Young Christian Woman) ก็จะมีกลุ่มแรงงานสตรี เป็นคนงานหญิงที่อยู่ในโรงงานทอผ้าที่ออกมาตั้งกลุ่มกันและก็รณรงค์เคลื่อนไหวในเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ เรื่องของการเลิกจ้าง สมัยนั้นมีโรงงานที่เลิกจ้างเยอะมากช่วงประมาณปี 2525-2530

จากนั้นมาตั้งสำนักงานเป็นของตัวเองชื่อว่าศูนย์บริการข้อมูลอบรมแรงงาน เรียกว่าเป็น NGO แล้วก็มีกรณีของโรงงานเคเดอร์ซึ่งเป็นโรงงานตุ๊กตาถูกไฟไหม้ มีพนักงานเสียชีวิตเยอะมาก โรงงานปฏิเสธที่จะแสดงความรับผิดชอบจ่ายค่าชดเชย ตอนนั้นเขาก็เข้าไปร่วมกับองค์กรแรงงานอื่นๆ ทำให้พวกลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบได้ค่าชดเชยอย่างสมเหตุสมผล แล้วก็หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแนวมาจับงานในเรื่องของโรคเอดส์ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน

พี่เข้าใจว่าในเรื่องของประชาธิปไตยหรือว่าในเรื่องของหลักการ เรื่องของความเป็นมาร์กซิสม์ เรื่องของการต่อสู้ เรื่องของชนชั้น มันอยู่ในตัวของแกอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เพราะฉะนั้น เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองมันเปลี่ยนแปลง มีการรัฐประหารซึ่งมันไม่ถูกต้อง ทำให้สิทธิของคนชั้นล่างถูกกดขี่ ถูกละเมิด แกก็จะออกมาต่อต้าน จริงๆ ก็ตั้งแต่ปี 2535 ช่วงนั้นแกก็ออกมาต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร แต่ตอนนั้นอาจจะไม่ได้ทำอะไรมากนักเพราะว่าอยู่ในสายแรงงานเป็นหลัก

หลังจากนั้นรัฐประหารปี 2549 ก็ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร แต่ขณะเดียวกันกับตอนที่แกทำงานด้านสิทธิกรรมกร สิทธิแรงงาน แกก็ทำงานเขียน เขียนบทความส่งไปตามนิตยสารหรือว่าหนังสือพิมพ์อยู่เรื่อยๆ เป็นบทความสายแรงงาน อย่างเช่นการเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ การเรียกร้องให้ภาครัฐหรือโรงงานต่างๆ ตอนหลังหลังจากที่ปิดสำนักงานศูนย์บริการข้อมูล แกก็ออกมาทำงานเคลื่อนไหว เขียนหนังสือ ทำสำนักพิมพ์เอง ทำนิตยสารเชิงการเมืองและสังคมชื่อ ‘สยามปริทัศน์’ พิมพ์พ็อกเก็ตบุ๊กและนิตยสารเป็นเรื่องการเมือง สังคม และข่าวในปัจจุบัน คือ เป็น บก. และเป็นคนจัดพิมพ์ พอสยามปริทัศน์ถูกปิดไป แกก็มาเป็น บก. ให้ Voice of Taksin ต่อมาโรงพิมพ์ถูกสั่งไม่ให้พิมพ์นิตยสารนี้ จึงมาเป็น Red Power และก็ถูกจับเมื่อปี 2554 ตอนนั้นก็ยังเป็น บก.Red Power อยู่

จริงๆ ก่อนหน้านี้แกถูกจับครั้งนึงโดยคำสั่งของ ศอฉ. และถูกนำไปขังที่ค่ายอดิศร สระบุรี เมื่อปี 2553

ตอนถูกจับไปค่ายอดิศรปี 2553ประมาณ 21วัน สถานการณ์เป็นอย่างไร

ก็เป็นห่วงเป็นธรรมดา ช่วงนั้นพี่ทำงานต่างประเทศ ไปสิงคโปทุกเดือน และช่วงที่ถูกจับก็เป็นวันที่ไปสิงคโปพอดี เมื่อมีคำสั่งของ ศอฉ. มาตามตัวแก รุ่งขึ้นแกก็ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ รายงานตัวเสร็จก็จับไปเลยแล้วพักนึงก็ปล่อยตัวมา หลังจากออกมาก็ยังทำนิตยสาร Red Power อยู่ กิจกรรมทางด้านการเมืองก็อย่างเช่นการปราศรัยตามเวที จัดแรลลี่ แกมีกลุ่มเคลื่อนไหว ชื่อว่า ‘กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย’ เป็นการรวมตัวกันของประชาชนทั่วๆ ไป ที่มาร่วมกันจัดเสวนา จัดงานแรลลี่ นอกจากนี้แกยังมีการจัดทัวร์ไปประเทศเวียดนาม เขมร ลาว จะเดินทางกับกลุ่มทัวร์ทุก 2-3 เดือน วันที่แกถูกจับคดีนี้ แกจัดทัวร์ไปเขมร ก่อนไปก็บอกไว้ว่าจะไม่อยู่บ้าน 3-4 วัน

ตอนที่รู้ว่าแกโดนแจ้งข้อหา 112คิดยังไง รู้สึกยังไง

ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะเลวร้าย เนื่องจากแกทำกิจกรรมการเมือง สังคม มาตลอดชีวิต จริงๆ แกจะมีคดีก่อนหน้านี้อยู่อย่างเช่น คดีหมิ่นประมาทพล.อ.สะพรั่ง  กัลยาณมิตร ซึ่งพี่ก็คิดว่าคดีแบบนี้มันไม่น่าจะร้ายแรง เขาไม่ได้เป็นฆาตรกร อย่างมากศาลตัดสินก็คงแค่ปรับหรือว่าอาจจะรอลงอาญา หากจะขังก็คงสักเดือน เหมือนจับไปค่ายทหารอะไรแบบนี้ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น

แล้วเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องซีเรียสตั้งแต่เมื่อไหร่

หลังจากที่เขาถูกจำคุกที่เรือนจำแล้วก็ย้ายไปฝากขัง หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมแกเรื่อยๆ ช่วงนั้นมีคนไปเยี่ยมแกเยอะมาก เต็มล้นห้องแทบทุกวัน ทุกคนก็ยังไม่รู้สึกอะไรมากเพราะว่ากำลังใจจากมวลชนเยอะมาก  จนกระทั่งมาถึงตอนที่อัยการฟ้อง ตอนแรกเราไม่รู้ว่าอัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ คิดว่าคดีมันไม่น่าฟ้อง เพราะแกเป็น บก. ไม่ได้เป็นคนเขียน ปรากฏว่าวันสุดท้ายที่ครบหมดกำหนด อัยการสั่งฟ้อง ทำให้แกต้องติดคุกต่อ กลายเป็นว่าแกไม่ได้กลับบ้าน

หลังจากนั้นอีกเดือนศาลก็รับคำฟ้อง แล้วตอนสืบพยานก็ตระเวนไปทั่วในศาลจังหวัด 4 แห่ง เพราะว่าศาลอาญากรุงเทพฯ ส่งเรื่องไปที่ศาลต่างจังหวัดให้ไปสืบพยานที่นู่น ก็ต้องตามกันไป ตอนนั้นเราคิดว่าสู้คดีมีสิทธิ์ชนะ คดีนี้มันต้องยกฟ้อง พี่ก็ยังมีความหวังว่าพี่สมยศน่าจะได้กลับบ้านในวันที่ตัดสิน ปรากฏว่าตัดสินลงโทษ 11 ปี คือ คดี 112 โทษ 10 ปี บวกเอาคดีเก่าที่รอลงอาญาของสะพรั่งอีก 1 ปี กลายเป็น 11 ปี


จดหมายส่งถึงสมยศในเรือนจำ

แปลว่าในช่วงที่ติดคุกอยู่ในชั้นสืบสวน ชั้นอัยการ ชั้นศาล สมยศมีความหวังที่จะชนะคดี แล้วพอคำพิพากษาออกมาเจ้าตัวเองและสภาพครอบครัวเป็นอย่างไร

เขาคงรู้สึกผิดหวังและเสียใจด้วย เพราะตอนแรกแกหวังมาก ช่วงอาทิตย์ก่อนที่จะตัดสิน จริงๆ ศาลนัดตัดสินเดือนธันวาคมแล้วก็เลื่อนมาเป็นเดือนมกราคมถ้าจำไม่ผิด เนื่องจากมีการเปลี่ยนผู้พิพากษา ตอนนั้นตัวเองมีความรู้สึกว่าศาลน่าจะลงโทษ เพราะดูจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ คดีอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่ตัดสินลงโทษทุกกรณี บางทีคดีหลักฐานดูแล้วไม่สมเหตุสมผลศาลก็ลงโทษ บวกกับการที่เขาเป็นเสื้อแดง เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเป็นคนละขั้วกับประชาธิปปัตตอนนั้นที่เป็นรัฐบาลอยู่ แต่เราไม่คิดว่ามันจะ 10 ปี เราก็ยังหวังว่าอย่างมาก 3 ปี

แกคิดว่าคดีจะถูกยกฟ้องแน่นอน ตอนก่อนตัดสิน แกบริจาคเสื้อผ้าหรือของใช้ต่างๆ ให้คนอื่นหมดเลย มั่นใจมากว่าจะชนะคดี

พอถึงวันพิพากษา วันนั้นคนมาฟังเยอะมากจนล้นห้อง มีการย้ายห้อง 3 รอบ ตอนแรกเป็นห้องเล็กชั้น 7 ย้ายไปชั้น 8 และสุดท้ายคือไปชั้น 9 ห้องที่ใหญ่ที่สุดของศาลอาญา คนฟังน่าจะประมาณ 200-300 เต็มทุกที่นั่ง ศาลอ่านคำพิพากษาลงโทษ 11 ปี เขาทำใจไม่ได้อยู่พักนึง เป็นเดือน แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ดีขึ้น เราก็คุยกันต่อว่ายังไงดี แกตัดสินใจว่าสู้คดี

ในช่วงนั้นคดีอื่นๆ ไม่มีแนวโน้มที่ดีเลย ส่วนใหญ่จำเลยจะเลือกรับสารภาพและขออภัยโทษ ทำไมถึงยังตัดสินใจสู้ต่อ

พี่คิดว่า หนึ่ง แกไม่ได้ทำความผิด ประเด็นตรงนี้ทำให้ตัดสินใจที่จะสู้คดี การรับสารภาพหมายถึงเราทำความผิด เราถึงยอมรับว่ามันผิด แต่สมยศเขาคิดว่าเขาไม่ได้ทำ ต้องเข้าใจว่าการถูกฟ้องครั้งนี้เป็นฟ้องให้แกรับแทนคนเขียน เพราะฉะนั้นแกมั่นใจว่าแกไม่ได้ทำแน่ๆ สอง เข้าใจว่าแกมีความเชื่อว่าการกระทำนี้ไม่ใช่สิ่งผิด เพราะฉะนั้นเรื่องการรับสารภาพมันจึงเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองรับไม่ได้

แต่ว่าเพื่อนๆ ในเรือนจำเลือกทางรับสารภาพกันหลายคนและได้ออกหลายคน สมยศลำบากใจบ้างไหม

จริงๆ ความลำบากใจ คิดว่ามีตลอดเวลา คือ มีคนมาคุยโน้มน้าวแกตั้งแต่วันแรกที่ถูกจับแล้ว ทุกๆฝ่าย ฝ่าย DSI ก็บอกว่าให้ยอมคดีไปเลย ไม่มีทางสู้ได้ ทั้งปลอบทั้งขู่ ฝั่งเพื่อไทยเองก็ออฟเฟอร์บอกว่าถ้ายุติจะรีบทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้เร็วที่สุด หรือแม้กระทั่งนักโทษคนอื่นๆ ก็บอกว่าไม่ต้องสู้หรอก เพราะว่าคนอื่นเขาก็ไม่สู้กันมึงจะสู้ทำไม จะโง่สู้ไปทำไม ไม่เห็นจะได้อะไรเลย คนพูดกันหลายทิศทาง มาคุยกับพี่ว่าบอกพี่สมยศยอมเถอะจะได้ออกมา อะไรแบบนี้ก็มี

แล้วรู้สึกอยากให้แกยอมไหม

ไม่นะ คิดว่าแกตัดสินใจถูกแล้ว พี่เห็นด้วยกับแกที่ว่า สมมติว่าเราไม่ผิด ยังไงเราก็ต้องประกาศจุดยืนตรงนี้ วันที่เราบอกคนอื่นๆ ว่าเรารับสารภาพผิด มันจะกลายเป็นความผิดของเราทันที

ที่สำคัญ แกไม่ได้ถูกทำร้ายหรือว่าทารุณกรรมมากในสภาพที่แกเป็นอยู่ในปัจจุบัน เราก็ได้รับการดูแลสนับสนุนจากคนอื่นๆ ทั่วไปให้เราสู้ ในเมื่อพี่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ถึงแม้ขาดแกไปพี่ก็ดูแลครอบครัวได้ เพราะฉะนั้นพี่สนับสนุนให้แกสู้ อย่างน้อยๆ แกก็ไม่ต้องห่วงในเรื่องของครอบครัว หลายๆ ครอบครัวที่เขาไม่ยอมสู้ เพราะว่าเขามีภาระเป็นหัวหน้าครอบครัว

ตัวแกเองก็มีคนที่เขายินดีที่จะมาช่วยดูแลแก มาเยี่ยมแกด้วย ถึงแม้พี่จะไม่ได้ไปเยี่ยมทุกวัน ไปแค่อาทิตย์ละครั้ง แต่มีคนช่วยแบบนี้ก็ยังโอเค ไม่ได้ลำบากเกินไป ถ้าสภาพเป็นแบบนักโทษเมืองจีน ที่มีการทารุณกรรม ญาติเยี่ยมไม่ได้เลย เราอาจตัดสินใจอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่เรือนจำชายก็ให้แกเข้าไปดูแลงานห้องสมุด ยังได้อ่านหนังสือ ได้เขียนหนังสือ

คนคงสงสัยว่าทำไมเขาถึงดื้อนัก

จริงๆ พี่รู้แล้วอยู่ว่าเขาเป็นอย่างนี้ รู้ตั้งแต่แต่งงาน ถ้าดูประวัติเขาที่เล่าให้ฟัง เขาไม่ได้อยู่ๆ เป็นแบบนี้ เขาเป็นมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา เชื่อมั่นในอุดมการณ์ความคิดของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรจะไปเปลี่ยนเขา เราไม่ควรจะใช้ความเป็นภรรยา หรือความเป็นครอบครัวมาเรียกร้องตรงนี้กับเขา ถ้าเขารู้สึกว่าเขาตัดสินใจแบบนี้แล้วมันโอเคที่สุดสำหรับเขา

เข้าใจว่าช่วงแรกๆ ทางครอบครัวค่อนข้างเงียบ ไม่เปิดตัว จนกระทั่งมีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายของญาติผู้ประสบภัยจาก 112 ช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้น มีผลกระทบอะไรที่กังวลหรือเปล่า

จริงๆ พี่ไม่ได้อยู่ในภาพของการเคลื่อนไหวทางการเมือง พี่มีอาชีพของตัวเองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตรงนี้ ตอนนั้นยังรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะลุกขึ้นมาพูด มาแสดงความคิดเห็นในเรื่องอะไรตรงนี้มากนัก แต่เราก็ไปดูแลเขาเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าไม่อยากที่จะออกสู่สาธารณะ

แล้วจากนั้นมันเป็นตามธรรมชาติมากกว่า เวลาเราไปเยี่ยมช่วงนั้นจะมีนักโทษการเมืองอยู่ประมาณ 12-13 คน และแต่ละคนก็จะมีญาติ ภรรยา พ่อแม่ ลูก พอดีว่าช่วงนั้นญาติๆ ได้เจอกันและคุยกันได้  เขาก็สามารถที่จะคิดจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา แรกๆ เลยเอาไว้ช่วยเหลือกัน พูดคุยกัน ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำอะไรมากมาย พอทำไปทำมาก็เห็นประเด็นที่เราควรจะทำ เช่น เปิดตัวให้สาธารณชนรู้ว่ามันมีปัญหาเรื่องการใช้กฎหมายแบบนี้อยู่ ญาติมีอะไรที่ได้รับผลกระทบ


จดหมายที่ส่งถึงสมยศในเรือนจำ ปรึกษาเรื่องจำนำข้าว

ตอนนี้คดีถึงไหนแล้ว

เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 19 กันยายน ศาลอุทรธ์ตัดสินคดี โดยที่ศาลไม่ได้แจ้งทางทนายและญาติ ตอนนั้นกลายเป็นว่าเขาพาสมยศออกจากเรือนจำไปฟังการอ่านคำพิพากษาคนเดียว ศาลอุทรณ์ก็พิพากษายืน เราก็คุยกันว่าไหนๆ เรามาถึงจุดนี้แล้ว เราก็จะสู้ไปจนถึงสุดท้ายเลยแล้วกัน โดยใช้ทนายคนเดิมคือคุณวสันต์ พานิช รวบรวมรีวิวข้อโต้แย้งที่เพื่อทำฎีกา

มีความหวังที่จะชนะคดีอยู่ไหม

ถ้าสถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ เราก็คงต้องวิเคราะห์ ในเมืองไทยการตัดสินพิพากษามันไม่ได้ยืน stand alone ด้วยตัวของมันเอง มันมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาพการเมืองเยอะมาก ถ้าสมมติว่ามัน stand alone เป็นองค์กรอิสระไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย คิดว่าการตัดสินจะเป็นอีกแบบนึง เพราะฉะนั้นเรามีสิทธิ์ที่จะชนะในกรณีนั้น แต่ตอนนี้ถ้าดูแล้วสถานการณ์ทางการเมือง เราไม่มีรัฐบาทที่มาจากการเลือกตั้ง เราไม่มีประชาธิปไตย เรามีรัฐบาลทหารซึ่งใช้กฎอัยการศึก เพราะฉะนั้นภายใต้กฎอัยการศึกโดยเผด็จการทหารแบบนี้ ผลคือเขาน่าจะลงโทษเหมือนเดิม ถ้าจะหวังอะไรได้บ้างก็คงหวังว่าเขาจะลดโทษน้อยลง

แต่ถามว่าเราสู้คดี ความหวังสูงสุดเราคืออะไร เราหวังว่าศาลจะตัดสินให้พี่สมยศไม่มีความผิด ยกฟ้อง เราอยากจะสู้ให้ผลเป็นแบบนั้น ให้มันชัดเจนว่าคดีแบบนี้ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความผิด ไม่สมควรที่จะมีใครทำอะไรแบบนี้แล้วผิด อันที่สองคือสมยศไม่ได้ทำผิด แต่ก็อย่างที่บอกเราก็ต้องเผื่อใจตามสถานการณ์บ้านเมือง

ถามว่าถ้าสมมติศาลฎีกาลงโทษเหมือนเดิมจะเป็นยังไงต่อไป ผลก็คือเขาจะกลายเป็นนักโทษเด็ดขาด หลังจากนั้นก็อาจจะมีการปรับสถานะจากนักโทษธรรมดาเป็นชั้นกลาง ชั้นเยี่ยม แล้วก็อาจมีโอกาสพักโทษ ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้รับการปล่อยตัวเร็วขึ้นกว่า 11 ปีนิดหน่อย

โทษ 11 ปีอย่างน้อยก็หมายถึง 1 ใน 6ของชีวิต เขาคิดจะใช้เวลามหาศาลนี้ในเรือนจำทำอะไรบ้าง

อ่านหนังสือเป็นหลัก เขียนบันทึกส่วนตัว ได้อยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลาทบทวนสิ่งที่ผ่านมา ได้คุยกับนักโทษในเรือนจำคนอื่นๆ นักโทษในเรือนจำก็มีหลากหลาย นักโทษต่างชาติเยอะ ทำให้เขาได้ใช้ภาษาอังกฤษในการพูดคุย ได้เรียนรู้ชีวิตของคนอื่นๆ สิ่งที่ดีที่สุดคือเขาเป็นคนชอบช่วยเหลือคน เขาก็ช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตยากลำบากในเรือนจำ อันนี้เขาไม่ได้เล่าให้เราฟัง แต่นักโทษคนอื่นที่เขาได้ออกมาเขามาเล่าให้ฟังแล้วขอบคุณพี่ เพราะพี่ยศได้เป็นที่พึ่งให้เขาทางด้านจิตใจ ช่วยเหลือดูแลในเบื้องต้นตอนเขาเข้าเรือนจำใหม่ๆ

แกได้ทำงานของแก ในแง่ชีวิตเราไม่รู้หรอกว่าชีวิตเราจะเจออะไร แต่เมื่อเราเจอแล้วก็ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ใช้เวลาขณะนั้นให้ดีที่สุด ถ้าเราคิดว่าเวลาที่เราอยู่ทำอะไรไม่ได้ เสียไปเปล่าๆ มันก็สูญเสียจริงๆ

แกเปลี่ยนไปเยอะจากการที่อยู่ข้างนอกเคลื่อนไหว แล้วต้องเข้าไปอยู่ในเรือจำแล้วเขาได้ใช้เวลาทบทวน เขากลายเป็นคนที่สงบนิ่งมากขึ้น เขายังคงความเข้มแข็ง แข็งแกร่งไว้ อาจจะมากกว่าเดิมด้วย อย่างน้อยๆ เขาก้าวข้ามความกลัวของเขาไปแล้ว ตอนช่วงแรกๆ ที่เขาถูกตัดสิน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขาต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองมาก แต่ ณ ตอนนี้เขาก้าวข้ามมาแล้ว พี่ไม่เห็นแววตาที่เขากลัวกับชีวิตหรืออะไร คือ ถ้าคุณไม่ประสบวิกฤตในชีวิตแล้วคุณก้าวข้ามมันได้ก็จะไม่เป็นแบบนี้ พี่คิดว่าเขาประสบความสำเร็จตรงนี้ บางทีคุกก็อาจให้อะไรกับเราเหมือนกัน

คิดว่าเคสของสมยศและคนอื่นๆ ที่ต่อสู้ในชั้นฎีกา จะให้อะไรสังคมไทยได้บ้างไหม หรือมีความหวังว่าสังคมไทยจะมีความเปลี่ยนแปลงเพราะสิ่งเหล่านี้บ้างไหม

คงตอบแทนคนอื่นๆ ไม่ได้ทั้งหมด แต่เท่าที่ได้รับ feed back มา หลายๆ คนมองการต่อสู้คดีเราเป็นตัวอย่าง มองเราเป็น role model เหมือนกัน ไม่ว่าผลจะออกมาว่า เราชนะหรือแพ้คดี หรืออย่างไรก็ตาม เขามองว่าเราได้ต่อสู้ และเขาศรัทธาและคิดว่าถ้าเราสู้ได้ เขาก็สู้ได้ ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับปัญหาอะไรในชีวิต

พี่ไม่ได้คาดหวังว่าสังคมจะเปลี่ยนไป คดีของสมยศจะทำให้สังคมเป็นประชาธิปไตย ไม่มีรัฐประหารหรืออะไร แต่อย่างน้อยๆ คนที่ได้ติดตามเรา ได้ติดตามเรื่องราวของเรา เขาก็ได้กำลังใจเหมือนกัน บางทีคนเรามันแลกเปลี่ยนกำลังใจกันจากการเห็นคนอื่นทำ การกระทำของคนอื่นมันเป็นแรงบันดาลใจให้เราสู้ต่อ บางทีการกระทำของเราอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นต่อสู้กับชีวิตเขาเหมือนกัน

ช่วงไหนคือช่วงที่รู้สึกอึดอัด เจ็บปวดที่สุด

ช่วงปีแรกๆ ที่ตามแกไปเรือนจำ เพราะถูกย้ายไปขึ้นศาลที่เรือนจำต่างจังหวัด เรารู้สึกเจ็บปวด เห็นแกถูกใส่โซ่ตรวน ถูกกระทำ จากการเป็นคนปกติธรรมดาแล้วต้องถอดรองเท้าเดิน ใส่ชุดนักโทษ ต้องลากโซ่ เราก็รู้สึกแย่ หนักที่สุดคือวันที่ยื่นประกัน พี่ยื่นทั้งหมด 16 ครั้ง หลังๆ ไม่ได้หวังแล้ว แต่ช่วงกลางๆ ตอนที่เราสู้คดี เตรียมข้อมูลมาพอสมควร เราได้รายงานจาก article 19 เพื่อสนับสนุนว่าทำแบบนี้ไม่ผิด เราสู้สุดๆ แล้วแต่เขาก็ยังไม่ให้ประกัน ตอนนั้นแกถูกพามาขึ้นศาล แล้วเขาก็พาแกขึ้นรถเรือนจำกลับ พี่รู้สึกแย่มากที่เราสู้แล้วไม่สำเร็จ ต้องเห็นแกกลับไปเรือนจำทั้งๆ ที่ควรกลับบ้านกับพี่ แต่ก็พยายามไม่เศร้านาน ต้องพยายามดูแลตัวเองด้วย เพราะเราต้องเป็นคนสู้ต่ออยู่ข้างนอก

 

เสียงจากสายแรงงาน

เรียบเรียงโดย ณัฏฐ์ณิชา วงศ์ศิริวิพัฒน์

สมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นนักกิจกรรมด้านสิทธิแรงงาน เคยเป็นประธานสหภาพพันธมิตรแรงงานประชาธิปไตย แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย สมยศเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวและการก่อตั้งสหภาพแรงงานไทย ก่อนจะมาเคลื่อนไหวด้านสิทธิทางการเมือง

หลังรัฐประหารปี 2549 สมยศได้รับเลือกให้เป็นแกนนำชุดที่ 2 ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) การจับกุมตัวนายสมยศเกิดขึ้นหลังจากเครือข่ายประชาธิปไตยที่เขามีส่วนร่วมประกาศแคมเปญรณรงค์ล่า 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอให้รัฐสภาทบทวนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพียง 5 วัน นอกจากนี้ชื่อของเขายังถูกบรรจุอยู่ใน “ผังล้มเจ้า” ซึ่งจัดทำโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และประกาศสู่สาธารณะโดยพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิดในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

สมยศถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554 ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ด้วยข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดมาตรา 112 ฐานอนุญาตให้มีการตีพิมพ์บทความสองชิ้นลงในนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ บทความทั้งสองชิ้นเขียนขึ้นโดยบุคคลซึ่งใช้ชื่อว่า “จิตร พลจันทร์” อันเป็นนามแฝงที่เกิดจากการผสมชื่อและสกุลของนักคิดฝั่งซ้ายคนสำคัญในประเทศไทยสองคน คือ จิตร ภูมิศักดิ์ และ อัสนี พลจันทร์

สมยศเป็นหนึ่งใน 5 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนไทย ผู้ได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัลสมชาย นีละไพจิตร จากกองทุนรางวัลสมชาย นีละไพจิตรในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555

เยาวภา ดอนเสกลุ่มคนงานสตรีสู่เสรีภาพผู้เคยร่วมงานกับสมยศเล่าว่า ตนเป็นคนงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในเครืออีเดนกรุ๊ป ร่วมงานกับสมยศครั้งแรกเมื่อสมยศเข้ามาอบรมให้ความรู้กับคนงานในโรงงานถึงเรื่องสหภาพแรงงาน ต่อมาเกิดการเลิกจ้างในโรงงาน สมยศเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้คนงานได้รับค่าชดเชยซึ่งได้สูงกว่ากฎหมายในสมัยปี พ.ศ. 2541 โดยได้รับค่าตอบแทนในการเลิกจ้าง 10 เดือน ผลพวงมาจากการต่อสู้ของคนงานในครั้งนั้นทำให้มีการตระหนักถึงการแก้ไขกฎหมาย ถ้าสมยศไม่เข้ามาช่วย มาค้นข้อมูล คนงานก็คงจะไม่ได้ค่าชดเชยตามกฎหมายเลย

การเคลื่อนไหวเรียกร้องที่ประสบผลสำเร็จมากคือ การลาคลอด 90 วัน เยาวภาเล่าถึงการเรียกร้องในครั้งนั้นว่า สมยศเป็นเพียงคนเดียวที่อุ้มลูกอายุไม่กี่เดือนไปเรียกร้องสิทธิให้คนงานลาคลอดได้ 90 วัน

“ในสมัยนั้น เอกพร รักความสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานฯ เคยจีบสมยศให้ไปเป็นที่ปรึกษา แต่ว่าแกไม่ไป เพราะแกถือว่าเท่ากับเป็นการทรยศคนงาน เท่ากับยอมขายตัวให้กับนักการเมือง”

“เกิดความเปลี่ยนแปลงในปี 49 หลังจากรัฐประหาร คนในองค์กรต่างก็ถูกชวนให้ไปทำงานหนังสือเพื่อที่จะไปเจาะฐานให้กับคนที่นิยมทักษิณ พูดง่ายๆ จะเอามวลชนของเขานั่นแหละ จะเจาะฐานความคิด เพื่อให้คนได้เข้าใจในด้านสิทธิด้านการเมือง จึงทำให้สมยศผันตัวออกไปทำหนังสือและห่างออกจากการทำด้านแรงงาน”

 “รู้สึกเศร้ามากเมื่อได้ยินว่าแกถูกจำคุก เราสู้ด้วยกันมา แกไม่ได้เป็นคนทำผิด และเราก็ชื่นชมว่าแกไม่ยอมรับสิ่งที่เขาต้องการให้ยอมรับเพื่อขออภัยโทษ ยังคงจะสู้ต่อไป แม้จะเป็นความเจ็บปวดของพวกเราในฐานะเพื่อนมิตร เราก็ต้องยอมรับแล้วก็สู้ร่วมกับแกไป วันเมย์เดย์หลังเสร็จงานรณรงค์เราจะนัดกันไป หรือทุกวันพุธ เราก็จะนัดกันไปเยี่ยมแก แต่ปีนี้เป็นที่น่าเสียใจว่า ไปแล้วไม่สามารถเข้าพบได้ หลังคสช.มีอำนาจ มีการออกกฎระเบียบใหม่ ทำให้เราไม่สามารถพบปะพูดคุยกับแกได้เหมือนก่อน”

“ถึงแม้ว่าในสายตาของคนอื่นแกเป็นแบดบอย ตั้งแต่เคลื่อนไหวด้านแรงงาน แต่เมื่อเขาไปจับเคสไหนก็ตาม มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในโรงงานที่ยังไม่มีสหภาพแกเข้าไปจัดการศึกษามันก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จริง อันนี้ไม่ได้อวยกัน แต่มันทำให้คนที่ได้รับการศึกษาเกิดแนวคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมที่ตัวเองอยู่ด้วย สิ่งนี้คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐจับตามองมาตลอดยี่สิบสามสิบปีที่แกทำงานมา”

ศรีไพร นนทรีย์กลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตฯ ในสมัยก่อนเคยทำงานอยู่โรงงานตัดเย็บเสื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป บริษัท ไทยการ์เมนต์ เอ๊กซปอร์ต จำกัด คนงานทุกคนก็ถูกบังคับให้ทำโอทีโดยที่ไม่มีการจ่ายค่าโอทีให้ เป็นการบังคับทำงานแบบโหดร้ายมาก เช่น มีการนำโซ่มาคล้องประตูไม่ให้คนงานออกจากโรงงาน พวกคนงานทนไม่ไหวจึงได้ไปติดต่อกับสหภาพแรงงานที่บริษัทในเครือจึงได้มีการแนะนำให้รู้จักกับสมยศ เขาช่วยคิดรูปแบบที่จะทำให้คนงานคนอื่นๆ รู้ว่าการรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานดีอย่างไร

“เขาเป็นคนแอคทีฟ งานที่เขาทำคือจัดตั้งสหภาพแรงงาน แล้วให้ความรู้เรื่องชนชั้น เรื่องความสำคัญของกรรมาชีพ เขาช่วยได้เยอะ เพราะพวกพี่แม้แต่คำว่า สหภาพแรงงาน ก็ไม่รู้จักเลย แล้วเขาก็เป็นคนประสานให้ได้แลกเปลี่ยนกับสหภาพแรงงานที่อื่น”

“เขาเป็นคนมีอุดมการณ์ เป็นคนฉลาด ทำให้งานคืบหน้าไปได้เร็ว พวกพี่ตั้งสหภาพแรงงานได้ภายในสองปี และเกิดตามกันมาอีกหลายแห่ง เป็นคนมีบทบาทมากคนหนึ่ง”

“ช่วงหนึ่งที่แกไปอยู่ นปช. พี่ก็รู้สึกว่าใครไปเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ไม่ใช่พรรคแรงงานโดยตรง ก็ไม่รู้สึกดีเท่าไร แต่ไม่ได้ตำหนิติติงอะไรแก แค่ห่างๆ กันไป แต่พอโดนจับคดีนี้ ตอนแรกคิดว่าแกถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่คุยกับหลายๆ คนแล้ว มันไม่ใช่ คนอย่างพวกเรา นักกิจกรรมอย่างพวกเรายังไงก็มีอุดมการณ์ ยังไงก็ตามเราก็เป็นห่วง ใจคอไม่ดี คิดว่าแกจะต้องตายในคุกไหม ความผูกพันในอดีตที่เรามีต่อกัน ช่วยเหลือ ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเยอะ ก็รับไม่ค่อยได้เหมือนกันที่จะโดนแบบนี้ และแกควรได้รับการประกันตัวมาสู้คดี ผิดหวังมากกับกระบวนการยุติธรรมในบ้านเรา”

สุวรรณา ตาลเหล็กกลุ่มผู้ประสานงานของกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เล่าว่ารู้จักสมยศในช่วงที่เกิดเหตุการณ์บริษัทเคเดอร์ไฟไหม้และตึกถล่มตามมาส่งผลให้มีคนงานเสียชีวิตประมาณ 188 ศพ ได้ร่วมกันเรียกร้องสิทธิให้คนงาน อย่างไรกตาม ได้มาร่วมงานกันอย่างจริงจังในปี 2540 สุวรรณาเข้ามาทำศูนย์บริการข้อมูลและฝึกอบรมแรงงานที่สมยศก่อตั้งขึ้น

กิจกรรมของที่ศูนย์ก็คือการจัดอบรมเรื่องกฎหมายแรงงาน กฎหมายคุ้มครองแรงงาน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ประกันสังคม และคอยช่วยเหลือแรงงานที่ถูกละเมิด ถูกเลิกจ้าง จ่ายค่าแรงไม่ตรงเวลา ฯลฯ ในช่วงที่ทำงานกับสมยศ ก็ได้มีการร่วมกันเรียกร้องเงินสงเคราะห์บุตร คือเป็นการขยายสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานในส่วนนของประกันสังคม และขยายค่าเล่าเรียนบุตร เรื่องเบี้ยชราภาพ ไปจนถึงการลาคลอด และการทำฟัน ฯลฯ ที่เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนพึงจะได้รับรวมไปจนถึงค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศมาโดยตลอด

“ทำงานกับพี่สมยศ ไม่มีลักษณะที่ต้องทำอย่างที่เขาบอก เขาจะสอนวิธีการทำงานให้เราได้เติบโตจริงๆ เจอกับปัญหาจริงๆ ไม่มีการครอบงำ ทำให้รู้จักแก้ไขปัญหา รู้จักอดทน และเขาจะบอกพวกเราเสมอว่า ให้มีศรัทธากับงานที่เราทำอยู่”

“หลายครั้งเราก็อารมณ์ร้อน เขาก็จะบอกเสมอว่า เรามีโอกาสที่จะได้เรียนรู้มากกว่าคนงานที่อยู่ในโรงงานนะเพราะฉะนั้นเราต้องอดทน และให้โอกาสเค้าที่เค้าจะได้เติบโตและเรียนรู้ในสิ่งที่เค้าถูกกระทำ เราต้องคอยช่วยเหลือเค้าเพราะเค้าไม่มีโอกาส”

“แกทำงานกับคนงานด้วยความรู้สึกที่ว่าพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ แล้วแกก็มีความเชื่อว่าถ้าหากคนงานมีความรู้ได้ศึกษาได้เรียนรู้ในกฎหมายที่ตัวเองควรจะรู้ก็จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะแรงงานที่เขาใส่ใจ ปัญหาชาวบ้าน ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ เขาก็ใส่ใจ”

จะเด็ด เชาวน์วิไลจากมูลนิธิเพื่อนหญิง เล่าให้ฟังถึงบทบาทที่ผ่านมาของสมยศในการเคลื่อนไหวด้านแรงงานนับตั้งแต่ราวปี 2528 เช่นเดียวกับคนอื่น จนกระทั่งในช่วงหลังจึงห่างกันไป เมื่อถามถึงมุมมองต่อสมยศในขบวนการแรงงาน เขาเล่าว่า

“ช่วงหลัง ผมเองห่างๆ เขา สมยศสนใจประเด็นประชาธิปไตย บทบาทผมยังทำเรื่องผู้หญิง ทางผมก็ตามดูห่างๆ ไม่ได้เข้าไปเต้นมาก มองว่าในแง่นี้ผู้ใช้แรงงานมีหลากหลายความคิด บางส่วนเห็นด้วย บางส่วนไม่เห็นด้วย เอ็นจีโอไม่ชัดเจนเรื่องนี้ บางส่วนก็ไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย มันเหมือนเขาเป็นผลพวงของความขัดแย้งของชนชั้นนำ เหมือนเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่โดนเล่นเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง และมันก็เป็นการริดลอนเสรีภาพประชาชน ผมก็เขียนไว้ในบทความวาระครบ 3 ปีคุมขังสมยศ ว่า กรณีสมยศเองเหมือนถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่จะบอกว่า ใครทำเรื่องนี้ก็จะโดนแบบนี้ เป็นเรื่องระหว่างชนชั้นนำสองฝ่าย”

“ต้องให้กำลังใจที่เขาต่อสู้เรื่องนี้ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ผมให้กำลังใจครอบครัวสมยศที่ต้องฝ่าฟันเรื่องนี้”

“ผมคิดว่า บทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนสำคัญมากที่เข้าไปทำให้ขบวนการแรงงานเข้มแข็ง น่าเสียดายที่ช่วงหนึ่งที่ทำแล้วมีนโยบายสาธารณะเกิดขึ้นเพราะมีปัญญาชนกลุ่มหน่งเข้าไป แต่ตอนนี้มันหายไปเลย บทบาทปัญญาชนสำคัญกับขวนการแรงงาน สมยศก็มีส่วนสำคัญที่ทำตรงนั้น”  

บุญมี วันดีอดีตผู้นำสหภาพ และผู้ดูแลศูนย์บริการข้อมูลและฝึกอบรมแรงงาน จ.สุพรรณบุรี ซึ่งปัจจุบันไม่มีกิจกรรมใดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็แยกย้ายกันหมดแล้วเหลือเพียงเขาคนเดียว อย่างไรก็ตาม เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นสมยศมาตั้งแต่เรียน มศ.5 และเริ่มเคลื่อนไหวเรื่องแรงงานมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง

“สมยศเขาเป็นคนมีโอกาสเยอะ มีคนเสนอตำแหน่งให้เขาเยอะ ตั้งแต่ยุคชาติชายแล้ว แต่เขาไม่ไป บางคนนี่เขาอยากไปจะตาย เป็นที่ปรึกษานุ่นนี่ เขาเคลื่อนไหวมีผลกระทบสูงมากด้วย สมยศเวลาเคลื่อนไหวเขาคมมาก คนไม่เยอะแต่มีศักยภาพสูง งานไหนเขาจับแล้ว โรงงานนั้นหวั่นไหวเลยแหละ กลัว ตอนยุคชาติชาย อาจารย์ไกรศักดิ์เคยเสนอให้เป็นที่ปรึกษาบ้านพิษฯด้วยซ้ำ เขาบอกเขาไม่เอา ขี้เกียจใส่สูท สมัยนั้นเราเคลื่อนไหวเราได้เจอนายกฯ ทุกคน ชวน จิ๋ว ชาติชาย บรรหาร เวลายื่นหนังสือก็ต้องคุยกันเป็นคณะ เมื่อก่อนเคลื่อนไหวมีผล ดีที่เขาไม่เสียคนแม้จะสู้มายาวนาน”
“จนถึงวันนี้ ต้องเคารพว่ามั่นคง ไม่ยอม อันนี้เราเคารพเขาว่าแข็งมาก”

“ในฐานะเพื่อน อยากให้เขาประกันตัว มันน่าจะเป็นสิทธิของเขาที่จะได้ออกมาสู้คดีเต็มที่ คดีสิ้นสุดยังไงก็ว่าไปอีกขั้น ผมเคารพเขาเพราะเขามีจุดยืนมั่นคง ตอนไปเยี่ยมเขาหลายคนก็บอกว่าให้รับสารภาพ เขาบอกรับไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ทำ เราจึงเคารพเขา จริงๆ ถ้าเขาอยากออกไวก็รับแล้วขอพระราชทานอภัยโทษ แต่เขาไม่ยอมเลย เขาคิดว่าเขาไม่ได้มีความผิดอะไร”

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘อานนท์ นำภา’ รับทราบข้อกล่าวหาเพิ่ม 5 กระทง ปฏิเสธให้พาสเวิร์ดเฟซบุ๊กแก่ตำรวจ

$
0
0

<--break- />

4 มี.ค.2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า  เวลา 13.00 น. นายอานนท์ นำภา พร้อมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดฐาน “นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ” ตามมาตรา 14 (2) แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งมีโทษจำคุกจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เมื่อรวม 5 ข้อความที่กล่าวหา จะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 25 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท

คดีนี้ พอ. บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญเข้าแจ้งความในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเห็นว่าการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว จำนวน 5 ข้อความเข้าข่ายผิดกฎหมาย ข้อความทั้งหมดประกอบด้วย

1. “ซวยแล้วครับ นายทหารพระธรรมนูญชื่อ พ.อ.บุรินทร์ มาที่ สน.ครับ คนนี้เคยถูกผมซักค้านในศาลทหาร เขาดูเหมือนจะไม่พอใจผมเรื่องถามเรื่องรัฐประหาร ซวยแล้วครับ ในศาลนี่ทนายทำหน้าที่ได้ แต่ในโรงพักนี่ห้องเริ่มหนาวแล้วครับ”

2. “พี่ๆทหารช่วยเอ็นดูผมด้วยนะครับ เรื่องในศาลผมแค่ซักค้านตามหน้าที่น่ะครับ เพราะเจ้านายพี่เขาเป็นกบฏจริงๆ”

3. “สถานการณ์ล่าสุด ตำรวจจะให้กลับแล้ว แต่ทหารยังไม่ให้กลับ”

4. “ปัญหามันไม่ใช่เรื่องทหารในระดับตัวบุคคลไม่ดี แต่มันเรื่องหลักการไม่ดี ไม่ดีตรงที่เราปล่อยให้มีกฎอัยการศึก ซึ่งมันเปิดช่องให้ทหารใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ”

5. “ในแง่อำนาจสืบสวนสอบสวนกรณีเหตุการณ์วันนี้ ตำรวจมีความเห็นให้ปล่อยตัวแล้ว แต่ทหารไม่ยอม ซึ่งการปล่อยให้ทหารเข้ามาแทรกแซงได้แบบนี้มันผิดหลักการแน่ๆ เพราะกิจกรรมมันเป็นปฏิปักษ์กับทหารในตัวของมันเอง คนที่ถูกควบคุมก็เป็นคนที่ต่อต้านทหาร หรืออย่างผมก็ทำหน้าที่ตรวจสอบทหารในการละเมิดสิทธิมนุษยชน นี่คือความป่าเถื่อนของกฎอัยการศึก มันทำลายหลักการไปอย่างสิ้นเชิง”
 

(ข้อความจากเฟซบุ๊ค "อานนท์ นำภา" ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558)

ในระหว่างสอบคำให้การพนักงานสอบสวนได้ขอรหัสผ่านในการเข้าถึงบัญชีเฟสบุ๊กส่วนตัวโดยอ้างอำนาจตามมาตรา 132 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งนายอานนท์ไม่ให้ความยินยอม เนื่องจากเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หากต้องการข้อมูลเจ้าหน้าที่ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 18 และมาตรา 19 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้นายอานนท์ได้แจ้งว่าจะให้การเป็นหนังสือต่อพนักงานสอบสวนอีกครั้งภายใน 1 เดือน

ทั้งนี้ ข้อความทั้งหมดเป็นการโพสต์ระหว่างถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ สน.ปทุมวัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายอานนท์ พร้อมประชาชนอีก 3 คนจากหน้าหอศิลป์ ซึ่งมีการจัดงาน "เลือกตั้งที่(รัก)ลัก" เมื่อวันที่ 14 ก.พ.58 วันดังกล่าวเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 4 คนในข้อหา "ชุมนุมทางการเมือง ฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ คดีที่เกิดขึ้นจะถูกดำเนินคดีภายใต้ศาลทหาร ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 37 และ 38/2557

ด้าน iLawระบุว่า อานนท์ นำภา เป็นทนายความที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2553 โดยเขาเป็นทนายความที่ผ่านการทำคดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาเป็นจำนวนมาก ในช่วงที่สังคมไทยยังรู้จักกฎหมายฉบับนี้กันน้อยมาก เช่น
คดี จีรนุช ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท http://freedom.ilaw.or.th/th/case/112
คดี ธันย์ฐวุฒิ หรือ หนุ่มเรดนนท์ http://freedom.ilaw.or.th/th/case/19
คดี อำพล หรือ อากงSMS http://freedom.ilaw.or.th/th/case/21
คดี คธา : Wet dream (คดีหุ้นตก) http://freedom.ilaw.or.th/th/case/83
และปัจจุบันเขายังเป็นทนายความในคดีของสิรภพด้วย http://freedom.ilaw.or.th/th/case/622

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.สมเจตน์ ขอให้บุตรชาย-น้องชายลาออกผู้ช่วย สนช. เพื่อให้สังคมสบายใจ

$
0
0

กรณี สนช. 50 ราย ตั้งภรรยา-บุตร-เครือญาติเป็นผู้ช่วย จนวิป สนช. ขอความร่วมมือให้เครือญาติลาออก-ล่าสุด พล.อ.สมเจตน์ ระบุว่าให้บุตรชาย-น้องชายลาออกแล้ว เพื่อให้สังคมสบายใจและเป็นแบบอย่างที่ดี ด้าน "ศรีสุวรรณ จรรยา" ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ไต่สวน หากผิดจริงให้คืนเงินแก่แผ่นดิน และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กรณีที่สำนักข่าวอิศรา รายงานเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ตรวจสอบพบสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวนกว่า 50 ราย แต่งตั้งภรรยา-บุตร-เครือญาติ เข้าดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วยดำเนินงาน สนช. รับเงินเดือนระหว่าง 15,000 บาท - 24,000 บาท (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) นอกจากนี้ยังเปิดเผยด้วยว่า  พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 สมาชิก สนช. แต่งตั้ง พล.ร.ต.หญิง พวงพลอย ขจิตสุวรรณ คู่สมรส รับตำแหน่ง ผู้ช่วยประจำตัว สนช. ผู้ชำนาญการประจำตัว สนช. และ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว รวม 3 ตำแหน่ง รับเงินเดือน 59,000 บาท นั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

และต่อมา วิป สนช. ขอความร่วมมือให้สมาชิก สนช. ที่ตั้งเครือญาติมาช่วยงานในตำแหน่ง สนช. ขอให้เครือญาติลาออกจากตำแหน่งนั้น

ล่าสุดวันนี้ (4 มี.ค.) ข่าวสดออนไลน์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ซึ่งยอมรับว่านำบุตรชายและน้องชายมาช่วยงาน ซึ่งในส่วนบุตรชายได้ลาออกจากตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนน้องชายที่มาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัว สนช. แม้ขณะนี้จะใช้งานอยู่ ก็จะให้ไปลาออกเช่นกัน เพื่อให้สังคมเกิดความสบายใจ แม้จะไม่ใช่มติวิปสนช. เป็นแค่การขอความร่วมมือ แต่ตนก็พร้อมแสดงสปิริตให้ความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส จะได้เป็นแบบอย่างที่ดี

"เท่าที่คุยกับสนช.หลายคน เมื่อมีข่าวออกมาทุกคนก็เกิดความไม่สบายใจ เพราะทุกคนมีเจตนาดี ในการเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ขณะนี้ สนช.หลายคนได้ให้เครือญาติไปลาออกจากตำแหน่งแล้ว ก่อนที่วิป สนช.จะขอความร่วมมือมาเสียอีก รวมไปถึงสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ที่มีการตั้งเครือญาติมาช่วยงาน ก็สั่งให้ไปลาออกแล้วเช่นกัน" พล.อ.สมเจตน์กล่าว

พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า แม้การแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงาน จะทำได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อสังคมเกิดความไม่สบายใจ เห็นว่าไม่มีความเหมาะสม เราก็พร้อมแก้ไข ไม่ขอแก้ตัว ส่วนเหตุผลที่นำบุตรชายและน้องชายมาช่วยงานนั้น ไม่ขอพูดถึงเหตุผล เพราะพูดไปจะหาว่าแก้ตัว ตนมีเหตุผลแน่นอน แต่ไม่ขอชี้แจง เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะเป็นผลดีหรือยิ่งเป็นผลเสียหนักยิ่งขึ้น มีการนำไปขยายผลต่อไปอีก จึงไม่ขอแก้ตัว แต่ขอแก้ไขดีกว่า

ทั้งนี้ พล.สมเจตน์ กล่าวด้วยว่า ไม่ทราบว่ามีกระบวนการทำลาย สนช. อย่างที่นายตวง อันทะไชยออกมาระบุ แต่ยอมรับว่า เมื่อ สนช.เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งเป็นจุดอ่อนอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นก็ต้องถูกนำไปขยายความอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามขอขอบคุณสังคมที่เห็นว่า การแต่งตั้งเครือญาติมาช่วยงานเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แม้กฎหมายจะไม่ห้ามไว้ ถือว่าสังคมเดินมาถูกทางแล้ว อยากให้สังคมทำแบบนี้ตลอดไป เพื่อช่วยกันตรวจสอบนักการเมืองที่จะเข้ามา  

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 3 มี.ค. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิก สนช. กว่า 50 คน เลขาธิการวุฒิสภา และรองเลขาธิการวุฒิสภา กรณีสมาชิก สนช.ทำการแต่งตั้งภริยา บุตร และเครือญาติมาช่วยงานในตำแหน่งต่างๆ ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง และเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน

ทั้งนี้ หากดำเนินการไต่สวน แล้วพบว่ามีความผิดจริง ให้ดำเนินการคืนเงินประจำตำแหน่งทั้งหมดแก่แผ่นดิน และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการแสดงความโปร่งใส ขอให้ สนช.ตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและสรุปรายงานแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อแฉเอกสารลับอิสราเอล พบ 'เนทันยาฮู' พูดเกินจริงเรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน

$
0
0

เผยเอกสารลับหน่วยข่าวกรองอิสราเอล พบอิหร่านไม่ได้มีปฏิบัติการในแง่ที่จำเป็นต่อการผลิตอาวุธ ขัดแย้งกับที่นายกฯอิสราเอลย้ำมาตลอดว่าอิหร่านเป็นภัยจากการผลิตอาวุธนิวเคลียร์


3 มี.ค. 2558 สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนยามิน เนทันยาฮู กล่าวเกินจริงในการกล่าวหาว่าทางการอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ร้ายแรงไว้ในครอบครอง หลังจากมีเอกสารลับที่ถูกเปิดโปงโดยสื่อเดอะการ์เดียน และอัลจาซีรา ซึ่งมีที่มาจากหน่วยข่าวกรองและปฏิบัติการพิเศษ 'มอสสาด' ของอิสราเอล

ก่อนหน้านี้เนทันยาฮูเคยกล่าวถึงภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อปี 2555 โดยกล่าวว่าอิหร่านใกล้จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สำเร็จในปี 2556 ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ขัดกับข้อมูลที่ได้มาจากหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลเอง

ในเอกสารลับของมอสสาดระบุว่า อิหร่าน "ไม่ได้กำลังมีปฏิบัติการในแง่ที่จำเป็นต่อการผลิตอาวุธ" แม้ว่าอิหร่านจะสะสม 'ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะร้อยละ 5' มากพอจะสร้างระเบิดหลายลูกได้ และยังสะสม 'ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะร้อยละ 20' ไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งบางส่วนถูกนำไปใช้สร้างพลังงานนิวเคลียร์ แต่อิหร่านก็ไม่ได้เพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมมากขึ้นกว่านี้

การเปิดโปงในครั้งนี้มีผลกระทบต่ออิสราเอลในฐานะประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลโอบามาของสหรัฐฯ และผู้นำบางส่วนของอิหร่านมีความต้องการทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศราบรื่นขึ้นจากเดิมที่เคยเป็นปฏิปักษ์กัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการความร่วมมือในการจัดการปัญหาจากภัยของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศอิรัก ซีเรีย และเยเมน ทำให้การใช้โวหารโจมตีอิหร่านของผู้นำอิสราเอลถูกมองว่าจะกระทบต่อการเจรจาที่มีความอ่อนไหวระหว่างกลุ่มผู้นำโลกกับอิหร่านในเรื่องการยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ ฝ่ายอิสราเอลเองก็เกรงว่าการพยายามเอาใจอิหร่านมากขึ้นของสหรัฐฯ จะทำให้ตนเสียผลประโยชน์ที่เคยได้จากสหรัฐฯ

สำนักข่าวโกลบอลโพสต์รายงานว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เนทันยาฮูอ้างว่าอิหร่านใกล้สร้างนิวเคลียร์สำเร็จ เขาเคยทำนายเรื่องนี้ตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส. ในปี 2535 นอกจากนี้ยังมีคนอื่นๆ ของทางการอิสราเอลอ้างถึงการผลิตหัวรบนิวเคลียร์อิหร่านหลายครั้งมากนับตั้งแต่ช่วงปี 2533 เป็นต้นมา นับได้ราวสิบครั้ง


เอกสารมอสสาดเผยแอฟริกามีความสำคัญมากขึ้นในแง่ยุทธศาสตร์การจารกรรม
เอกสารของมอสสาดดังกล่าวเป็นเอกสารที่อิสราเอลแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางการแอฟริกาใต้ ในวันที่ 22 ต.ค. 2555 ซึ่งอาจจะเขียนไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ในเอกสารยังระบุถึงรายละเอียดปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มอัลกออิดะฮ์ กลุ่มไอซิส และองค์กรก่อการร้ายอื่นๆ

เอกสารฉบับนี้มีส่วนที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่นการที่ทางการเกาหลีใต้ตั้งเป้าหมายกับผู้นำองค์กรกรีนพีช สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ พยายามติดต่อกับกลุ่มติดอาวุธฮามาสแม้ว่าจะถูกห้ามจากสหรัฐฯ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา "ขู่" ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ให้ถอนการลงคะแนนสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์ในที่ประชุมยูเอ็น และเรื่องที่ทางการแอฟริกาใต้สอดแนมกรณีการทำสัญญาดาวเทียม 100 ล้านดอลลาร์ของรัสเซีย

เอกสารชุดนี้ตกไปอยู่ในมือของหน่วยข่าวสืบสวนสอบสวนของอัลจาซีรา ก่อนจะส่งต่อให้กับสำนักข่าวเดอะการ์เดียน ในเอกสารแสดงให้เห็นอีกว่าแอฟริกากำลังมีความสำคัญมากขึ้นในแง่ยุทธศาสตร์การจารกรรม ในขณะที่ประเทศสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ เริ่มแสดงบทบาทต่อภูมิภาคแอฟริกามากขึ้นเรื่อยๆ ในความพยายามยับยั้งอิทธิพลของอิหร่าน ส่วนจีนก็เริ่มขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจไปยังแอฟริกา


เรียบเรียงจาก

The Israeli government has exaggerated the Iranian nuclear threat for years, Globalpost, 27-02-2015
http://www.globalpost.com/dispatch/news/regions/middle-east/iran/150227/the-israeli-government-has-exaggerated-the-iranian-nuc

Leaked cables show Netanyahu’s Iran bomb claim contradicted by Mossad, The Guardian, 23-02-2015
http://www.theguardian.com/world/2015/feb/23/leaked-spy-cables-netanyahu-iran-bomb-mossad

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50858 articles
Browse latest View live




Latest Images