ซิป้าและทีดีอาร์ไอคาดซอฟต์แวร์ไทยโต 8.6%
สนง.เลขาธิการวุฒิสภาเปิดรับ สนช.รายงานตัว คาดเลือกประธาน 8 ส.ค.
สมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญชี้รายชื่อ สนช. ไม่หลากหลายขัด ม.7 รธน.57
“แดง ชินจัง” สารภาพยิง M79 ใส่เวที กปปส.
สหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยอังกฤษ: University and College Union
สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษ ย่อมประกอบด้วยบุคลากรสองประเภทหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ บุคลากรสายผู้สอน (academic staff)กับบุคลากรสายสนับสนุน (support staff)ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบุคลากรประเภทใดก็ตาม ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อให้ภารกิจในการให้บริการทางการศึกษาแก่นักศึกษาเจริญรุดหน้าไปในอนาคต
สถาบันอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษจึงมีความจำเป็นที่จะต้องคัดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการและการบริการทางการศึกษา ให้เข้ามาทำงานในสถาบันการศึกษาของตน ในขณะเดียวกัน สถาบันก็อาจใช้ประโยชน์จากบุคลากรในด้านต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมทางวิชาการและกิจกรรมทางธุรกิจอื่นๆ ของสถาบันการศึกษา อีกด้วย สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของอังกฤษ จึงได้พยายามเฟ้นหาบุคคลให้เข้ามาทำงานในสถาบันโดยบุคลากรของสถาบันการศึกษาที่ดำรงสถานะต่างๆ จะถูกผูกพันด้วยสัญญาจ้างแรงงาน (contract of employment)ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานจากทางสถาบันการศึกษาแบบรายภาคการศึกษา (fixed-term employment)หรือการจ้างงานจากทางสถาบันการศึกษาในลักษณะสัญญาจ้างถาวร (permanent employment)
สถาบันอุดมศึกษาของอังกฤษในฐานะที่เป็นผู้รับบุคลากรเข้ามาทำงานโดยจ่ายค่าจ้างกับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาในฐานะที่เป็นบุคคลซึ่งตกลงทำงานให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเพื่อรับค่าจ้าง ภายใต้เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการการเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่น ของสถาบันอุดมศึกษาหรือบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาอันเกี่ยวกับการจ้างงาน ย่อมล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้เรื่องของแรงงานสัมพันธ์ (labour relations)ทั้งสิ้น
อนึ่ง แม้ว่าการดำเนินกิจกรรมบริการสาธารณะด้านการจัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศอังกฤษ จะมีกฎหมายให้อำนาจสถาบันอุดมศึกษาในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการจัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาเอาไว้ ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติFurther and Higher Education Act 1992อันเป็นกฎหมายที่กำหนดการยกฐานะของวิทยาลัยอาชีวะและวิทยาลัยอาชีพต่างๆ ให้กลายมาเป็นสถาบันอุดมศึกษาของท้องถิ่น โดยกฎหมายดังกล่าวได้ให้อำนาจแก่สถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการให้บริการทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาแก่นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ที่สนใจมาศึกษาในระดับอุดมศึกษา (โปรดดู The National Archives, Further and Higher Education Act 1992, http://www.legislation.gov.uk/ukpga/1992/13) อย่างไรก็ตาม กฎหมายอังกฤษมิได้มุ่งจะกำหนดนิติสัมพันธ์ทางแรงงานระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาภายใต้สัญญาทางปกครองแต่ประการใด แต่กฎหมายอังกฤษกลับมุ่งกำหนดนิติสัมพันธ์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษา ให้เป็นความผูกพันภายใต้สัญญาจ้างแรงงาน ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ของอังกฤษ
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา เป็นไปในรูปแบบของความผูกพันทางด้านแรงงานสัมพันธ์แล้ว บุคลากรของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย จึงสามารถรวมตัวกันตามกฎหมายเพื่อการแสวงหาแนวทางส่งเสริมสิทธิเกื้อกูลและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างงานและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษา
ดังนั้น บุคลากรของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วทั้งประเทศอังกฤษ จึงได้รวมตัวกันตั้ง สหภาพพนักงานมหาวิทยาลัย(University and College Union - UCU)อันถือเป็นสหภาพแรงงาน (Trade union) ประเภทหนึ่ง (โปรดดูเพิ่มเติมใน University and College Union, Our history, http://www.ucu.org.uk/2176) โดยสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งขึ้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองของบุคลากรของสถาบันการศึกษาในฐานะที่เป็นลูกจ้างต่อสถาบันอุดมศึกษาในฐานะที่เป็นนายจ้าง ผ่านการต่อสู้ทางแรงงานต่างๆ ที่ทางสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ได้นำมาใช้เพื่อผลทางเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์โดยเฉพาะ เช่น การชุมนุมประท้วงเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้างงานต่อสถาบันอุดมศึกษา การคว่ำบาตรการเจรจากับสถาบันอุดมศึกษาเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์ และการนัดหยุดการเรียนการสอนเพื่อกดดันสถาบันอุดมศึกษา เป็นต้น
การจัดตั้งสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ย่อมส่งผลดีในแง่ของการเจรจาต่อรองและการกดดันสถาบันอุดมศึกษา ในเรื่องเกี่ยวกับเงินเดือน สวัสดิการและสิทธิเกื้อกูลอื่นๆ ที่บุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาหรือพนักงานมหาวิทยาลัยพึ่งจะได้รับอย่างเหมาะสม ภายใต้การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมในสังคมแรงงาน ตัวอย่างเช่น การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ของบุคลากรสถาบันอุดมศึกษาอังกฤษครั้งใหญ่ ในปี ค.ศ. 2013 (UK higher education strike 2013) เพื่อประท้วงและเรียกร้องการจ่ายค่าตอบแทนที่มีความไม่เป็นธรรมหรือการจ่ายค่าตอบแทนไม่ได้สัดส่วนกับมาตรฐานค่าตอบแทนที่ควรจะเป็นตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กำหนดเอาไว้ รวมไปถึงการตัดเงินเดือนของบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ โดยไม่มีเหตุจำเป็น (โปรดดูเพิ่มเติมใน BBC News, University strike expected to go ahead on Thursday, http://www.bbc.com/news/education-24726743)
สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น การรวมตัวของพนักงานสถาบันอุดมศึกษาหรือพนักงานมหาวิทยาลัย เพื่อตั้งสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัย สำหรับดำเนินกิจกรรมอันนำมาซึ่งผลทางเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการคุ้มครองแรงงานและแรงงานสัมพันธ์โดยเฉพาะ (industrial actions) ย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งด้วยเหตุว่าความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานมหาวิทยาลัยกับสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปในรูปแบบของสัญญาทางปกครองมิใช่รูปแบบของสัญญาจ้างแรงงานจึงเป็นการยากที่บุคลากรสถาบันอุดมศึกษาของไทยจะสามารถใช้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมประท้วง การคว่ำบาตรหรือการนัดหยุดการเรียนการสอน ต่อสถาบันอุดมศึกษา อนึ่ง กฎหมายแรงงานไทยในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2543ก็ไม่ได้เปิดช่องให้ลูกจ้างตามสัญญาจ้างในกิจการบริการสาธารณะทุกประเภท (รวมถึงพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาสายวิชาการและพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาสายสนับสนุน) สามารถทำกิจกรรมต่อรองบางประการอันนำมาซึ่งผลทางเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องผลประโยชน์ทางด้านการคุ้มครองแรงงานหรือแรงงาน เช่น การนัดหยุดงาน เป็นต้น
กลุ่มผู้ชุมนุม กคป.ชุดแรกรายงานตัวอัยการคดีปิดล้อม ปตท.
1 ปีน้ำมันรั่ว เกาะเสม็ด (ฟื้นฟู) เสร็จแล้วจริงหรือ?
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็
สำออย รัตนวิจิตร นายกสมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี หลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบของ PTTGC รั่วไหลออกทะเล จ.ระยอง แต่ดูเหมือนว่าการเยี
วีรศักดิ์ คงณรงค์ สมาชิกคนสมาคมประมงพื้นบ้านเรื
ทั้งนี้ รายได้จากการประมงยังลดลงอย่
นอกจากนี้ การทำประมงโป๊ะเชือก เครื่องมือประมงประจำที่
ชาวประมงโป๊ะเชือก จ.ระยอง กล่าวว่า ที่ผ่านมาจะกู้โป๊ะแบบวันเว้นวั
ในช่วงฤดูกาลก่อนน้ำมันดิบรั่ว ช่วงเดือน ต.ค. 2555 - เม.ย. 2556 รายได้จากการประมงโป๊ะเชือกอยู่
ด้านอำนาจ ศรีชลา ชาวประมงพื้นบ้าน จ.ระยอง กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านกังวลใจกั
ขณะที่ ไพบูลย์ เล็กรัตน์ หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า PTTGC อ้างว่าให้เงินเยียวยารายละ 30,000 บาท ที่ PTTGC และหน่วยงานรัฐเป็นผู้กำหนด โดยปฏิเสธข้อเรียกร้องของชาวบ้
ด้านสุวรรณ นันทศรุต ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้
ขณะที่การเก็บตัวอย่างเพื่อวั
สอดคล้องกับการแถลงข่าว ครบรอบ 1 ปี น้ำมันรั่วไหลลงทะเล จ.ระยอง โดยกรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2557 โดยสรุปว่า สถานการณ์สิ่งแวดล้อม บริเวณรอบเกาะเสม็ด และชายฝั่งทะเล จ.ระยอง ณ วันที่ 25 ก.ค. 2557 ภาพรวมคุณภาพน้ำทะเลมีค่าอยู่
นอกจากนี้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2556 ได้มอบหมายให้กระทรวงทรั
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและสิ่
1. แผนงานแก้ไขและฟื้นฟูทรั
2. แผนงานติดตามและประเมินผล เป็นการติดตามทรัพยากรธรรมชาติ
แผนการฟื้นฟูฯ มีกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2556-2560 โครงการส่วนใหญ่จะดำเนินการถึ
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยังคงกังวลใจว่า ข้อมูลของภาครัฐหลายส่วนยั
รอบโลกแรงงานกรกฎาคม 2014
เอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์พิมพ์ปกดำ-ไม่ลงภาพและข้อความใดๆ
หลัง คสช. ออกคำสั่ง 108/2557 เตือนเอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์ ตีพิมพ์ข้อความ "บิ๊กตู่ คสช.พ่อทุกสถาบัน" ฯลฯ และให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติสอบ ล่าสุดเอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 252 ขึ้นปกดำล้วน ขณะที่ไทยพีบีเอสอ้างแหล่งข่าวระบุว่าเอเอสทีวี ผจก.สุดสัปดาห์ตัดสินใจหยุดวางจำหน่าย 4 ฉบับ
1 ส.ค. 2557 - ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คแฟนเพจของเขา เป็นภาพปกหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 252 ประจำวันที่ 2-8 สิงหาคม โดยทั้งหน้าปกเป็นหัวหนังสือพิมพ์ พื้นสีดำล้วน ไม่มีการตีพิมพ์ข้อความและภาพปกใดๆ
ทั้งนี้ ไทยพีบีเอส รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในผู้จัดการว่า หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์ จะไม่มีการตีพิมพ์อีก 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 253 ถึง 256 โดยจะเสนอแต่เวอร์ชั่นออนไลน์ เพื่อลดแรงกดดันให้กับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ที่เข้ามาสอบสวนเรื่องดังกล่าวตามร้องขอของ คสช.
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 ก.ค. มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดยระบุว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 วันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค. 2557 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของ คสช. ในคำสั่ง คสช. ให้ตักเตือนผู้เขียนบทความ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว หากฝ่าฝืนอีกจะดำเนินการตามกฎอัยการศึก และดำเนินการตามกฎหมาย และสั่งให้องค์กรวิชาชีพดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพต่อบุคคลเหล่านั้น แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ คสช.ทราบโดยเร็ว
และในวันที่ 29 ก.ค. คสช. โดยคณะทำงานด้านกฎหมาย ส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักเลขาธิการ คสช. ได้ส่งหนังสือมายังสภาการหนังสือพิมพ์ ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 108/2557 เลขหนังสือ คสช.(สลธ) 1.10/55 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2557
โดยในหนังสือของ คสช. ระบุว่า หนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่อง เช่น ข้อความที่หน้าปกที่ว่า “ธรรมนูญ “บิ๊กตู่” คสช.พ่อทุกสถาบัน” ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติอยู่เหนือสถาบันเบื้องสูง ส่วนข้อความในหน้า 16 เขียนพาดพิงชื่อบุคคลที่มีหน้าที่เลือกสรรเครื่องสุขภัณฑ์ในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นทายาทของหัวหน้า คสช.
และข้อความในหน้า 18 ที่เปรียบเทียบการสรรหา สนช. กับการแบ่งเค้ก โดยในหนังสือของ คสช. ระบุว่า ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ ถือว่าการกระทำดังกล่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557
ทั้งนี้ในวันที่ 29 ก.ค. สภาการหนังสือพิมพ์มีการเรียกประชุมด่วนในช่วงเช้า และมีมติให้นายสิทธิโชค ศรีเมือง รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ นำเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการพิจารณาตรวจสอบตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พ.ศ. 2540 และข้อบังคับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติว่าด้วยวิธีพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2540 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2554 (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
เครือข่ายผู้ติดเชื้อ-มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ แถลงการณ์ร่วม แจงกรณีถูก รร.ปฏิเสธให้บริการ
1 ส.ค. 2557 เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยและองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ออกแถลงการณ์ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีสององค์กรถูกปฏิเสธให้บริการจากโรงแรมทาวน์อินทาวน์ ชี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ อย่างชัดเจน ระบุจะดำเนินการรณรงค์ให้สาธารณชนได้ร่วมกันบอยคอตการใช้บริการของโรงแรมในเครือแห่งนี้ โดยจะทำหนังสือเวียนถึงทุกหน่วยงานทั้งเอกชน และราชการ เพื่อให้เลิกการสนับสนุนโรงแรมดังกล่าว จนกว่าทางโรงแรมจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย รวมทั้งชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
รายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้
๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
แถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยและองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ถูกปฏิเสธให้บริการจากโรงแรมทาวน์อินทาวน์
จากกรณีที่เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ถูกปฏิเสธการจัดประชุม สัมมนา และบริการห้องพัก ห้องอาหารจากโรงแรมทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพฯ และเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ที่ผ่านมา ตัวแทนจากเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ตามที่เป็นข่าวนั้น
เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ อย่างชัดเจน โดยไม่เพียงกระทำต่อผู้ติดเชื้อฯ เท่านั้น แต่ยังเหมารวมถึงทุกองค์กรที่ทำงานในเรื่องเอดส์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นทัศนคติของผู้บริหารโรงแรมที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ รวมถึงมีอคติต่อตัวผู้ติดเชื้อฯ ซึ่งสะท้อนจากคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่โรงแรมที่อ้างถึงเหตุผลของผู้บริหารในการไม่ให้บริการ
ตัวอย่างเช่น การอ้างว่า ลูกค้ารายอื่นๆ เกิดความไม่สบายใจในการใช้สถานที่ร่วมกัน อย่างห้องพัก หรือห้องอาหาร ขณะที่ข้อเท็จจริงคือ ไม่เคยมีใครติดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารโดยใช้ช้อนส้อมร่วมกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้ห้องน้ำ หรือห้องพักร่วมกัน ไม่เพียงเท่านั้น การจะทราบว่าใครติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ ต้องใช้การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวีเท่านั้น ไม่สามารถสังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอกได้
อนึ่ง การที่เจ้าหน้าที่ของโรงแรมอ้างว่า ทางองค์กรยกเลิกการจัดงานกระทันหัน ข้อเท็จจริงคือ ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน – ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ติดต่อขอใช้สถานที่เพื่อจัดอบรมให้กับอาสาสมัครสายด่วนปรึกษาเอดส์ ๑๖๖๓ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่รามคำแหง ซึ่งใกล้กับสถานที่จัดงาน ทางองค์กรผู้จัดคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมอบรม ที่ต้องเดินทางมาในพื้นที่เสี่ยง จึงยกเลิกการจัดอบรมในวันที่ ๑ ธันวาคม โดยได้ปรึกษากับทางฝ่ายขายของโรงแรมเพื่อรับผิดชอบกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ได้จัดอบรมให้อาสาสมัครสายด่วนฯ อีกครั้งในวันที่ ๑๔ – ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๖, ๑๘ – ๑๙ มกราคม, ๒๕ มกราคม และ ๑ – ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามลำดับ
นอกจากนี้ การให้เหตุผลว่ามีทรัพย์สินสูญหาย เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ที่ผ่านมา ทางโรงแรมได้พิสูจน์ด้วยการตรวจสอบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดแล้ว และพบว่าไม่ใช่ผู้เข้าร่วมอบรมจากมูลนิธิเข้าถึงเอดส์แต่อย่างใด การให้สัมภาษณ์เช่นนี้เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและถือว่า เข้าข่ายการหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งทางมูลนิธิเข้าถึงเอดส์จะพิจารณาเอาผิดต่อกรณีนี้ต่อไป
รวมถึงการอ้างว่ามีการติดต่อไปยังโรงแรม โดยการเปลี่ยนชื่อติดต่อไป และสุดท้ายให้ออกใบเสร็จในชื่อของมูลนิธิฯ นั้นเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นจริง ซึ่งพฤติกรรมการให้ข้อมูลบิดเบือนเช่นนี้แสดงเจตนาต้องการทำให้มูลนิธิฯ เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างชัดเจน
ไม่เพียงเท่านั้น การอ้างว่าผู้เข้าร่วมงานแต่งกายไม่เรียบร้อย สะท้อนให้เห็นทัศนคติของเจ้าหน้าที่และผู้บริหารโรงแรมที่ดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แบ่งแยกชนชั้นจากการแต่งกาย และมองคนจากภายนอก ซึ่งไม่สมควรเป็นทัศนะของผู้ที่ทำหน้าที่ให้บริการ
ทั้งนี้ ทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ จะดำเนินการรณรงค์ให้สาธารณชนได้ร่วมกันบอยคอตการใช้บริการของโรงแรมในเครือแห่งนี้ โดยจะทำหนังสือเวียนถึงทุกหน่วยงานทั้งเอกชน และราชการ เพื่อให้เลิกการสนับสนุนโรงแรมดังกล่าว จนกว่าทางโรงแรมจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย รวมทั้งชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
ขอแสดงความนับถือ
(อภิวัฒน์ กวางแก้ว)
ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ
(นิมิตร์ เทียนอุดม)
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์
คสช. ออกประกาศให้หัวหน้าพรรคการเมืองเสนอชื่อสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปได้
รายงานตัว สนช. วันที่ 2 ยังคึกคัก 'พล.อ.ธวัชชัย' เตรียมยื่นใบลาออก สนช. เหตุคุณสมบัติขัด รธน.
ครึ่งปีการเมืองเปลี่ยน 'ลุงอะแกว' อัมพาต ไม่เปลี่ยน
อัพเดทอาการล่าสุดนายอะแกว แซ่ลิ้ว เหยื่อคมกระสุนศึกชิงคูหาเลือกตั้งหลักสี่ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างมากในเวลาครึ่งปี ลูกสาวเผยชีวิตครอบครัวเปลี่ยนต้องลาออกจากงานมาดูแลพ่อที่ยังอัมพาต
วันที่ 2 ส.ค.นี้ถือเป็นวันครบรอบครึ่งปีของการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ.57 ที่ผ่านมาการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลังเลือกตั้งกลุ่ม กปปส. ก็ยังคงชุมนุมต่อเนื่อง จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เฉพาะในส่วนที่กําหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ. นั้น ไม่สามารถจัดการให้เป็นการเลือกตั้งวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง และตามมาด้วยการรัฐประหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา จนล่าสุดประเทศไทยพึ่งได้เห็นชื่อรายสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ชาติอีก 200 รายชื่อแล้ว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 ก.พ. เพียง 1 วัน อีกข่าวที่ได้รับความสุนใจขณะนั้นคือข่าวศึกชิงคูหาเลือกตั้งที่หลักสี่ กรุงเทพ โดยด้านหนึ่งปรากฏภาพ ‘มือปืนป็อบคอร์น’ และมือปืน ‘ถุงกีต้าร์’ ขณะที่อีกด้านหนึ่งปรากฏภาพชายชรานอนจมกองเลือดอยู่ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กขณะนั้นตั้งแต่ถูกฝ่ายเสื้อแดงยิงบาดเจ็บ จนเป็นชาวกัมพูชาที่เป็นแกนนำกองกำลังติดอาวุธที่มายิงทำร้ายผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.
ซึ่งต่อมาทราบชื่อคือนายอะแกว แซ่ลิ้ว วัย 72 ปี พ่อค้าขายน้ำหวาน น้ำอัดลมที่บริเวณหน้าโรงเรียนเคหะทุ่งสองห้องวิทยา 2 ที่วันเกิดเหตุด้วยความเป็นห่วงลูกสาวที่ทำงานขายอาหารอยู่ฟู้ดเเลนด์ ภายในห้างไอทีสเเควร์ จึงได้เดินทางมาหา และเห็นมาการชุมนุมกันบริเวณที่เกิดเหตุจึงเข้าไปสังเกตุการณ์และถูกยิงจนกลายเป็นอัมพาตจนกระทั่งปัจจุบัน
วลัยพร แซ่ลิ้ว บุตรสาวของนายอะแกว วัย 35 ปี เปิดเผยอาการล่าสุดของบิดาตนว่า ขณะนี้อาการดีขึ้น กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจแล้ว แต่ยังมีการพ้นยาละลายเสมหะอยู่เพราะไม่สามารถขับออกมาด้วยตนเองได้ และยังคงให้อาหารผ่านทางสายยางอยู่ ส่วนอาการอัมพาตนั้นยังเป็นเหมือนเดิม และไม่สามารถพูดได้ แต่สามารถขยับปากได้เท่านั้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลนั้น วลัยพร กล่าวว่าใช้สิทธิบัตรทอง ส่วนเงินเยียวยาจากหน่วยงานต่างๆนั้นยังไม่ได้รับ มีเพียงได้รับจากเงินช่วยเหลือจากผู้ที่มาเยี่ยม รวมทั้งบริจาคผ่านบัญชีที่ตนเปิดไว้
วลัยพร กล่าวถึงสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือขณะนี้ว่า ต้องการเครื่องสำหรับพ้นยา รวมทั้งรถเข็นที่สามารถนอนได้สำหรับใช้เคลื่อนย้ายบิดาได้ เนื่องจากบ้านที่อยู่นั้นอยู่ในเคหะทุ่งสองห้อง ทำให้รถไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เวลาเหตุฉุกเฉินหากต้องนำตัวบิดาออกมาเพื่อไปโรงพยาบาลจะค่อนข้าง เนื่องจากเตียงนอนนั้นแม้จะเข็นได้แต่ไม่ใช้เตียงที่ใช้สำหรับเข็นบนถนน
วลัยพร กล่าวด้วยว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ชีวิตของครอบครัวเปลี่ยนค่อนข้างมาก พี่สาวของตนก็ต้องออกจากงานเพื่อมาดูแลบิดาโดยตรง ขณะที่ตนเองก็ไม่สามารถทำงานได้เต็มที วันหยุดก็ไม่สามารถทำโอทีได้ ต้องมาช่วยพี่สาวดูแลพ่อ
สำหรับหมายเลขบัญชีธนาคารทหารไทยที่เปิดรับบริจาคนั้น ชื่อบัญชี ‘วลัยพร แซ่ลิ้ว’ หมายเลขบัญชี 265 201 9817
รธน.ชั่วคราวกับอคติต่อระบบประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่
เนื้อหาของรัฐธรรมนูญชั่วคราวของ คสช. สะท้อนทัศนคติที่ต่อต้านนักการเมือง ระบบการเมืองแบบรัฐสภา และผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นทัศนะที่ครอบงำกลุ่มคนชนชั้นนำ ปัญญาชน ชนชั้นกลางในเมือง และสื่อมวลชนส่วนใหญ่มาเป็นเวลาเนิ่นนาน สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ อคติดังกล่าวจะถูกนำไปบรรจุลงใน รธน.ฉบับใหม่ต่อไปอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้ความสุขของคนบางกลุ่ม กลายเป็นความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศในที่สุด
- หลายมาตราใน รธน.ชั่วคราวกีดกันไม่ให้นักการเมืองเข้ามาเป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรี (ม.20), สมาชิกของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ม.8), สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (ม.29) และกรรมาธิการยกร่างรธน. (ม.33) ภารกิจอันสำคัญที่จะส่งผลต่อระบบการเมืองไทยในระยะข้างหน้าอย่างกว้างขวางล้วนอยู่ในมือของนายทหารและข้าราชการระดับสูง
- เมื่อนักการเมืองถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วม ก็หมายความว่าไม่มีช่องทางให้ความต้องการของประชาชนอันหลากหลายได้เข้าสู่กระบวนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนี้เลย
- มาตรา 8, 20, 29, 33 ก็คือผลของวาทกรรมนักการเมืองเลว คอรัปชั่นที่ถูกสร้างอย่างต่อเนื่องในช่วงราว 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แน่นอนว่าการคอรัปชั่นของนักการเมืองเป็นปัญหาใหญ่ แต่การคอรัปชั่นในระบบราชการที่เกิดขึ้นรายวัน ตามระบบกินตามน้ำ ไม่ใช่ปัญหาที่เล็กกว่าเลย ระบบการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพ ที่ไม่สามารถตรวจสอบเอาผิดเป็นปัญหาที่ส่งผลต่องบประมาณของประเทศอย่างแน่นอน
- ความเกลียดชังนักการเมือง ยังลุกลามไปสู่การดูถูกเหยียดหยามประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ที่อยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน พวกเขาถูกมองว่าเป็นพวกโง่ จน เจ็บที่เห็นแก่อามิสสินจ้างอันน้อยนิด พวกเขาจึงเป็นสาเหตุที่เปิดประตูให้นักการเมืองเลวเข้าสู่ระบบและทำร้ายประเทศไทย
- แม้ว่าจะมีงานวิจัยทั้งไทยและเทศออกมามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยืนยันว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของคนในต่างจังหวัดนั้น เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ส่งผลต่อการพัฒนาชีวิตและชุมชน มากกว่าการขายเสียง แต่ทัศนคติของชนชั้นกลางในเมืองก็ปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ และยังยืนยันโจมตีต่อไปว่า ต่อให้เลือกเพราะนโยบาย ก็ผิด เพราะเป็นนโยบายประชานิยมที่เลว เห็นแก่ได้ ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ งบประมาณที่ทุ่มลงไปส่วนใหญ่เป็นเงินภาษีของคนกรุงเทพฯ นักการเมืองไม่มีสิทธินำไปใช้เพื่อสร้างความนิยมให้กับตนเอง
- ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่ คสช.จะต้องกำหนดให้คณะกรรมาธิการร่าง รธน. สภาปฏิรูปฯ และสภานิติบัญญัติฯ หาทางสร้างกลไกต่างๆ และบรรจุไว้ใน รธน.ฉบับใหม่ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการคอรัปชั่น กีดกันนักการเมืองที่คอรัปชันไม่ให้เข้าสู่ตำแหน่งการเมืองได้อีก ป้องกันการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เป็นต้น (ดูมาตรา 35)
- ประการสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ที่ยังโง่ จน เจ็บ เป็นผู้ตัดสินว่าใครหรือพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศนี้อีกต่อไป ก็เชื่อได้แน่ว่า รธน.ใหม่จะต้องสร้างกลไกที่ทำให้เสียงส่วนใหญ่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดอีกต่อไป แต่ระบบแต่งตั้งจะถูกนำมาใช้เพื่อลบล้างอำนาจของระบบเสียงส่วนใหญ่ในที่สุด
- ในขณะที่การปฏิรูปของ คสช.มุ่งไปที่ปัญหาคอรัปชั่น สร้างกลไกตรวจสอบ-ควบคุมนักการเมือง และลดอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอีกฝั่งหนึ่งถึงภาวะสองมาตรฐานของกลไกศาล ตุลาการ และองค์กรอิสระทั้งหลาย ที่มุ่งห่ำหั่นกลุ่มการเมืองอีกฝ่ายหนึ่งจนทำลายความศรัทธาและหลักการขององค์กรของตนอย่างยับเยิน ตลอดจนเรียกร้องให้กลไกเหล่านี้มีที่มาที่ยึดโยงกับเสียงของประชาชน สามารถถูกตรวจสอบเอาผิดได้ เชื่อได้แน่ว่าจะไม่เกิดขึ้นใน รธน.ฉบับใหม่ ความเชื่อว่าคนในฟากฝ่ายนี้ล้วนเป็น “คนดี” ทำให้กลไกตรวจสอบ-ปฏิรูปไม่จำเป็นแต่ประการใด
- สิทธิ เสรีภาพของประชาชน และความรับผิด (accountability) ของผู้มีอำนาจ สูญหายไปจาก รธน.ชั่วคราวโดยสิ้นเชิง แม้จะมีอยู่ 48 มาตรา แต่ต้องถือว่ามาตรา 3 ที่ระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของมวลชนชาวไทย และ 4 ไม่มีรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของประชาชนไทยตามรธน.และกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีอยู่จริง เพราะถูกลบล้างด้วยมาตรา 44 และมาตราอื่นๆ ที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน จึงถือได้ว่า รธน.ชั่วคราว มีแค่ 46 มาตราเท่านั้น
- มาตรา 44 ได้ให้ความชอบธรรมกับการใช้อำนาจเด็ดขาดกับผู้นำ คสช.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการจัดการกับผู้ที่มีการกระทำใดๆ ที่ถือว่าเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อเป้าหมายของ คสช. ไม่มีข้อสงสัยว่ามาตรา 44 นั้นคือการรับมรดกของมาตรา 17 ที่ใช้อย่างกว้างขวางในยุครัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คสช.คงเชื่อว่าด้วยอำนาจอันเด็ดขาดนี่จะทำให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับจอมพลสฤษดิ์ ที่ประสบความสำเร็จทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ (ภายใต้การอุปถัมภ์อัดฉีดจากสหรัฐฯ) และประชาชนในยุคนั้นก็ยังชื่นชมในความเด็ดขาดของท่านผู้นำ แต่สังคมไทยยุคสฤษดิ์และยุค คสช. นั้นต่างกันอย่างลิบลับ (ดูบทสนทนาของชาญวิทย์ เกษตรศิริ และทักษ์ เฉลิมเตียรณ)
- รธน.ชั่วคราวไม่ได้ระบุว่า คสช.จะสลายตัวไปหลังจากมีรธน.ใหม่และมีการเลือกตั้งหรือไม่ บทเฉพาะกาลในรธน.ใหม่ อาจะเป็นที่สิงสถิตย์ของ คสช.และอำนาจตามมาตรา 44 ต่อไปก็เป็นได้
สุริยะใส กตะศิลา: สภาสีเขียว กับภารกิจปฏิรูป
เห็นโฉมหน้า สมาชิก สนช. ทั้ง 200 คนแล้ว เป็นไปตามคาดว่า เพราะเต็มไปด้วยทหารและข้าราชการประจำเป็นหลัก ซึ่งพอจะบ่งบอกโฉมหน้ารัฐบาลและยุทธศาสตร์ระยะยาวของการยึดอำนาจครั้งนี้ได้ว่า
จะขับเคลื่อนเคลื่อนโดยพึ่งพากลไกและวิธีคิดรัฐราชการเป็นหลัก ยังคงรักษาระยะห่างที่มีกับภาคประชาชน ทุกกลุ่มทุกขั้วอย่างระมัดระวัง
ทำให้ สนช.มีภาพออกมาไม่ถูกโจมตีว่าเป็นสภาของคู่ขัดแย้งหรือสีใดสีหนึ่ง ถ้าจะคาดสีให้ ก็ต้องเรียก "สภาสีเขียว (ทหาร)" มากกว่า
ผมคิดว่ามีงานที่ท้าทาย สนช. ในเรื่องใหญ่ๆ อยู่ 3 เรื่องที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่ายึดอำนาจครั้งนี้ "เสียของ" หรือไม่
- การสลายเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่ไม่ใช่แค่ดำเนินคดีที่กระทำผิด แต่ต้องเท่าทันยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณที่วิวัฒนาการไปตลอดเวลา โดยเฉพาะระบบธุรกิจการเมือง ที่อำนาจทางธุรกิจและการเมือง กลายเป็นเครืองมือหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำให้สังคมอ่อนแอ เกิดระบบผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจการเมือง จนสังคมการเมืองกลายเป็นหลุมดำ
- การปรองดองสมานฉันท์ ต้องเอาความจริงและต้นเหตุปัญหามาพูดกัน ไม่ใช่แกล้งลืมหรือแกล้งตายกัน งานปรองดองไม่ใช่งานที่ทำได้ในปีเดียว อาจยกสถานะของกระบวนการปรองดองเป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีแผนปรองดองระยะกลางและระยะยาวด้วย
- จะต้องออกกฎหมายที่เป็นต้นน้ำหรือแม่บทของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะใน 11 ประเด็นที่ คสช. วางเค้าโครงไว้ ถือเอาโอกาสนี้ออกกฎหมายสำคัญๆ ที่สภาผู้แทนไม่ทำและไม่กล้าทำ เพราะกระทบผลประโยชน์นายทุนพรรค
เราคงไปหวังให้ สนช.ทำทุกเรื่องทุกความคาดหวังไม่ได้ เพราะมีขัอจำกัดมากมาย แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ที่จะคาดหวังว่ายึดอำนาจครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สถาปนาขั้วอำนาจใหม่ขึ้นมา หรือเสียของซ้ำซาก
อย่าให้เสียของ เพราะมีของเสียในสภาฯ
ผมขอให้กำลังใจ สนช. ที่หวังดีต่อส่วนรวมและบ้านเมืองครับ!
ที่มา: เฟซบุ๊ก สุริยะใส กตะศิลา
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: รัฐธรรมนูญฉบับลำธารสายเดียว
หลังจากที่บริหารประเทศโดยไม่มีรัฐธรรมนูญมาเป็นเวลา 2 เดือน ในที่สุด เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ก็ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว และได้นำมาสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ
ในทางสถิติรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ในประวัติศาสตร์ไทย และเป็นฉบับที่ 16 ที่ประกาศใช้ในรัชกาลปัจจุบัน และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะปูทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ซึ่งจะยิ่งเป็นการตอกย้ำประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก และที่สำคัญคือไม่มีใครเชื่อเลยว่า รัฐธรรมนูญฉบับที 19-20 นี้ จะเป็น 2 ฉบับสุดท้าย เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเชื่อเลยว่า กองทัพไทยจะทำรัฐประหารครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วประเทศไทยจะไม่มีรัฐประหารอีก
แต่แม้ว่ารัฐธรรมนูญไทยจะเป็นเรื่องชั่วคราวอย่างยิ่งเสมอมา ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ อย่างน้อยที่สุด รัฐธรรมนูญก็จะเป็นกฎหมายปกครองสูงสุดในขณะนี้ และจะเป็นตัวออกแบบโครงสร้างทางการเมืองที่ชนชั้นนำในสมัยปัจจุบันต้องการที่จะสร้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคนต่อไป
เรื่องแรกสุด ที่จะต้องกล่าวถึงคือ รัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ ร่างขึ้นโดยมีเนติบริกร วิษณุ เครืองาม ร่วมด้วย พรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ภายใต้การกำกับของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. โดยไม่มีกระบวนการใดเลยที่จะหารือกับสาธารณชน หรือนักวิชาการอื่นใด จึงเท่ากับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับกำหนดกันเอง โดยนำตัวแบบมาจากธรรมนูญฉบับชั่วคราวของคณะรัฐประหารในอดีต ถ้าจะเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับพระวิษณุก็คงจะเก๋ไก๋ไม่น้อย
ต่อมาเมื่อเริ่มต้นพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ตั้งแต่คำปรารภที่อธิบายมาอย่างยืดยาวว่า ประเทศเกิดปัญหาความแตกแยกทางการเมือง และเป็นวิกฤตร้ายแรงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถึงขนาดที่อาจขยายตัวเป็นจลาจล ซึ่งเป็นการ ทําลายความมั่นคงของชาติ และความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อระบอบการปกครอง คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงจำเป็นต้องเข้ายึดและควบคุมอำนาจ และเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมให้เหลือแต่หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์แต่เพียงหมวดเดียว และนำมาซึ่งการประกาศใช้ธรรมนูญชั่วคราวนี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการยืนยันเหตุผลของการทำรัฐประหารของคณะ คสช. โดยไม่ต้องพิจารณาว่า เหตุใดการรัฐประหารครั้งนี้จึงเป็นที่ต่อต้านอย่างมากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จนต้องใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการสะกดการต่อต้านของประชาชนเอาไว้ตลอดเวลา
สำหรับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 48 มาตรา ซึ่งได้รับคำอธิบายจากวิษณุ เครืองามว่า เป็นฉบับ”ลำธาร 5 สาย” แต่เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นได้ว่า เป็นลำธารสายเดียว คือ ให้อำนาจสูงสุด แก่ คณะ คสช. โดยกำหนดไว้ในมาตรา 42 คงรักษาไว้ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดสมัยของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ และแม้ว่าจะให้มีสภานิติบัญญัติ 220 คน มาทำหน้าที่รัฐสภา และให้มีนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรีมาทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร แต่ก็กำหนดให้หัวหน้าคณะ คสช.เป็นคนเลือกและรับสนองพระบรมราชโองการ
และที่มากกว่านั้น คือการกำหนดมาตรา 44 ที่เลียนแบบมาตรา 17 ของธรรมนูญฉบับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ให้อำนาจสูงสุดและเด็ดขาดกับหัวหน้าคณะ คสข. และยังมีมาตรา 48 ที่นิรโทษกรรมการกระทำทั้งหมดของคณะ คสช. และผู้ปฏิบัติตามคำสั่งให้ไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายทั้งย้อนหลังและล่วงหน้า ทำให้ผู้ที่เคยต่อต้านกฏหมายนิรโทษกรรมทั้งหลายต้องพิศวงงงงัน
ข้อที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับอื่น คือ การกำหนดให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 250 คน มาจากการสรรหา จากจังหวัด 77 คน ส่วนอีก 173 คน มาจากการเสนอชื่อให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง สภานี้จะทำหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การปกครองท้องถิ่น การศึกษา เศรษฐกิจ พลังงาน สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สื่อสารมวลชน สังคม และอื่น ๆ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสังคมไทย ซึ่งการกำหนดเรื่องสภาปฏิรูปนี้ก็เป็นอย่างสอดคล้องกับข้อเสนอปฏิรูปประเทศตามแบบที่ฝ่าย กปปส.ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เคยเสนอไว้นั่นเอง
แต่กระนั้น รัฐธรรมนูญนี้ได้มอบหมายหน้าที่ให้สภาปฏิรูปเป็นผู้คัดเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 36 คน มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีการกำหนดกรอบเรียบร้อยแล้วว่า จะต้องร่างให้คลุมหัวข้อเช่น การสร้างกลไกป้องกันการใช้นโยบายประชานิยม การป้องกันไม่ให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาคดีทุจริตคอรัปชั่นเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองโดยเด็ดขาด การบังคับให้รัฐธรรมนูญส่งเสริมหลักคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล เป็นต้น นี่ถือเป็นนววัตรกรรมใหม่ของคณะร่างรัฐธรรมนูญ
ในคุณสมบัติของการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภาปฏิรูป และคณะรัฐมนตรี จะมีข้อความระบุคุณสมบัติว่า จะต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองภายใน 3 ปีก่อนหน้านี้ จึงเท่ากับว่าธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้เป็นฉบับหวาดกลัวนักการเมือง แต่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามใดเลยสำหรับข้าราชการประจำและทหารประจำการ หมายความว่า ทหารและข้าราชการสามารถที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองควบ กินเงินเดือนสองทางได้ทันที นี่เป็นการเปิดโอกาสยุคทองของระบบราชการอีกครั้ง
ประการต่อมาก็คือ รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ ไม่มีหลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เรื่องการห้ามการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการปิดกั้นควบคุมสื่อมวลชน และไม่มีมาตราใดกำหนดมาตรการในการตรวจสอบ คณะ คสช. สภานิติบัญญัติ หรือ คณะรัฐบาลที่สภานิติบัญญัติจะจัดตั้งขึ้น คือต้องใช้ความเชื่อกันเลยว่า คนเหล่านี้เป็นคนดี จะปฏิบัติงานด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใส ไม่มีการทุจริตทำมาหากิน เหมือนพวกนักการเมืองเลือกตั้งทั้งหลาย
ตามปกติแล้ว อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ควรจะต้องวางหลักไว้ที่การสร้างสัญญาประชาคม สร้างหลักประกันอำนาจให้กับประชาชน โดยถือว่าประชาชนเป็นที่มาแห่งอำนาจอธิปไตย และสร้างหลักเกณฑ์ตรวจสอบในการใช้อำนาจ เพื่อให้มีการถ่วงดุล ให้ผู้ใช้อำนาจต้องรับผิดชอบในการใช้อำนาจของตน แต่รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้ ไม่มีหลักการเหล่านี้เลย
บทความจะขอลงท้ายว่า ถ้าจะต้องทำใจให้ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และฉบับถาวรที่จะคลอดติดตามมาในกรอบของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ จะต้องลืมไปเลยว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ให้ถือเสียว่า ฝ่ายทหารและข้าราชการจะบริหารประเทศอย่างไร ก็ตามใจท่านก็แล้วกัน
เผยแพร่ครั้งแรกใน : โลกวันนี้ วันสุข ฉบับที่ 474 วันที่ 2 สิงหาคม 2557
เผด็จการรัฐสภา : อำนาจเบ็ดเสร็จที่ไร้การตรวจสอบถ่วงดุล
ภายหลังจากการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) รายชื่อของสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ให้ประชาชนได้ยลโฉมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้ทรงเกียรติทั้ง 200 คน ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกของสถาบันทางการเมืองที่ทำหน้าที่แทนรัฐสภา กล่าวคือปฏิบัติหน้าที่แทนทั้งสภาผู้แทนราษฎร(สภาล่าง) และวุฒิสภา(สภาบน) ในการร่าง พิจารณา และประกาศบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้ซึ่งปฏิบัติงานเป็น”ตัวแทนของปวงชนชาวไทย”นั้นมีที่มาจากการ”แต่งตั้ง”โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งผู้เขียนขอเกริ่นนำเอาไว้เท่านี้ก่อน
ทั้งนี้หากท่านผู้อ่านยังคงจำกันได้ ย้อนกลับไปในช่วงรัฐบาลก่อนหน้ารัฐบาลสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไกลออกไปอีกถึงรัฐบาลในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นทั้งสองรัฐบาลนี้ได้ถูกประชาชนชุมนุมขับไล่และกล่าวหาด้วยความผิดข้อหาหนึ่งคือ “การเผด็จการรัฐสภา” อันเนื่องจากการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เองและการใช้เสียงข้างมากที่เลือกตนเข้ามานั้นเป็นข้ออ้างในการละเมิดเสียงส่วนน้อย คุกคามสื่อ และใช้อำนาจโดยมิชอบ (ตามข้อกล่าวหาของประชาชนที่เดินขบวนและชุมนุมประท้วงต่อต้านในขณะนั้น)
แน่นอนว่านั่นเป็นปัญหาหนึ่งของระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ที่ผู้แทนใช้ความชอบธรรมจากที่มาของตนไปใช้ในทางมิชอบ ดังจะเห็นได้จากกรณีการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับเหมาเข่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา เป็นต้น อย่างไรก็ดีเราไม่ควรลืมว่าในอีกมิติหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า”เผด็จการรัฐสภา”ก็คือ”รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ” และไม่ควรลืมว่ารัฐบาลที่มีเสถียรภาพนั้นส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงธุรกิจ และสร้างแรงจูงใจในการลงทุน นอกจากนี้ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลนั้นยังส่งผลไปถึงความคล่องตัวในกระบวนการดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งภายใต้บรรยากาศของระบอบประชาธิปไตย ในรัฐบาลประชาธิปไตยนี้ประชาชนมีกลไกรัฐสำหรับถ่วงดุลและตรวจสอบอำนาจของนักการเมืองมากมาย ซึ่งองค์กรเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาแทนประชาชนอีกถ่ายหนึ่งในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล อาทิเช่นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือในระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั้นประชาชนสามารถเรียกคืนอำนาจอธิปไตยของตนผ่านการเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ไปจนถึงลงโทษนักการเมืองได้โดยการไม่เลือกนักการเมืองที่หักหลังประชาชนเข้าไปนั่งในสภาอีก แน่นอนว่าจุดนี้ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการผูกมัดระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนในระดับท้องถิ่นที่ไม่ก่อให้เกิดการลงโทษนักการเมือง อย่างไรก็ดีการแก้ปัญหานี้ควรแก้ไขที่การส่งเสริมภาคประชาชนให้เข้มแข็งเพื่อให้ประชาชนสามารถต่อรอง ตรวจสอบ และกำกับนักการเมืองที่ตนเองเลือกได้มิใช่ยกเลิกระบบการเลือกตั้ง
ย้อนกลับมาดูในส่วนสภานิติบัญญัติที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนรัฐสภาที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำเอาไว้ หากท่านที่เคยเดินขบวนขับไล่”เผด็จการรัฐสภา”ยังไม่ลืมอุดมการณ์ที่ตนเคยยึดถือ ไม่กลืนสิ่งที่ตนเคยพูดลงคอแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลน้อย อีกทั้งที่มาของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเองก็มิได้ยึดโยงกับประชาชน หากพิจารณาจากสัดส่วนของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วก็จะพบว่าในจำนวนสมาชิกทั้ง 200 คนนั้นประกอบด้วย ผู้มียศ นายพล ถึง 114คน ยศ นายพัน 1 คน และ ยศนายร้อย 1 คน รวมเป็น 116 คนจาก 200 คน มีพลเรือนเพียง 84 คน ซึ่งพลเรือนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนและชนชั้นนำหรือผู้มีตำแหน่งเช่น อธิการบดีมหาวิทยาลัย ซึ่งหากนับดูแล้วแทบจะมองไม่เห็นตัวแทนของภาคประชาชนเลย เรียกได้ว่าเกินครึ่งของสภานั้นเป็นตำรวจ-ทหาร ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง หากจะให้เปรียบเทียบกันแล้วในระบบ ”เผด็จการรัฐสภา” หรือ “เผด็จการเสียงข้างมาก” ในยุคก่อนหน้านี้ประชาชนทุกคนยังมีสิทธิและส่วนร่วมทางการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเลือกผู้แทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภาได้
ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากชี้ชวนให้ผู้อ่านได้ตั้งคำถามและขบคิดต่อไปจากบทความชิ้นนี้คือ บริบททางการเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมานั้น เราอาจจะนับได้ว่า(และควรยอมรับว่า)กองทัพได้กลายเป็นสถาบันทางการเมืองหนึ่งในสารบบการเมืองไทยที่ทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลอยู่เช่นเดียวกับองค์กรอิสระอื่นๆ (นับแต่ปี 2549)กองทัพกลายเป็นสถาบันทางการเมืองหนึ่งที่ถูกตั้งความคาดหวังจากประชาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกร้องการรัฐประหารจากกองทัพ) ขณะที่ตำรวจนั้นเป็นกลไกรัฐของเผด็จการรัฐสภา ทว่าในปัจจุบันนี้ ณ เวลานี้ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกว่าครึ่งประกอบไปด้วยผู้มียศ “นายพล” ซึ่งมาจากทั้งสายทหารและตำรวจซึ่งหลายท่านก็ยังคงดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับผู้บังคับบัญชากำลังพลของแต่ละเหล่าทัพด้วย ขณะที่กลไกการถ่วงดุลอำนาจอย่างองค์กรอิสระกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อยุบและยกเลิกเสีย
ณ เวลานี้ผมคิดว่าปวงชนชาวไทยควรตั้งคำถามย้ำกับตัวเองอีกครั้งให้แน่ชัดว่า เรากำลังมีความสุขกับระบบการปกครองที่เป็นอยู่นี้จริงๆหรือ? และระบบการปกครองแบบนี้คือระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่เราท่านเรียกหากันมาโดยตลอดใช่หรือไม่? และคำถามสำคัญที่สุดที่ต้องถามย้ำ และหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้ในตอนนี้ก็คือ “รัฐสภา” แบบไหนที่ควรขนานนามว่าเป็น “เผด็จการรัฐสภา” มากกว่ากัน?
โปรดดูเพิ่มเติม
โปรดเกล้าฯ รายชื่อ200 สนช.
เผด็จการรัฐสภาในระบบยิ่งมั่ว
"เปิ้ล กริชสุดา" เผยเบื้องหลังวาทะ "มีความสุขจนไม่รู้จะพูดยังไง"
จอม เพชรประดับสัมภาษณ์ "เปิ้ล กริชสุดา" เผยถูกทำร้ายช่วง จนท.ควบคุมตัว ถูกสอบหนักเรื่องช่วยเหลือนักโทษการเมือง-อาวุธสงคราม-ความเชื่อมโยงกับ "ทักษิณ" - ก่อนออกช่อง 5 มีนายทหาร "โฆษกคนดัง" เข้ามากล่อมให้พูดดีๆ หลังจากถูกปล่อยตัว ขออยู่ต่างประเทศ ต่อจากนี้จะให้ข้อมูลกับหน่วยงานสิทธิมนุษยชน
ภาพจากวิดีโอสัมภาษณ์ น.ส.กริชสุดา คุณะเสน โดยนายจอม เพชรประดับ เผยแพร่ใน YouTube ช่อง Jom Voice เวลาประมาณ 20.30 น. วันที่ 2 ส.ค. 2557 ต่อมาผู้อัพโหลดได้ปิดการเข้าถึงวิดีโอโดยมีสำรองข้อมูลไว้ในช่องอื่น
เผยคลิป "จอม เพชรประดับ" สัมภาษณ์สหายสุดซอย เผยถูกทำร้ายช่วงควบคุมตัว
2 ส.ค. 2557 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ทางเว็บไซต์แชร์วิดีโอ YouTube ช่อง Jom Voice มีการเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ น.ส.กริชสุดา คุณะเสน หรือ "เปิ้ล สหายสุดซอย" โดยนายจอม เพชรประดับ ใช้ชื่อตอนว่า "Thai Voice Media EP1 มีความสุขจนไม่รู้จะพูดยังไง" รวมความยาว 33 นาทีเศษ (คลิปสัมภาษณ์)
ทั้งนี้ น.ส.กริชสุดา ซึ่งถูกทหารสังกัด มทบ.14 จ.ชลบุรี ควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. เวลา 19.00 น. ระหว่างที่ทหารเข้าตรวจค้นบ้านของนางมนัญชยา เกศแก้ว หรือ "เมย์ อียู" กลุ่มคนเสื้อแดงในยุโรป ที่ ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ก่อนได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 24 มิ.ย. ที่หอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ภายหลังการปล่อยตัว น.ส.กริชสุดา ได้เดินทางออกจากประเทศไทยและพำนักอยู่ในทวีปยุโรป โดยวางแผนขอสถานะผู้ลี้ภัย
ในคลิปที่มีการเผยแพร่ดังกล่าว นายจอมรายงานว่า ยืนยันว่า น.ส.กริชสุดา ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยเพื่อขอลี้ภัยทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ไม่มีการระบุสถานที่ลี้ภัย จากนั้นนายจอม ได้พูดคุยกับ น.ส.กริชสุดา ผ่านโปรแกรมสนทนาสไกป์
ทั้งนี้ น.ส.กริชสุดา ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงที่ถูกควบคุมตัวแรกๆ บนรถยนต์ของทหาร มีผ้าผูกตาเอาไว้ แต่ยังพอทราบว่าถูกนำตัวไปที่ไหนจากการได้ยินเสียงรถ หรือเสียงจ่ายค่าผ่านทางด่วน อย่างไรก็ตามเมื่อถึงสถานที่ควบคุมตัว มีการนำเทปกาวมาพันรอบผ้าอีกที ทำให้ไม่ทราบว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน และถูกมัดมือด้วย โดยต้องอยู่ประจำที่เดิมเป็นเวลาประมาณ 7 วัน และเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้ามาสอบสวนได้ตบที่ใบหน้าด้วย เมื่อนายจอม สอบถามว่าเจ้าหน้าที่ทำเช่นนั้นเพราะเหตุใด น.ส.กริชสุดา ตอบว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุเหตุผล
น.ส.กริชสุดา ตอบคำถามนายจอมเรื่องกิจวัตรประจำวัน โดยระบุว่าระหว่างที่ถูกควบคุมตัว ได้อาบน้ำไม่กี่ครั้ง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิง มาถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำให้ อย่างไรก็ตามตอนที่อาบน้ำก็ได้ยินเสียงผู้ชายด้วย
"เขามาถอดเสื้อผ้าให้ คนที่ทำให้เป็นผู้หญิง หนูถูกปิดตาไม่ทราบว่าเป็นใคร ไม่ทราบว่ามีผู้ชายหรือเปล่า เขาอาบน้ำถูสบู่ให้ ผู้หญิงเป็นคนทำให้ แต่มีเสียงผู้ชายด้วย"
นอกจากนี้เวลาต้องการเข้าห้องน้ำก็จะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยอำนวยความสะดวก โดยที่มือก็ยังถูกมัด และถูกปิดตาอยู่ น.ส.กริชสุดากล่าวว่า ได้บอกเจ้าหน้าที่ว่าสามารถทำเองได้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต โดยบอกว่าไม่ได้รับคำสั่ง และเกรงว่า น.ส.กริชสุดา จะหลบหนีหรือต่อสู้
ทั้งนี้ระหว่างถูกสอบสวน น.ส.กริชสุดา อ้างว่าถูกทำร้ายด้วย โดยมีผู้ใช้กำปั้นมาชกที่ใบหน้าและลำตัว รวมทั้งใช้เท้าด้วย โดยยืนยันว่าที่ถูกเปิดผ้าผูกตาออกยังเห็นร่องรอยการถูกทำร้ายตามร่างกาย อย่างไรก็ตามวิธีเหล่านี้ยังไม่โหดร้ายเท่ากับการเอาถุงมาคลุมหัวทำให้ไม่มีอากาศหายใจ โดย น.ส.กริชสุดา ระบุว่าตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับ "ทำให้เหมือนตายไปแล้วหลายรอบ"
น.ส.กริชสุดา ตอบนายจอมว่า ที่ถูกทำร้ายนั้น เพราะผู้ที่มาสอบสวนต้องการให้เธอบอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับคนเสื้อแดง โดย น.ส.กริชสุดา กล่าวกับนายจอมด้วยว่า "ถ้าอยากรู้คุณถามก็ถามกันตรงๆ พูดกันดีๆ แต่สิ่งที่พูดไปไม่ใช่ความจริง แต่เป็นการทำอย่างไรก็ได้ ต้องพูด"
ทั้งนี้ประเด็นที่ น.ส.กริชสุดา ถูกถามในช่วงถูกสอบสวนก็คือ ใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ ในการเยียวยาผู้ต้องโทษในเรือนจำ และถามเรื่องอาวุธสงคราม
โดย น.ส.กริชสุดา ตอบว่า ทั้งนี้การช่วยเหลือเยียวยานั้นเป็นเรื่องปกติ คนเสื้อแดงที่ได้รับความลำบากระหว่างถูกดำเนินคดีนั้น ก็จะขอความช่วยเหลือคุณเมย์ (หมายถึง นางมนัญชยา แกนนำคนเสื้อแดงในยุโรป) ซึ่งความช่วยเหลือมาจากคุณเมย์ และคนเสื้อแดงในยุโรป
น.ส.กริชสุดาเล่าว่า อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนได้ถามต่อว่า "ทำไมต้องดูแลนักโทษ พวกกระทำความผิด" โดย น.ส.กริชสุดา ตอบว่าต้องดูแลนักโทษการเมือง แต่พอตอบว่าที่ไปช่วยเหลือ "ก็เพราะความไม่ถูกต้องของพวกคุณ" ทำให้ผู้สอบสวนไม่พอใจและตบ
ในการให้สัมภาษณ์ น.ส.กริชสุดา ตอบคำถามที่ว่าผู้สอบสวนต้องการให้พูดอะไร โดย น.ส.กริชสุดาระบุว่า "เขาต้องการโยงให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนดูแลนักโทษ เป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้กระทำผิด"
ส่วนที่มีข่าวว่า น.ส.กริชสุดา ขออยู่ในความควบคุมตัวต่อไปอีก 7 วันนั้น น.ส.กริชสุดาตอบว่าที่เขียนไปเพราะถูกบังคับ และต้องเขียนเพื่อเอาตัวรอด ต่อมาในวันที่ 23 มิ.ย. มีการนัดให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจาก ททบ. 5 โดย น.ส.กริชสุดา ได้พาดพิงชื่อนายทหารโฆษกชื่อดังยศนายพันรายหนึ่งด้วยว่า ก่อนมีการสัมภาษณ์กับสื่อ นายทหารคนดังกล่าวได้เข้ามาพูดคุยด้วยว่า "น้องต้องพูดให้กองทัพดูดี ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอย่างไร น้องรู้ น้องฉลาดพอที่จะพูด"
ทั้งนี้ต่อมาหลังจากที่ น.ส.กริชสุดา ได้รับการปล่อยตัววันที่ 24 มิ.ย. น.ส.กริชสุดา กล่าวกับนายจอมว่า "ถ้าจะให้อยู่เมืองไทยต่อ คงอยู่ประเทศไทยไม่ได้"
"ปรับทัศนคติด้วยการทำร้ายร่างกายผู้หญิง ไม่เรียกว่าปรับทัศนคติ หนูอยู่ต่างประเทศดีกว่า"
ทั้งนี้ น.ส.กริชสุดา กล่าวด้วยว่า แฟนของ น.ส.กริชสุดา ก็ถูกทารุณเช่นกันในช่วงถูกควบคุมตัว โดยมีสภาพจิตใจแย่มาก อย่างไรก็ตาม น.ส.กริชสุดา ยืนยันกับนายจอมว่า ทั้งสองอยู่ต่างประเทศแล้ว และปลอดภัย
ทั้งนี้ น.ส.กริชสุดากล่าวด้วยว่า หลังจากที่อยู่ต่างประเทศแล้ว ก็ต้องการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพให้กับผู้ที่ถูกทารุณ และจะเดินทางไปให้ข้อมูลหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ รวมทั้งสำนักงานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานของสหประชาชาติด้วย
"อยากเรียกร้องสิทธิให้คนไทยทุกคน อยากขอคืนความสุขให้กับคนไทยทุกคนจริงๆ เถอะค่ะ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มอำนาจบางคนเท่านั้น" น.ส.กริชสุดา กล่าวในช่วงสุดท้ายของการให้สัมภาษณ์
ล่าสุดนับตั้งแต่มีการเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ น.ส.กริชสุดา ใน YouTube ต่อมาวันที่ 3 ส.ค. บีบีซีไทยสัมภาษณ์ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกและ คสช. โดยปฏิเสธข่าว น.ส.กริชสุดา คุณะเสน ถูกทำร้ายระหว่างควบคุมตัว ยืนยันมาตรฐานการปฏิบัติไม่มีปัญหาใดๆ ระดับแกนนำที่เคยถูกคุมตัวก็ไม่มีการถูกทำร้าย พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่าพร้อมให้สัมภาษณ์ร่วมกับ น.ส.กริชสุดา เพื่อยืนยันความจริง (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์ ททบ.5 ระหว่างถูกควบคุมตัว
น.ส.กริชสุดา คุณะเสน ให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. โดยในการให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าความเป็นอยู่สุขสบายดี และขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเป็นอย่างดี
อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทางสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 ได้เผยแพร่คำสัมภาษณ์ น.ส.กริชสุดา ภายหลังจากที่ผู้อำนวยการองค์การฮิวแมนไรท์วอชท์ ภูมิภาคเอเชีย ขอให้กองทัพเปิดเผยข้อมูลความเป็นอยู่ของ น.ส.กริชสุดา ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ทั้งนี้ในการให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ทาง ททบ.5 น.ส.กริชสุดากล่าวว่า ถูกควบคุมตัวมาตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. จากนั้นครบ 7 วันได้ทำเรื่องขออยู่ต่อ เพราะนึกถึงความไม่ปลอดภัย ส่วนความเป็นอยู่ก็สุขสบายดี
"ก็มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงนะคะ พี่เขาก็อำนวยความสะดวกให้ อยากได้อะไรพี่เขาก็ไปซื้อให้ ก็ปกติทุกอย่างอะค่ะ อยู่ในห้องตามปกติ ดูหนัง อยากได้หนังสืออ่าน พี่เขาก็ไปซื้อให้ อยากกินอะไร พี่เขาก็ไปซื้อให้อะค่ะ ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น" ทั้งนี้ในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าว ททบ. 5 ถามว่า "ไม่ได้มีการทรมานหรืออะไร" โดย น.ส.กริชสุดาตอบว่า "ไม่มีค่ะ"
"มันไม่รู้จะพูดยังไงว่าตัวเองก็ยังอยู่สุขสบาย เนี่ยก็กินข้าวกันกับแฟน ยังอยู่ในความดูแล แล้วก็ดีมาโดยตลอด แล้วก็ปกติ คือมันสุขสบายเกินที่จะพูดอะค่ะ ดีทุกอย่าง" น.ส.กริชสุดากล่าวช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์
ทั้งนี้ในรายงานข่าวของผู้สื่อข่าว ททบ. 5 เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. มีการรายงานด้วยว่า น.ส.กริชสุดา ฝากขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเป็นอย่างดี ขอให้สังคมไทยกลับสู่ความสงบโดยเร็ว และเมื่อได้รับการปล่อยตัวออกไปก็จะใช้ชีวิตตามปกติต่อไป
'โอบามา' รับ 'ซีไอเอ' เคยก่อเหตุทารุณกรรมหลังเหตุการณ์ 9/11
หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ รายงานการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยซีไอเอในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช หลังเหตุการณ์ 9/11 โอบามาได้แถลงข่าวยอมรับว่า "พวกเราได้ทารุณกรรมบางคน" จนประโยคนี้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในทวิตเตอร์
3 ส.ค. 2557 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐอเมริกา ได้แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ส.ค.) เกี่ยวกับผลการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ CIA หลังเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 โดยบอกให้ผู้คนจดจำไว้ให้ดีว่าประชาชนมีความกลัวมากเพียงใดในช่วงเวลานั้น และยังกล่าวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทางการสหรัฐฯ ในเวลานั้นได้กระทำทารุณกรรมจริง
การแถลงข่าวของโอบามามีขึ้นในขณะที่คนให้ความสนใจการสืบสวนของวุฒิสภาเกี่ยวกับคดีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยซีไอเอในสมัยรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู บุช แม้จะมีเรื่องโต้แย้งว่าวุฒิสภาได้สืบสวนเพียงบางส่วนเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเรื่องที่มีคนเรียกร้องให้จอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการซีไอเอลาออกหลังพบว่าหน่วยงานซีไอเอแอบสอดแนมวุฒิสมาชิกที่ทำหน้าที่สืบสวนการทารุณกรรมของซีไอเอ โอบามาตอบว่า เขามั่นใจในตัวของจอห์น เบรนแนน โดยบอกอีกว่าเบรนแนนได้ยอมรับและขอโทษในเรื่องที่ซีไอเอปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมต่อการสืบสวนของวุฒิสภาและไม่อนุญาตให้เอกสารบางส่วนถูกส่งมอบให้กับคณะสืบสวน
วุฒิสมาชิกผู้เป็นคณะสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้มีหน้าที่ติดตามการทารุณกรรมของซีไอเอในช่วงหลังเหตุการณ์วันที่ 11 ก.ย. 2544 ที่มีการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และอาคารเพนตากอน ไปจนถึงช่วงที่นำไปสู่การบุกโจมตีประเทศอิรักในปี 2546
"หลังจากเกิดเหตุ 9/11 พวกเราได้ทำบางอย่างที่เป็นเรื่องผิด" โอบามากล่าว "พวกเราทำสิ่งที่ถูก แต่...พวกเราได้ทารุณกรรมคนบางคน"
โอบามากล่าวต่ออีกว่า ทางการสหรัฐฯ ได้กระทำในสิ่งที่ขัดกับค่านิยมของพวกเขาเอง เขาอ้างว่ามีผู้คนหวาดกลัวมากหลังจากเหตุการณ์ทำให้เกิดความกดดันต่อการบังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอยู่ภายใต้ความกดดันนี้
"แม้จะพูดได้เช่นนั้นก็ตาม พวกเราก็ได้ทำบางสิ่งที่ผิด และสิ่งเหล่านั้นก็อยู่ในรายงานการสืบสวน" โอบามากล่าว
โอบามากล่าวอีกว่าเขาต้องการทำให้มีการสั่งห้ามวิธีการไต่สวนในแบบที่ทำเกินกว่าเหตุตามที่ระบุไว้ในรายงาน
"ผมเชื่อว่าคนที่สติดีทุกคนคงบอกว่าได้ว่ามันคือการทารุณกรรม พวกเราทำเกินกว่าเหตุ และเราควรยอมรับและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ในขณะที่ประเทศของพวกเรารับผิดชอบกับมัน เพื่อหวังว่าพวกเราจะไม่ทำมันอีกในอนาคต" โอบามากล่าว
สำนักข่าวคอมมอนดรีมส์ระบุว่า หลังจากการแถลงข่าวไม่นานนัก ประโยคหนึ่งที่โอบามากล่าวไว้คือ "พวกเราได้ทารุณกรรมคนบางคน" ("We Tortured Some Folks.") กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในเว็บไซต์โซเชียลมีเดียทวิตเตอร์
เรียบเรียงจาก
Obama: 'We Tortured Some Folks', Common Dreams, 02-08-2014
http://www.commondreams.org/news/2014/08/01/obama-we-tortured-some-folks
จับตาวาระ กสท.: เตรียมตั้ง กก.ประเมินผังทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงช่อง 5
ประชุมบอร์ด กสท. จันทร์นี้ มีวาระตั้งกรรมการประเมินการเปลี่ยนผ่านทีวีธุรกิจช่อง 5 ไปสู่ทีวีความมั่นคง ด้านสุภิญญา เสนอสัดส่วน กก.ควรหลากหลายและมากกว่านี้ เพื่อเจตนารมณ์ของกม. ด้านทีวีดิจิตอลเสนอผังรายการใหม่หลังปรับแก้ ถกเรื่องร้องเรียน 'ตอบโจทย์' – 'ฮอร์โมน'
3 ส.ค. 2557 สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ 4 ส.ค. 57 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีวาระการประชุมน่าจับตา ได้แก่ การอนุมัติผังรายการหลักทีวีดิจิตอล หลังให้นำไปแก้ไข ปรับปรุงเพิ่มเติมใหม่ โดยได้จัดส่งผังรายการและสัดส่วนแล้วในครั้งนี้ 5 ช่อง ได้แก่ พีพีทีวี ไบรท์ทีวี สปริงนิวส์ TNN24 และช่อง LOCA ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาอนุกรรมการผังรายการและเนื้อหา ได้มีการประชุมร่วมกับบริษัทไทยทีวี จำกัด ในฐานะเจ้าของช่องรายการไทยทีวีและ ช่อง LOCA สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดทำผังรายการ ตามที่ กสทช.กำหนด
ทั้งนี้ในที่ประชุม เตรียมพิจารณาข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาด้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากการนำรายการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลไปออกอากาศทางโทรทัศน์ แบบบอกรับสมาชิกในระดับความคมชัดสูง หรือ HD รวมทั้งเตรียมพิจารณาการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อติดตามและประเมินผลการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบกิจการโทรทัศน์ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ตามที่ช่อง 5 ได้เคยเสนอมายังกสท.เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีแผนการปรับเปลี่ยนและให้แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อติดตามประเมินผลการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบกิจการโทรทัศน์ ที่มีผู้แทนจาก ช่อง 5 จำนวน 2 คน ผู้แทนจากกสท. 2 คน และนักวิชาการสื่อสารมวลชน จำนวน 1 คน
สุภิญญากล่าวถึงกรณีนี้ว่า “ส่วนตัวไม่เห็นด้วยในเรื่องสัดส่วนของกรรมการตามที่มีมติก่อนหน้านี้ เพราะอาจไม่หลากหลายพอที่จะช่วยพิจารณาให้ผังรายการช่อง 5 เปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงได้ตามเจตนารมรณ์ของกฎหมาย ทางที่ดีควรมีภาคประชาสังคม ผู้บริโภค และนักวิชาการเพิ่มเติม มาช่วยประเมินว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงแล้วหรือไม่อย่างไร เพราะทั้งเรื่องของโฆษณา และผังรายการเนื้อหาจะแตกต่างจากการทำทีวีธุรกิจ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมมากกว่านี้ ”
นอกจากนี้ รายงานจำนวนสถานีวิทยุกระจายเสียงที่สามารถออกอากาศได้ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 79/57 มีจำนวนทั้งสิ้น 605 สถานี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ค. 57) แบ่งเป็นประเภททางธุรกิจ 540 สถานี สาธารณะ 44 สถานี และชุมชน 21 สถานี รวมทั้งจะพิจารณากำหนดระยะเวลาในการยื่นคำขอรับใบอนุญาตว่าด้วยวิทยุคมนาคม โดยกำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ที่ใช้เครื่องส่งที่ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคแล้วมาดำเนินการขอรับใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่ สำนักงาน กสทช.ประกาศรายชื่อให้ออกอากาศได้ตามปกติ มิฉะนั้นจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตทดลองและต้องยุติการออกอากาศทันที ส่วนวาระ บริษัท ทรูวิชั่นส์ ได้ทำเรื่องมายังกสท. เพื่อขออนุญาตพักการให้บริการเป็นการชั่วคราว ในวันที่ 6 ส.ค. 57 ตั้งแต่เวลา 00.01 – 10.00 น. เพื่อปรับปรุงคุณภาพช่องรายการ Digital Tv
ส่วนวาระแจ้งเพื่อทราบว่า ช่อง 3 ยอมเสียค่าปรับ 5 แสนบาท กรณี รายการไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์ (TGT) ตอนสิทธัตถะ เอเมอรัล แล้ว หลังมีการอุทธรณ์ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนวาระเรื่องร้องเรียนมายัง กสท. ทั้งรายการตอบโจทย์ประเทศไทย และ ละครชุด “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งมีความเห็นต่างในขั้นอนุกรรมการ และในกสท. ที่ยังมีความเห็นแตกต่างกัน จะได้ถกในวันจันทร์นี้