Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live

อินเทอร์เน็ตเปลี่ยน 'สมอง' คนจากวิธีการอ่านแบบใหม่จริงหรือ?

$
0
0

ยุคอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดข้อถกเถียงเรื่องคนรุ่นใหม่ขาดความสามารถในการ 'อ่านช้า' และ 'อ่านแบบละเอียดลึกซึ้ง' เพราะปริมาณข้อมูลจำนวนมาก ทำให้สมองต้องปรับตัวเน้นอ่านแบบผ่านๆ หาคำสำคัญโดยไม่ลงลึก แต่ก็มีผู้ศึกษาเทคโนโลยีมองว่าอินเทอร์เน็ตก็ยังเป็นพื้นที่สำหรับคนอ่านช้าได้

15 เม.ย. 2557 เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศมีข้อถกเถียงเรื่องวัฒนธรรมการอ่านในยุคอินเทอร์เน็ต โดยขณะที่นักประสาทวิทยาด้านการรับรู้และการคิดมองว่าการท่องเว็บไซต์ทำให้คนเราหันมาอ่านด้วยวิธีการ "อ่านผ่านๆ" มากขึ้น ทำให้วัฒนธรรมการอ่านช้าๆ อย่างซึมซับรายละเอียดน้อยลง แต่นักเขียนเรื่องเทคโนโลยีกลับมองว่าอินเทอร์เน็ตไม่น่าจะส่งผลเช่นนั้น ตรงกันข้ามน่าจะเป็นการส่งเสริมการอ่านหนังสือเล่มหนาด้วยซ้ำ

วอชิงตันโพสต์เล่าถึงแคลร์ แฮนด์สคอมบ์ นักศึกษาปริญญาโทด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์จากมหาวิทยาลัยอเมริกันในรัฐวอชิงตันดีซี บอกว่าเธอมีปัญหาด้านการอ่านเรื่องต่างๆ จากอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน เธอจะคลิกลิงก์จากโซเชียลเน็ตเวิร์ก อ่านเนื้อหาเพียงไม่กี่ประโยค ค้นหาคำที่น่าสนใจ หลังจากนั้นก็เริ่มกระวนกระวายและอ่านหน้าอื่นอย่างผ่านๆ

แฮนด์สคอมบ์บอกว่าเธอใช้เวลาไม่ถึงนาทีแล้วก็เปลี่ยนไปอ่านอย่างอื่น เธอยังติดนิสัยแบบนี้จากการอ่านในโลกออนไลน์มาสู่การอ่านอย่างอื่นเช่นวนิยายด้วย

"มันราวกับว่าตาเรามองผ่านๆ คำไป แต่ไม่ได้รับรู้มันด้วย พอฉันรู้ตัวแล้ว ฉันก็จะกลับไปอ่านมันซ้ำๆ อีก" แฮนด์สคอมบ์กล่าว

สำหรับนักประสาทวิทยาด้านการรับรู้และการคิด (cognitive neuroscientists) สิ่งที่แฮนด์สคอมบ์ประสบอยู่เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและมีคนประสบแบบเดียวกันเพิ่มมากขึ้น พวกเขาบอกว่ามนุษย์เราพัฒนาสมองในแบบดิจิตอลที่เอื้อต่อการอ่านแบบผ่านๆ เพื่อให้สามารถรับรู้ข้อมูลจำนวนมหาศาลในโลกออนไลน์ได้ วิธีนี้ถือเป็นการอ่านอีกแบบหนึ่งที่ต่างจากการอ่านช้าๆ แบบเก่าที่มีพัฒนาการมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน

มาร์ยานน์ วูลฟฺ์ นักประสาทวิทยาด้านการรับรู้และการคิดจากมหาวิทยาลัยทัฟส์กล่าวว่า เขากังวลเรื่องวิธีการอ่านแบบผ่านๆ จะส่งผลต่อคนทั่วไปเวลาที่ต้องอ่านแบบลงรายละเอียดด้วย

วูลฟ์ บอกว่าการชมข่าวจากโทรทัศน์ทำให้เกิดวัฒนธรรม 'วรรคทอง' หรือ 'วลีเด็ด' (sound bites) โลกของอินเทอร์เน็ตก็ทำให้เกิดวัฒนธรรมการมองหรือการอ่านเฉพาะคำเด่นๆ แบบที่วูลฟ์เรียกว่า 'อายไบต์' (eye byte)

นักวิจัยกำลังศึกษาเรื่องความแตกต่างระหว่างการอ่านในอินเทอร์เน็ตกับการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งเบื้องต้นพบว่าการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ส่งผลดีด้านความเข้าใจมากกว่า จนมีความกังวลว่าเด็กที่ใช้เครื่องมือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการอ่านมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในการอ่านเพื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียดหรือไม่ เพราะสมองของคนเรามักจะปรับตัวตามวิถีชีวิตที่ใช้

วูลฟ์ ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยเรื่องการอ่านเปิดเผยว่าเมื่อปี 2556 เธอค้นพบว่าสมองของเธอเองก็มีความสามารถปรับตัวด้วยเหมือนกัน เนื่องจากวิถีชีวิตของเธอต้องคอยกดปุ่มไล่อ่านเว็บต่างๆ หรืออ่านอีเมลเป็นจำนวนหลายร้อยฉบับ ทำให้เมื่อเธอพยายามจะอ่านวรรณกรรมเล่มหนาอย่าง "เกมลูกแก้ว" ของเฮอร์มาน เฮสเส เธอไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเธอไม่สามารถบังคับตัวเองให้อ่านแบบช้าๆ ได้ เธอกลับอ่านแบบผ่านๆ มองหาคำสำคัญต่างๆ ควบคุมการกลอกตาเพื่อรับรู้ข้อมูลให้ได้มากที่สุดภายในเวลาสั้นที่สุด

เรื่องนี้ทำให้ถึงขั้นมีการตั้งกลุ่มที่เรียกว่าขบวนการ "อ่านช้า" หรือ "สโลว์ริดดิ้ง" (Slow Reading) ซึ่งนำชื่อมาจากขบวนการ "สโลว์ฟู้ด" (Slow food) ที่ให้ความสำคัญกับความพิถีพิถันของอาหารมากกว่าความรวดเร็ว โดยขบวนการอ่านช้าไม่เพียงแค่ต่อต้านการอ่านแบบผ่านๆ อ่านแบบข้ามประโยคเท่านั้น พวกเขายังต่อสู้กับโซเชียลเน็ตเวิร์กและอีเมลที่มักจะส่งเสียงเรียกร้องรบกวนการอ่าน

สมองคนที่ปรับตัวเข้ากับการอ่านแบบใหม่

สมองของคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สำหรับการอ่าน ไม่มียีนในตัวคนที่เกี่ยวกับการอ่านมีแต่ยีนเกี่ยวกับภาษาและการมองเห็น แต่หลังจากการผลิตตัวอักษรและเทคโนโลยีการพิมพ์ก็ทำให้สมองคนปรับตัวต่อการอ่าน

ก่อนยุคอินเทอร์เน็ตสมองคนมักจะอ่านในแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ (linear) จากหน้าหนึ่งสู่อีกหน้าหนึ่ง แม้ว่าจะมีรูปภาพแทรกอยู่ในหนังสือแต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดึงความสนใจจากการอ่านไปได้ นักวิจัยบอกว่าการอ่านตามหน้ากระดาษทำให้คนมีความสามารถจดจำได้ว่าข้อมูลสำคัญอยู่ตรงจุดไหนจากการจัดหน้าหนังสือ เช่น เราจะทราบว่าตัวเอกเสียชีวิตในหน้านี้ ที่มีย่อหน้าราวๆ 2 ย่อหน้าหลังจากบทสนทนา

แต่อินเทอร์เน็ตต่างออกไป มีข้อมูลมากมาย มีข้อความที่ถูกใส่ลิงก์เชื่อมต่อไปยังที่อื่น มีวิดีโอไปพร้อมๆ กับตัวหนังสือ และมีการปฏิสัมพันธ์โต้ตอบอยู่ทุกที่ ทำให้สมองของเราสร้างทางลัดเพื่อจัดการกับมัน คือการอ่านแบบผ่านๆ ซึ่งเป็นวิธีการอ่านแบบไม่ต่อเนื่อง (nonlinear) ซึ่งมีการบันทึกไว้ในงานวิจัย นักวิจัยบางคนเชื่อว่าคนจำนวนมากเริ่มอ่านในแบบดังกล่าวนี้กับสื่ออื่นๆ นอกจากอินเทอร์เน็ตด้วย

เช่น กรณีของราเมช คูรับ บอกว่าเขามีปัญหากับการอ่านประโยคยาวๆ ที่มีการเชื่อมประโยคเต็มไปด้วยข้อมูลภูมิหลัง ประโยคในโลกออนไลน์มักจะสั้นกว่า และประโยคที่มีข้อมูลซับซ้อนมักจะใช้วิธีการทำลิงก์เชื่อมโยงไปสู่ข้อมูลที่เป็นภูมิหลัง

ไม่ใช่แค่คูรับเท่านั้น วูลฟ์กล่าวว่ามีคนจากภาควิชาภาษาอังกฤษหลายคนอีเมลหาเธอบอกว่านักเรียนก็มีปัญหาเดียวกับในการอ่านวรรณกรรมคลาสสิก ตัววูลฟ์เองไม่ได้เป็นคนต่อต้านเทคโนโลยี เธอใช้อีเมลเป็นประจำและส่งแท็บเลตให้กับประเทศกำลังพัฒนาเพื่อช่วยส่งเสริมการอ่านแก่เด็ก แต่เธอก็เกรงว่าประโยคสั้นๆ เช่นในทวิตเตอร์จะทำให้คนสูญเสียเรื่องความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในรูปประโยค ซึ่งสำหรับเธอแล้วถือเป็นสิ่งสะท้อนความคิดของคนเราที่มีการเชื่อมโยงซับซ้อน

"สิ่งที่ฉันกังวลคือเราจะสูญเสียความสามารถในการแสดงออกหรือการอ่านร้อยแก้วที่มีการเชื่อมโยงซับซ้อน สมองของเราจะกลายเป็นสมองแบบทวิตเตอร์ไปหรือเปล่า" วูลฟ์กล่าว

นักเขียนเรื่องเทคโนโลยีชวนถก "อินเทอร์เน็ตไม่ได้ทำลายการอ่านแบบละเอียด"

สิ่งที่วูลฟ์คิดอาจจะเป็นความกังวลที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ สำหรับสตีเวน พูลล์ ผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีในเว็บไซต์เดอะการ์เดียน มองในอีกมุมหนึ่งว่าความกังวลของวูลฟ์อาจจะไม่จริงเสมอไป โดยบอกว่าเขายังพบเห็นคนจำนวนมากเข้าไปใช้ห้องสมุด และเห็นคนอ่านหนังสือเล่มหนาๆ เช่น เกมออฟโธรน หรือ ฟิฟตี้เชดออฟเกรย์ ในขนส่งสาธารณะของลอนดอน

พูลล์เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่พัฒนาการทางระบบประสาทของคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมและมีบางส่วนที่สูญหายไปตามกาลเวลา เช่นเราคงสูญเสียทักษะการล่าสัตว์ใหญ่ๆ ด้วยหอกไป ในยุคที่มีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมก้าวหน้าเช่นนี้ และในทุกวันนี้เราไม่ได้อ่านจากลายมืออีกต่อไป ทำให้ต้องมาคิดกันว่า "สมองที่สามารถอ่านได้ละเอียดลึกซึ้ง" มีความจำเป็นหรือไม่

อย่างไรก็ตามพูลล์เป็นคนให้คุณค่ากับการอ่านแบบลงรายละเอียด เขายอมรับว่าอินเทอร์เน็ตมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจมากและชวนให้คนอ่านแบบผ่านๆ หรือกระทั่งทำให้เกิดพวกที่บอกว่า "ยาวไปไม่อ่าน" ทำให้ต้องป้อนข้อเท็จจริงสั้นๆ เป็นคำๆ เท่านั้น

แต่เมื่อเทียบกับยอดขายหนังสือวรรณกรรมเยาวชนดังๆ รวมถึงงานวิจัยอีกส่วนหนึ่งที่มุ่งให้ความสนใจวัยรุ่นจริงๆ แล้ว พูลล์ก็บอกว่าการประกาศว่าอินเทอร์เน็ตทำให้เด็กยุคต่อไปมีสมองที่อ่านได้แบบเดียวไม่ใช่เรื่องจริง

พูลล์ยกตัวอย่างหนังสือที่ชื่อ 'บอร์น ดิจิตอล' (Born Digital) โดยจอห์น พัลฟรีย์ และเออร์ส แกสเซอร์ ซึ่งเกี่ยวกับการศึกษาคนรุ่นแรกในยุคดิจิตอล ในหนังสือระบุยกตัวอย่างวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีวิธีการเก็บข้อมูลข่าวสารทั้งวิธีการ "อ่านผ่านๆ" และวิธีการ "ลงในรายละเอียด" เมื่อเธอเจอสิ่งที่สนใจ

"งานเขียนที่มีความยาว ความเข้มข้น และมีคุณค่ากำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในอินเทอร์เน็ตที่คนมองโลกในแง่ร้ายกล่าวหาว่าทำลายสมาธิเรา มีนิตยสารออนไลน์เกิดใหม่ให้ความสำคัญกับรายงานเชิงลึก หรือการหารือออกไอเดียที่มีสีสัน จากคำแสดงประเด็นจำนวนมากซึ่งอาจจะเป็นอุดมคติแม้กระทั่งกับคนที่ชอบอ่านช้าๆ" พูลล์กล่าว

พูลล์บอกอีกว่าสำหรับเขาแล้วเรื่องการอ่านนี้เป็นเรื่องในเชิงวัฒนธรรมมากกว่าเรื่องประสาทวิทยา ข้ออ้างเรื่อง "สมอง" จึงฟังดูเหมือนทำให้ข้อถกเถียงของอีกฝ่ายหนึ่งฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น

สมองที่อ่านได้ทั้งสองแบบ

นักวิจัยบอกว่าเรื่องความแตกต่างเกี่ยวกับการอ่านยังต้องมีการศึกษากันมากกว่านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับใช้ด้านการศึกษา การอ่านที่ให้ได้ทั้งสองแบบย่อมถือเป็นศักยภาพอย่างหนึ่ง
"พวกเราถอยกลับไม่ได้แล้ว" วูลฟ์กล่าว "พวกเราควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังไปพร้อมๆ กับการให้สื่อสิ่งพิมพ์เด็กอ่าน ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เข้าถึงเทคโนโลยีในโลกดิจิตอล มันสำคัญทั้งคู่ พวกเราต้องถามคำถามว่า เราจะต้องการจะรักษาอะไรไว้"

วูลฟ์บอกว่าเธอเองก็กำลังฝึกอ่านให้ได้ทั้งสองแบบ เธอพยายามอ่านเฮสเสอีกครั้งโดยลดเวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ลง เธอบอกว่าอีก 2-3 คืนหลังจากนั้นยังเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะอ่านแบบช้าๆ อย่างละเอียดได้ แต่ 2 สัปดาห์หลังจากนั้นเธอก็สามารถเพลิดเพลินไปกับหนังสือได้

"ฉันอยากเพลิดเพลินกับการอ่านในแบบนี้อีก" วูลฟ์กล่าว "เมื่อฉันรู้สึกเหมือนได้ฟื้นฟูตัวเองแล้ว ฉันก็สามารถอ่านอย่างช้าลง ใช้ความคิด และลิ้มรสชาติของสิ่งที่อ่านได้มากขึ้น"

 


เรียบเรียงจาก

Serious reading takes a hit from online scanning and skimming, researchers say, Washington Post, 07-04-2014
The internet isn't harming our love of 'deep reading', it's cultivating it, The Guardian, 11-04-2014
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บึ้มสถานีวิทยุแดงปทุมฯ คาดโดนโยงโกตี๋

$
0
0

15 เม.ย.2557 มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 3.30 น.ของวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดเพลิงเข้าใส่ห้องส่งสถานีวิทยุ FM105.25 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ถูกเผาและอุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียหาย ด้านผู้จัดรายการเผยก่อนเกิดเหตุมีผู้โทรศัพท์มาข่มขู่และมีตำรวจมาตรวจค้น ยืนยันทางสถานีไม่เกี่ยวข้องกับโกตี๋

เหตุเกิดที่โรงงานรีไซเคิลขวดน้ำพลาสติก ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 9 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และเป็นสถานีวิทยุชุมชนคลื่น FM105.25 สื่อมหาชนคนรักประชาธิปไตย จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศถูกเพลิงไหม้ และเสาส่งสัญญาณและห้องเก็บเครื่องส่งได้รับความเสียหาย

จากการสอบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ทราบว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์เห็นคนขี่รถจักรยานยนตร์ซ้อนท้ายมาที่เกิดเหตุจำนวน 5 คัน โดย 4 คันขี่เข้าไปภายในโรงงาน อีกหนึ่งคันจอดตรงผู้เห็นเหตุการณ์และใช้ปืนจี้ข่มขู่ให้อยู่เฉยๆ จากนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้นจากในโรงงาน 3 ครั้ง ก่อนที่คนร้ายทั้งหมดก็พากันขี่จักรยานยนตร์ออกไป

ด้านนายอาทิตย์ จิตรแสวง หรือดีเจอาทิตย์เมืองเกินร้อย ผู้จัดรายการสถานีวิทยุสื่อมหาชนคนรักประชาธิปไตย FM105.25  กล่าวว่า คาดว่าสาเหตุอาจจะมาจากความเข้าใจของกลุ่ม กปปส.ว่าทางสถานีเป็นเครือข่ายของนายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงจังหวัดปทุมธานี โดยก่อนหน้านี้มีกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.เดินทางมาหาตัวนายวุฒิพงษ์ที่สถานีแต่ไม่พบ และก่อนหน้านั้นมีคนโทรศัพท์เข้ามาข่มขู่ที่สถานี และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจค้นที่สถานีด้วย

โดยนายอาทิตย์ยืนยันว่า สถานีวิทยุ FM105.25 ไม่เกี่ยวข้องกับนายโกตี๋แต่อย่างใด ที่ผ่านมาทางสถานีต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของโกตี๋ ส่วนอีกอีกประเด็นที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์ดังกล่าว นายอาทิตย์กล่าวว่า อาจเกี่ยวข้องกับการที่กลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานีส่งผู้สมัครลงแข่งขันในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดปทุมธานี และได้คะแนนเสียงมากพอสมควร จนมีกระแสข่าวว่าไปตัดคะแนนของอีกฝ่ายทำให้แพ้การเลือกตั้ง

 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 9-15 เม.ย. 2557

$
0
0
 
หมดวีซ่าไม่ต้องรอ 3 ปี จ่อแก้ MOU ช่วยแรงงานต่างด้าว ทำเอกสารวันเดียวกลับเข้าไทยได้ทันที
 
(9 เม.ย.) นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดโครงการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ด้านการนำเข้าแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย ภายใต้ MOU ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กทม. โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดต่างๆ เข้าร่วมกว่า 200 คนว่า ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวทั้งพม่า กัมพูชา และลาว รวมถึงสัญชาติอื่นๆ อยู่ในประเทศไทยหลายกลุ่ม ทั้งเข้าเมืองแบบถูกกฎหมายกว่า 2.1 ล้านคน และยังมีแรงงานต่างด้าวกลุ่มอื่นๆ เช่น แรงงานที่ขึ้นทะเบียนไว้และรอพิสูจน์สัญชาติกว่า 1.8 แสนคน โดยแรงงานต่างด้าวได้เป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 มีใบ ทร.38/1 อนุญาตให้อยู่ในไทยได้ชั่วคราวซึ่งมี 2 ประเภท คือ กลุ่มที่รอพิสูจน์สัญชาติแยกเป็นลาวกว่า 6 หมื่นคน กัมพูชากว่า 9 หมื่นคน และพม่ากว่า 3 หมื่นคน รวมทั้งกลุ่มประมงทะเลที่มีปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่ง กกจ. ได้แก้ไขโดยการเปิดจดทะเบียนปีละ 2 ครั้ง ขณะนี้กำลังเปิดจดทะเบียนในรอบที่สอง
       
รองอธิบดี กกจ.กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มที่ 2 แรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยและทำงานในไทยตั้งแต่ปี 2552-2554 โดยวีซ่ากำลังจะหมดอายุ และกลุ่มที่มีวีซ่าหมดอายุแต่อายุพาสปอร์ตยังอยู่ในไทยได้เกิน 2 ปี โดยมีกว่า 3 แสนคน ซึ่งแรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้ ครม. ได้ผ่อนผันให้ไม่ต้องเสียค่าปรับและออกใบอนุญาตทำงานให้ตามระยะเวลาที่หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) หรือหนังสือเดินทางชั่วคราว (เท็มโพลรารี่ พาสปอร์ต) เหลืออยู่เพื่อแก้ปัญหาชั่วคราว ช่วยนายจ้างไม่ให้ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน และกลุ่มที่ 3 นำเข้าผ่านระบบเอ็มโอยู 230,360 คน ซึ่งในจำนวนนี้ได้อนุญาตตามบัญชีรายชื่อ 137,897 คน และออกใบอนุญาตทำงานแล้ว 132,970 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานสัญชาติกัมพูชา รองลงมาเป็นพม่า และลาว ในจังหวัดชลบุรี มากที่สุด รองลงมาเป็นปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยกลุ่มนี้มีใบอนุญาตทำงาน 4 ปี และต้องเดินทางกลับประเทศ 3 ปี แล้วจึงจะสามารถกลับเข้ามาใหม่ได้
       
“กกจ. หนักใจกับแรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 3 เพราะหากไม่แก้ไขจะเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างมาก ก่อนหน้านี้ กกจ. เตรียมจะเสนอ ครม. ขอแก้ไขเอ็มโอยูเป็นให้แรงงานต่างด้าวไปดำเนินการด้านเอกสารเพียง 1 วัน และกลับเข้ามาไทยได้เลย แต่มีการยุบสภาไปก่อน ทำให้เรื่องหยุดชะงักและต้องรอรัฐบาลใหม่พิจารณา แต่ได้แก้ปัญหาเบื้องต้นโดยเมื่อเร็วๆ นี้ ครม. ได้เห็นชอบตามที่ กกจ. เสนอขอผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในไทยได้ชั่วคราวเป็นเวลา 180 วันนับตั้งแต่วันที่ ครม. เห็นชอบหรือจนกว่ารัฐบาลใหม่มาดำเนินการ ซึ่ง กกจ. ได้ตั้งศูนย์ให้บริการดำเนินการด้านเอกสารรับรอง 5 แห่ง ได้แก่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย อ.แม่สอด จ.ตาก จ.ระนอง และเตรียมจะตั้งเพิ่มอีก 2 แห่งที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สมุทรปราการ ในเดือน พ.ค.นี้ และทั้งสองแห่งนี้ดำเนินการเฉพาะแรงงานพม่าโดยนายจ้างของแรงงานต่างด้าวที่วีซ่าหมดอายุหรือใกล้จะหมดอายุมายื่นเอกสาร เช่น หนังสือแสดงความต้องการแรงงาน สัญญาจ้างแรงงาน บัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดในพื้นที่ได้ตั้งแต่บัดนี้” นายประวิทย์ กล่าว
 
(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 9-4-2557)
 
สปส.แนะฉลองสงกรานต์เจ็บป่วยฉุกเฉินเข้ารักษา รพ. ได้ทุกแห่ง
 
นายอำมร เชาวลิต เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) แสดงความห่วงใยลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นจำนวนมาก ขอให้เดินทางด้วยความระมัดระวัง พร้อมย้ำให้พกบัตรรับรองสิทธิฯ ติดตัวขณะเดินทางด้วย หากเกิดเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้น ซึ่งหมายถึงการได้รับอุบัติเหตุหรือมีอาการเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต หรือการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือเกิดอาการรุนแรงขึ้น ซึ่งผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันที โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ประกันตน ทั้งนี้ ให้รีบแจ้งโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ทราบในทันที เมื่อโรงพยาบาลได้รักษาผู้ประกันตนให้พ้นภาวะวิกฤติแล้วจะได้ประสานส่งต่อโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ทำการรักษาผู้ประกันตนต่อไป โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อโรงพยาบาล/สิทธิประกันสังคมได้ที่สายด่วนประกันสังคม 1506 บริการ 24 ชั่วโมง
 
ทั้งนี้ ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปีได้กำหนดให้เป็นวันผู้สูงอายุ นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่มีอาชีพอิสระมีอายุตั้งแต่ 65 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจะได้มีเงินออมและหลักประกันที่มั่นคงกับประกันสังคมในยามวัยชรา สปส. เชิญชวนประชาชนทั่วไปที่มีอาชีพอิสระสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 (ทางเลือกที่ 3 ) ได้ทันที โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพแต่อย่างใด
 
(สำนักข่าวไทย, 10-4-2557)
 
กกจ.ประกาศยกเลิกใบอนุญาต3บริษัทจัดหางานต่างประเทศ
 
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน(กกจ.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ทางกกจ.ได้ประกาศให้ใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศสิ้นสภาพ 2 บริษัท คือ บริษัทจัดหางานเวิลด์ คอนโทรล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 250/41 ซอยจันทร์สว่าง 3 ถนนอุดรดุษฎี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี และบริษัทจัดหางานแฮม.พี.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 2 ซอยประชาชื่น 9/2 ถนนประชาชื่น ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี เนื่องจากไม่ขอต่ออายุใบอนุญาตจัดหางานฯ 
 
พร้อมประกาศยกเลิกใบอนุญาตจัดหางานฯ ของบริษัทจัดหางานแกรนด์ เซอร์วิส (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 191 ซอยสหกรณ์ 1 (รามคำแหง 50) ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกระปิ กรุงเทพฯ เนื่องจากแจ้งความประสงค์ขอยกเลิกใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ 
     
ทั้งนี้หากผู้ใดมีเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับการจัดหางานของบริษัทดังกล่าว สามารถแจ้งนายทะเบียนจัดหางานกลาง หรือที่สายด่วนกกจ.1694 เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
(มติชน, 10-4-2557)
 
เครือข่ายแรงงานยื่นข้อเสนอ 14 เรื่อง เนื่องในวันกรรมกรสากล
 
นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วยนายอำพล ทองรัตน์ รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์  และตัวแทนสมาชิก ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานวันกรรมกรสากล 1 พฤษภาคม2557 "สามัคคีกรรมกร ด้านทุนนิยมครอบโลก สร้างสังคมใหม่ประชาธิปไตยประชาชน" ว่า ปีนี้ยังคงแยกจัดงานกับกระทรวงแรงงานเช่นเดิม เพื่อความเป็นเอกเทศของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำสถานการณ์แรงงานในปัจจุบัน ที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยจะจัดที่หน้ารัฐสภาและจะมีการรวมตัวกันที่ลานหน้าพระราชวังดุสิต ตั้งแต่เวลา 09.00-14.00น. พร้อมเปิดเผยข้อเรียกร้องต่อสาธารณะทั้งการปราศรัย และกิจกรรมบันเทิง โดยไม่นำเสนอต่อรัฐบาล เนื่องจากมองว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรม
 
โดยแบ่งเป็นข้อเรียกร้องเร่งด่วนดังนี้ 1. ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 และ 98 ว่าด้วยการปฏิบัติตามหลักการแห่งสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง 2. ยุตินโยบายและกฎหมายที่ละเมิดสิทธิแรงงาน ที่ขัดต่ออนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ ฉบับที่ 98 เช่น กรณีผู้นำสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย 13 คน 3. สร้างระบบสวัสดิการสังคม เช่น มีมาตรการควบคุมราคาสินค้า ลดค่าครองชีพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 4. ยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ ยุติการแทรกแซงการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ โดยขาดความเป็นธรรม และ 5. ต้องเร่งปฏิรูประบบประกันสังคม ประกันสุขภาพคนทำงานถ้วนหน้า ให้โครงสร้างเป็นอิสระตรวจสอบได้ ผู้ประกันตนมีส่วนร่วม 6.ขอให้งดนำเข้าและยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบแร่ใยหินและไคโซไทล์
 
ส่วนข้อเรียกร้องติดตาม 1. ต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรม รวมถึงทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2554 ที่ให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ในปี 57 และ 58 2. แก้กฎหมายเลือกตั้งทุกระดับ ให้แรงงานที่ทำงานในสถานประกอบการในพื้นที่ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้งและลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่นั้น ๆ 3. เร่งพัฒนากลไกการเข้าถึงสิทธิ การบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ อย่างจริงจัง 4. จัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการลงทุน เพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เมื่อมีการเลิกจ้างหรือเลิกกิจการไม่ว่ากรณีใดก็ตาม และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง 5. สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กหรือศูนย์พัฒนาเด็ก ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรม 6. รัฐต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนากลไกการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสวัสดิการสังคมของแรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ 7.รัฐต้องยกเว้นภาษีกรณีเงินก้อนสุดท้ายของแรงงานที่เกษียณอายุ
 
ด้าน น.ส.วิไลวรรณ แช่เตีย รองประธาน คสรท.กล่าวถึงข้อเรียกร้องวันแรงงาน 14 ข้อ ที่เตรียมเปิดเผยต่อสาธารณชน ว่า ข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ยังเป็นข้อเรียกร้องเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาล พร้อมมองว่าร่างกฎหมายต่างๆ ของผู้ใช้แรงงานถูกมองข้าม จนไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกันสังคม ฉบับผู้ใช้แรงงาน ทั้งนี้หากข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานไม่ได้รับการแก้ไข ก็ยังจะยื่นข้อเรียกร้องเหล่านี้ในทุกปี และเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ได้รับทราบปัญหาของผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับการแก้ไข
 
ทั้งนี้เครือข่ายแรงงานยังเดินหน้าล่ารายชื่อแรงงาน เพื่อเสนอกฎหมายประกันสังคม กฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง หากมีรัฐบาลใหม่ หลังที่ผ่านมาเคยมีการเสนอกฎหมายดังกล่าวเมื่อรัฐบาลที่แล้วแต่ตกไป ส่วนกฎหมาย พ.ร.บ. ส่งเสริมผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวะอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 ที่มีผลบังคับใช้แล้วแต่ยังไม่มีการจัดตั้งสถาบันความปลอดภัยฯตามที่กำหนดไว้
 
(สำนักข่าวไทย, 10-4-2557)
 
แรงงานพม่าใน จ.ระนอง นับหมื่นร่วมเล่นสงกรานต์คึกคัก
 
บรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ จ.ระนอง วันนี้เป็นไปออย่างคึกคัก มีแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่ทำงานอยู่ใน จ.ระนอง กว่า 10,000 คน ออกมาร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ โดยเฉพาะบริเวณถนนเรืองราษฏร์ในเขตเทศบาลเมืองระนอง ซึ่งเป็นโซนการเล่นสงกรานต์ รถติดยาวเหยียดกว่า 2 กม. เนื่องจากมีประชาชนทั้งในพื้นที่ จ.ระนอง นักท่องเที่ยว และแรงงานต่างด้าวมารวมตัวเล่นสาดน้ำกันเป็นจำนวนมาก
 
นอกจากนี้ที่บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน ซึ่งเป็นโซนการเล่นสงกรานต์ด้วยน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ ก็มีประชาชนและนักท่องเที่ยว รวมทั้งแรงงานต่างด้าว เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
 
(สำนักข่าวไทย, 13-4-2557)
 
 
       

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘สมชัย’ นัดคุยรัฐบาลหาข้อสรุปเลือกตั้งใหม่ 17 เม.ย.

$
0
0

15 เม.ย.2557 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะหารือร่วมกับตัวแทนรัฐบาลในวันที่ 17 เมษายนนี้ เพื่อหาข้อสรุปในการกำหนดการเลือกตั้งใหม่

นายสมชัย กล่าวว่า เมื่อ กกต.และรัฐบาลหาข้อสรุปที่ตรงกันได้แล้ว จะนำข้อสรุปที่ได้ไปหารือกับที่ประชุมพรรคการเมือง 73 พรรคในวันที่ 22 เมษายนนี้ และหาก กกต.และรัฐบาล ยังเห็นไม่ตรงกันก็จะไม่สามารถกำหนดวันเลือกตั้งได้ โดยนายสมชัยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กกต. ได้หารือกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งเห็นว่ายังไม่ควรจัดการเลือกตั้งในสถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ สำหรับหน้าที่ กกต.สามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 90 วัน แต่ขึ้นกับการให้ความร่วมมือของรัฐบาลต่อการทำหน้าที่ของ กกต.

ทางด้าน นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งคนที่มีอำนาจไปร่วมหารือแน่นอน โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ เพราะพรรคเพื่อไทยเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดของประเทศคือการให้ประชาชนเลือกอนาคตและกำหนดความเป็นไปของบ้านเมือง โดยการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม เนื่องจากการทำเช่นนี้จะคลี่คลายความขัดแย้งและทำให้ระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปได้

ในขณะที่ก่อนหน้านี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยส่งผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริงในระดับหัวหน้าพรรคมาร่วมหารือกับ กกต. ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเข้าร่วมประชุมด้วย โดยนายชวนนท์ยังเรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสดในวันหารือด้วย

“ขอเรียกร้องให้ถ่ายทอดสดในวันหารือด้วย เพื่อให้ประชาชนทราบว่าใครมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาประเทศ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

 

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์เนชั่นสำนักข่าวไทย

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภัยใกล้ตัว เปิดแอร์นอนในรถเสี่ยงเสียชีวิต

$
0
0

15 เม.ย.2557 เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เตือนภัยใกล้ตัวช่วงสงกรานต์ จอดรถเปิดแอร์นอน ก๊าซคาร์บอนมอนอคไซด์จากไอเสียทำให้หมดสติและอาจเสียชีวิต ปีนี้คร่าชีวิตไปแล้วหลายราย

นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงของการเดินทางกลับบ้านของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ยังมีภัยเงียบที่น่าเป็นห่วง คือ การจอดพักรถริมข้างทางแล้วเปิดแอร์เพื่อนอนหลับพักผ่อน ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ได้มีผู้ขับขี่รถต้องเสียชีวิตจากการเปิดแอร์นอนในรถแล้วหลายราย อันตรายจากการสตาร์ทรถแล้วเปิดแอร์นอนไปด้วยนั้นถือเป็นภัยใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม เพราะการเปิดแอร์พร้อมสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้และปิดกระจกรถมิดชิดทั้งสี่ด้านนั้นจะทำให้ระบบแอร์ของรถยนต์ซึ่งจะต้องดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาหมุนเวียนภายในรถ จะดูดเอาควันจากท่อไอเสียรถยนต์เข้ามา ซึ่งในไอเสียรถยนต์มีทั้งก๊าซคาร์บอนมอนอคไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างการอยู่เป็นจำนวนมาก

เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ ได้กล่าวถึง อันตรายของการสูดดมก๊าซคาร์บอนมอนอคไซด์ว่า อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ เซื่องซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นปิดปกติ เนื่องจาก มีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ และมีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเมื่อระบบแอร์ของรถยนต์ดูดก๊าซเหล่านี้เข้ามาเมื่อเรานอนหลับอยู่เราก็จะสูดดมก๊าซเหล่านี้เข้าไปด้วยและจะส่งผลต่อร่างกายของเราโดยทำให้เราค่อยๆ หมดสติจนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตไปในที่สุด

นพ.อนุชามีข้อเสนอแนะสำหรับการเดินทางไกลของประชาชนในเทศกาลสงกรานต์ว่า สำหรับคนที่ต้องเดินทางไกลควรจะวางแผนการเดินทางให้ดี โดยต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ควรศึกษาเส้นทางการเดินทางให้ละเอียดเพื่อย่นระยะเวลาของการเดินทางให้ไวขึ้นและเลือกใช้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัย  และควรตรวจเช็คสภาพของรถให้พร้อมทั้งระบบเบรก สภาพเครื่องยนต์ใบปัดน้ำฝน หรือสัญญาณไฟต่างๆ ของรถ  และเมื่อรู้สึกง่วงก็ควรที่จะจอดรถนอนหลับพักผ่อนประมาณ 30-40 นาทีในที่ที่เหมาะสม อาทิ ป้อมตำรวจ ปั๊มน้ำมันที่มีไฟส่องสว่าง เมื่อจอดรถยนต์แล้วก็ควรดับเครื่องยนต์รถ และแง้มกระจกลงเล็กน้อยเพื่อทำให้เกิดการระบายอากาศภายในรถ และควรปรับเบาะรถให้พอดีกับการนอน และหากได้รับบาดเจ็บหรือป่วยฉุกเฉิน ให้โทรหาสายด่วน 1669  ซึ่ง สพฉ.พร้อมในการดูแลประชาชนทุกคนในช่วงเทศกาลสงกรานต์

 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลสูงสุดอินเดียยอมรับ 'คนข้ามเพศ' มีสิทธิเท่าเทียมคนอื่น

$
0
0

ศาลสูงสุดของอินเดียตัดสินให้คนข้ามเพศจัดเป็นเพศทางเลือกที่แยกจากเพศหญิงและเพศชาย โดยมีสิทธิตามแบบพลเมืองอินเดีย ทำให้ชุมชนคนข้ามเพศในอินเดียชื่นชมคำตัดสินในครั้งนี้

15 เม.ย. 2557 สำนักข่าวอัลจาซีรารายงานว่าศาลสูงสุดของอินเดียได้ยอมรับการมีอยู่ของเพศทางเลือกซึ่งไม่จัดเป็นทั้งเพศชายหรือเพศหญิง ถือเป็นความก้าวหน้าที่ได้รับการยกย่องจากชุมชนคนข้ามเพศหรือทรานส์เจนเดอร์ (Transgender)

ผู้พิพากษา เคเอส รดากฤษนัน กล่าวในศาลสูงสุดของอินเดียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า "การยอมรับคนข้ามเพศเป็นเพศทางเลือกที่สามไม่ใช่เรื่องในเชิงสังคมหรือเรื่องทางการแพทย์แต่ถือเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน"

ศาลอินเดียสั่งให้รัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นยอมรับว่าคนข้ามเพศซึ่งหมายถึงคนที่แต่งกาย แสดงออก หรือผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเป็นเพศตรงข้าม นับเป็นเพศที่สามซึ่งมีสิทธิเข้าถึงสวัสดิการเช่นเดียวกับคนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในอินเดีย

"คนข้ามเพศเป็นพลเมืองของประเทศนี้ พวกเขามีสิทธิได้รับการศึกษาและสิทธิด้านอื่นๆ" รดากฤษนันกล่าว

ก่อนหน้านี้ในปี 2555 กลุ่มนักกิจกรรมในอินเดียรวมถึงนักกิจกรรมคนข้ามเพศชื่อดัง ลักษมี นารายัน ตรีปาธิ ได้เรียกร้องให้คนข้ามเพศได้รับสิทธิเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย ตรีปาธิแสดงความชื่นชมการตัดสินในครั้งนี้โดยบอกว่ากลุ่มคนข้ามเพศถูกแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติมานานแล้วในประเทศอินเดียซึ่งมักจะมีแนวคิดเชิงอนุรักษนิยม

"วันนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนอินเดีย" ตรีปาธิกล่าว "ในวันนี้ตัวฉันและพี่น้องของฉันรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นคนอินเดียอย่างแท้จริง และพวกเราก็ภูมิใจที่ได้รับสิทธิจากศาลสูงสุด"

อย่างไรก็ตามเมื่อเดือน ธ.ค. 2556 ศาลสูงสุดของอินเดียเคยสั่งห้ามการมีเพศสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกัน ซึ่งการตัดสินในครั้งนั้นทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการดึงประเทศถอยหลังไปสู่ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากการที่ศาลสูงกรุงเดลีตัดสินให้การมีเพศสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกกฎหมายในปี 2552 ศาลสูงนิวเดลีอ้างว่ากฎหมายอาญาข้อที่ระบุว่า "ห้ามการร่วมประเวณีที่ขัดหลักธรรมชาติ" ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน

 


เรียบเรียงจาก

Indian transgenders granted legal status, Aljazeera, 15-04-2014
http://www.aljazeera.com/news/asia/2014/04/indian-transgenders-granted-legal-status-201441571021109759.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เดอะการ์เดียน-วอชิงตันโพสต์ ได้ 'พูลิตเซอร์' จากรายงานเปิดโปงโครงการสอดแนม

$
0
0

จากการประกาศผลรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งเป็นรางวัลมอบให้กับงานข่าว สำนักข่าวเดอะการ์เดียน และวอชิงตันโพสต์ ได้รับรางวัลสาขาบริการสาธารณะจากเรื่องโครงการสอดแนม โดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้เปิดโปงโครงการบอกว่ารางวัลนี้เป็นการปกป้องสิทธิของสาธารณชน

16 เม.ย. 2557 สำนักข่าวเดอะการ์เดียน และวอชิงตันโพสต์ ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ สาขาบริการสาธารณะ (Public Service) จากรายงานข่าวเกี่ยวกับโครงการสอดแนมของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) ซึ่งอาศัยข้อมูลจากเอกสารลับที่นำออกมาเปิดโปงโดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน

ในรัฐนิวยอร์ก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีการประกาศรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งเป็นรางวัลของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐฯ ที่มอบให้แก่คนทำงานด้านข่าว โดยผลรางวัลด้านบริการสาธารณะประจำปี 2557 ตกเป็นของสองสำนักข่าวที่รายงานเรื่องการเปิดโปงโครงการสอดแนมครั้งใหญ่มาเป็นเวลา 10 เดือนแล้ว

คณะกรรมการพูลิตเซอร์กล่าวยกย่องว่าการเปิดเผยเรื่องราวโครงการสอดแนมของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ช่วยทำให้เกิดการถกเถียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในเรื่องความมั่นคงและสิทธิความเป็นส่วนตัว

ผู้รับผิดชอบการรายงานข่าวประเด็นดังกล่าวในเดอะการ์เดียน นำโดยนักข่าวชื่อเกลน กรีนวัลด์ อีเวน แมคอาสกิล และผู้สร้างภาพยนตร์ ลอว์รา พอยทราส ส่วนในวอชังตันโพสต์เป็นหน้าที่ของบาร์ตัน เกลมัน ผู้ที่ทำงานร่วมกับพอยทราสด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ทำงานสื่อทั้ง 4 คนก็ได้รับรางวัลจอร์จ โปลค์ จากรายงานข่าวเรื่องประเด็นเรื่องโครงการสอดแนมเช่นกัน

เรื่องราวการสอดแนมที่เคยถูกนำเสนอยกตัวอย่างเช่น โครงการ 'ปริซึม' ที่หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ และอังกฤษพยายามเจาะ 'ประตูหลัง' เพื่อเข้าถึงระบบข้อมูลของบรรษัทยักษ์ใหญ่เช่นกูเกิลและเฟซบุ๊ก โครงการเหวี่ยงแหเก็บข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของชาวอเมริกันทีละเป็นจำนวนมากรวมถึงพลเมืองที่ไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยใดๆ และการสอดแนมการใช้โทรศัพท์ของผู้นำโลก 35 คน

อลัน รุสบริดเจอร์ หัวหน้าบรรณาธิการเดอะการ์เดียน กล่าวถึงรางวัลว่าไม่เพียงแค่สำนักข่าวเท่านั้นที่ควรได้รับเกียรติในครั้งนี้ แต่ควรยกย่องเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ผู้ที่เอาตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือสาธารณชนด้วย

ด้านเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ออกแถลงการณ์กล่าวถึงการตัดสินใจให้รางวัลของคณะกรรมการพูลิตเซอร์ว่า เขายินดีที่ทางคณะกรรมการรับรู้ถึงความพยายามของผู้ที่มีส่วนร่วมในการรายงานข่าวประเด็นนี้

"การตัดสินรางวัลในวันนี้เหมือนเป็นการปกป้องสิทธิของทุกคนที่เชื่อว่าสาธารณชนมีบทบาทต่อรัฐบาล พวกเราต้องชื่นชมความกล้าหาญของนักข่าวและเพื่อนร่วมงานที่ทำงานภายใต้การถูกข่มขู่ รวมถึงการสั่งให้ทำลายวัตถุดิบข่าว การใช้กฎหมายการก่อการร้ายอย่างไม่เหมาะสม และวิธีการอื่นๆ ที่นำมาใช้เพื่อพยายามกดดันพวกเขาให้หยุดรายงานในสิ่งที่ตอนนี้ทั่วโลกมองว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสาธารณชน" เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนกล่าวในแถลงการณ์

"การตัดสินในครั้งนี้ย้ำเตือนเราว่าสิ่งที่จิตสำนึกของคนๆ เดียวไม่อาจเปลี่ยนแปลง แต่สื่อเสรีสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความพยายามของผมจะไร้ความหมายถ้าปราศจากความใส่ใจ ความจริงจัง และความสามารถของหนังสือพิมพ์เหล่านี้ แล้วผมก็ขอแสดงความขอบคุณและความนับถือพวกเขาจากการบริการสังคมที่พิเศษ งานของพวกเขาทำให้เรามีอนาคตที่ดีขึ้น และมีประชาธิปไตยที่เชื่อถือได้" สโนว์เดนกล่าวในแถลงการณ์

 


เรียบเรียงจาก

Guardian and Washington Post win Pulitzer prize for NSA revelations, The Guardian, 14-04-2014
http://www.theguardian.com/media/2014/apr/14/guardian-washington-post-pulitzer-nsa-revelations

Edward Snowden on Pulitzer winners: 'Their work has given us a better future', The Guardian, 14-04-2014
http://www.theguardian.com/world/2014/apr/14/edward-snowden-pulitzer-statement-prize-guardian-washington-post

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นปช.ประกาศเลื่อนชุมนุม 18 เม.ย. รอดูสถานการณ์วันต่อวัน

$
0
0

นปช.ประกาศเลื่อนชุมนุมใหญ่ 18 เม.ย.ออกไปก่อน แจงไม่ได้ถอย แต่รอประเมินสถานการณ์ บอกมวลชนเตรียมตัวให้พร้อม หากสถานการณ์เปลี่ยนอาจชุมนุมเร็วกว่าเดิม ใช้พื้นที่เดิมถนนอักษะ พุทธมณฑล 

17 เม.ย.2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่า เมื่อเวลา 13.30 น. นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ในวันที่ 18 เม.ย.นี้ นปช.จะไม่ชุมนุมใหญ่ตามที่เคยประกาศไว้ เนื่องจากต้องประเมินสถานการณ์วันต่อวัน ยืนยันว่าไม่ใช่การถอย แต่จะชุมนุมต่อเมื่อมีสถานการณ์เท่านั้น และสิ่งที่ นปช.ต้องการคือ การชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ และไม่อยากเผชิญหน้ากับมวลชน โดยขอส่งสัญญาณไปยังกลุ่มอำมาตย์ว่า กลุ่ม นปช.จะสู้ไม่ถอยเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง

ส่วนกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊กตำหนิคนเสื้อแดงว่าไม่น่าคบ โฆษก นปช.กล่าวว่า คนเสื้อแดงก็ไม่อยากคบกับคนที่ไม่มีความเป็นกลางเช่นกัน และขอเรียกร้องให้นายสมชัยออกจากการเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วย เพื่อให้ กกต.ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามกระบวนการต่อไป

ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ ที่ปรึกษา นปช. กล่าวว่า ขณะนี้เกิดการถกเถียงกันว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของใคร จึงต้องทำความเข้าใจว่าอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องเป็นของปวงชนชาวไทยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนการเสนอนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 ขององค์รัฏฐาธิปัตย์ ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกลุ่ม กปปส. หรือคณะบุคคลใดจะเสนอมาไม่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะที่มาของนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากสภาผู้แทนราษฎรที่คัดเลือกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลในการชุมนุม เพื่อยืนยันว่าประชาชนไม่ยอมรับการได้มาซึ่งอำนาจอื่นที่นอกเหนือไปจากอำนาจของประชาชน

“ส่วนการนัดชุมนุมใหญ่จากเดิมที่เคยระบุว่าหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสิน แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนไป นปช.อาจจะชุมนุมที่เร็วขึ้นกว่าเดิม จึงขอให้มวลชนคนเสื้อแดงเตรียมตัวให้พร้อม และคาดว่าสถานที่ในการจัดการชุมนุมจะเป็นสถานที่เดิม คือถนนอักษะ พุทธมณฑล และขอส่งสัญญาณไปยัง กกต.และองค์กรอิสระต่างๆ ว่าหากไม่ทำให้เกิดการเลือกตั้ง หรือตัดสินคดีให้บริสุทธิ์ยุติธรรม ประชาชนจะไม่ยอมอีกต่อไป และจะออกมาสู้เพื่อความเป็นธรรม ทั้งขอเตือนปลัดกระทรวงและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่จะเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.ว่าให้ลาออกจากตำแหน่งและเข้าร่วมขบวนการอย่างเต็มตัว อยากให้เข้าใจตรงกันว่าผู้ใดก็ตามที่หวังจะล้มล้างรัฐบาล ผู้นั้นคือคนที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย” นางธิดา กล่าว 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทำบุญตั้งศาล 16 ปี เจ้าคุณพิพิธขอศาล รธน.-องค์กรอิสระลงสัตยาบันทำตาม รธน.

$
0
0

ทำบุญตั้งศาลรัฐธรรมนูญ 16 ปี "เจ้าคุณพิพิธ" ถามประธานศาล รธน. ขอนายกรัฐมนตรี ม.7 ถูกหรือไม่ ให้เวลาตอบ 7 วัน และเสนอให้ลงสัตยาบรรณยึดหลักรัฐธรรมนูญ ขณะที่เลขาฯ ศาล เผยตั้งศาลมา 16 ปี รับคำร้องแล้ว 1,203 คำร้อง วินิจฉัยแล้ว 667 กรณี กำลังดำเนินการ 4 คำร้อง ขณะที่ศาล รธน. เตรียมประชุม 23 เม.ย. พิจารณาคำร้องนายกฯ ขอขยายเวลาชี้แจงการโยกย้าย 'ถวิล เปลี่ยนศรี' ออกไปอีก 15 วัน

17 เม.ย. 2557 - วันนี้ (17 เม.ย.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ถ.แจ้งวัฒนะ นายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสศาลรัฐธรรมนูญก่อตั้งครบรอบ 16 ปี มีคณะตุลาการศาล รธน. และเจ้าหน้าที่สำนักงานศาล รธน. เข้าร่วม นอกจากนี้มีการบรรยายธรรมโดยพระราชวิจิตรปฏิภาณ หรือเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม กล่าวตอนหนึ่งขอร้อง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน และองค์กรอิสระอย่าคิดแบบศาล แต่ให้คิดเป็นเเบบศาลา คือมาพูดคุยกันเพื่อหาทางออก และจะต้องมียารักษาประเทศสองขนาน

ขนานแรกได้แก่ หยุดความคิดว่าเราเป็นฝ่ายถูก ห่วงอนาคตของลูกหลาน ให้อภัยซึ่งกันเเละกัน อย่าเชื่อคำยุยงปลุกปั่น ผู้ที่มีความสามารถควรเสียสละออกมาช่วยแก้ปัญหา หยุดการฉ้อฉล

ขนานที่สองได้แก่ ทุกฝ่ายต้องหยุดกล่าวว่า ตัวเองเป็นฝ่ายจงรักภักดีเพียงฝ่ายเดียว หยุดใส่ร้ายป้ายสีสถาบันฯ หยุดชักใยในที่แอบแฝง หยุดเเย่งชิงความเป็นใหญ่ ส่วนที่มีการขัดขวางไม่ให้ทำตามรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีมติและลงสัตยาบันร่วมกันว่าจะทำตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญก็จะไม่มีศาลและองค์กรอิสระ

นอกจากนี้เจ้าคุณพิพิธได้ถามประธานศาลรัฐธรรมนูญด้วยวาจาว่าการขอนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 ถูกต้องหรือไม่ โดยขอให้ตอบภายใน 7 วัน ทั้งนี้ตามรายงานของมติชน

นอกจากนี้ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์รายงานวันนี้ (17 เม.ย.) ว่า นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรี ยื่นขอขยายเวลาชี้แจงการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่จะครบกำหนดพรุ่งนี้ ออกไปอีก 15 วัน ว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว เบื้องต้นวันที่ 23 เมษายนนี้ ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ จะนำคำขอของนายกรัฐมนตรีมาพิจารณาว่า จะอนุญาติหรือไม่ หากอนุญาติจะขยายเวลาให้กี่วัน ส่วนข้อสงสัยการดำเนินการเรื่องนี้ จะเกินกรอบเวลาที่กฏหมายกำหนดหรือไม่ เห็นว่า นายกรัฐมนตรี ได้ใช้สิทธิ์ยื่นขอขยายเวลาภายในวันที่ 18 เมษายน ก่อนที่จะครบกำหนดตามกฏหมาย จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เคยหยิบยกประเด็น ที่ศาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กระทำเกินกว่าที่กฏหมายกำหนดมาพิจารณา เพราะที่ผ่านมาพิจารณาคดีตามกระบวนการยุติธรรม ด้วยความชอบธรรม

ทั้งนี้ ยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาคดีนี้ตามกฏหมาย การเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองต่างๆ ไม่สามารถกดดันการทำหน้าที่ได้

นายเชาวนะ ยังได้ชี้แจงผลการดำเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ว่า ได้รับคำร้องไว้วินิจฉัยทั้งสิ้น 1,203 คำร้อง วินิจฉัยเสร็จสิ้น 667 คำวินิจฉัย ขณะนี้มีคำร้องอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 40 คำร้อง รูปแบบคำร้องมี 4 ลักษณะ ประกอบด้วย เกี่ยวข้องกับการขัดรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการยุบพรรคการเมือง เกี่ยวกับรัฐสภาและองคฺกรตามรัฐธรรมนูญ และเกี่ยวกับสถานะของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยืนยันทุกคดี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามหลักรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วน และเพื่อความชอบธรรม ขณะเดียวกัน ศาล รธน.ได้ประสานความร่วมมือกับศาลต่างประเทศด้วย เพื่อเชื่อมโยงการทำงานระดับสากล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

6 องค์กรด้านเศรษฐศาสตร์ จับมือดัน 'สำนักงบประมาณประจำรัฐสภา'

$
0
0

6 องค์กรวิชาวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องผลักดันให้มี Thai PBO เพื่อเติมกลไกปฎิรูประบบการคลังประเทศ ตีแผ่ข้อมูล หวังช่วยให้การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2557 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดเสวนาสาธารณะเรื่อง “ปฎิรูประบบการคลังด้วย Thai PBO (Thai Parliamentary Budget Office)”  โดย ดร.สมชัย จิตสุชน ในฐานะหัวหน้าโครงการส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงบประมาณประจำรัฐสภาหรือ Thai PBO พร้อมด้วยคณะนักวิจัย ได้ร่วมกันแถลงผลการศึกษา โดยระบุว่า Thai PBO ถูกออกแบบให้เป็นหน่วยงานวิเคราะห์งบประมาณแผ่นดินและระบบการคลังประจำรัฐสภาอย่างโปร่งใสและเป็นกลางทางการเมือง  เป็นอิสระจากรัฐบาล หน้าที่หลักคือติดตามข้อมูล วิเคราะห์งบประมาณและการคลังภาครัฐ เพื่อสนับสนุนการทำงานของสมาชิกรัฐสภาและสนับสนุนข้อมูลแก่สาธารณชน  

Thai PBO จะมีส่วนสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างวินัยทางการคลัง เนื่องจากในปัจจุบันกระบวนการติดตามและวิเคราะห์การใช้จ่ายเงินแผ่นดินโดยฝ่ายนิติบัญญัติและภาคประชาชนมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงข้อมูลและคุณภาพของการวิเคราะห์เมื่อเทียบกับฝ่ายบริหาร ทำให้ระบบตรวจสอบถ่วงดุลการใช้เงินแผ่นดินภายใต้ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น Thai PBO จะช่วยสร้างสมดุลนี้ได้ ประเทศไทยขณะนี้ต้องการหน่วยงานแบบ Thai PBO อย่างเร่งด่วน โดยสามารถอาศัยกระแสการปฏิรูปในการผลักดันการจัดตั้งด้วยการออกเป็นกฏหมายที่รับรองความเป็นอิสระขององค์กรและของผู้อำนวยการ โดยพิจารณารูปแบบและทางเลือกต่างๆ ที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานะทางกฏหมายขององค์กร การคัดเลือกผู้อำนวยการ การรับประกันความเพียงพอของงบประมาณ การเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงานของ Thai PBO เป็นต้น

สำหรับประเด็น “จะออกแบบและผลักดัน Thai PBO อย่างไร ให้เสริมสร้างวินัยการคลังได้จริง”ในวงเสวนาซึ่งประกอบด้วยคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์จาก 3 สถาบันการศึกษาคือ ม.ธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  ผู้แทนธนาคารโลก และผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง สนับสนุนการมี Thai PBO ขึ้นในประเทศไทย  โดยเชื่อว่าจะเป็นกลไกช่วยสร้างวินัยการเงินการคลังให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเหมาะสม  พร้อมกันนี้ได้ให้ข้อสังเกตสำคัญหลายประการ กล่าวคือ
ศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กลไกของ PBO (Parliamentary Budget Office) จะช่วยลดความบิดเบือนเรื่องงบประมาณและเรื่องกลไกนโยบายทางการคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยเติมเต็มข้อมูลให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้การทำ PBO ต้องมีการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ให้มากที่สุด โดยหัวใจของ PBO คือ ความเป็นกลาง ความมีอิสระจากหน่วยงานอื่น ความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ความน่าเชื่อถือของกระบวนการ และต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน

รศ.ดร.ชโยดม สรรพศรี คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การจัดตั้ง Thai PBO ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความน่าเชื่อถือขององค์กร และเป้าหมายในการตรวจสอบ  โดยยึดประชาชนเป็นหลักในการเข้าถึงข้อมูล ที่สำคัญ Thai PBO ต้องมีโครงสร้างองค์กรที่มีความเข้มแข็งไม่สามารถแทรกแซงได้ รวมถึงต้องมีเครื่องมือการตรวจสอบที่หลากหลายและมีบุคลากรที่ได้รับการยอมรับในการตรวจสอบด้วย

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า Thai PBO มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเมืองระบบประชาธิปไตยของไทย จะมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้ต้นทุนของนโยบายที่พรรคการเมืองใช้หาเสียงเมื่อจะไปเลือกตั้ง และเมื่อรัฐบาลนำนโยบายที่หาเสียงเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา Thai PBO จะช่วยให้สมาชิกรัฐสภามีข้อมูลที่เป็นกลางถึงต้นทุนและผลกระทบทางการคลังของนโยบายเหล่านั้น  และเมื่อพิจารณาจากงบประมาณที่ต้องใช้ในการจัดตั้ง Thai PBO  ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ การจัดตั้งจึงไม่มีความเสี่ยงแต่อย่างใด

ดร.สมเกียรติ เสนอว่า ควรจัดตั้ง Thai PBO โดยยกร่างเป็นพระราชบัญญัติที่ผ่านการเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง  กำหนดให้ Thai PBO ต้องตรวจสอบการใช้เงินนอกงบประมาณและการใช้เงินขององค์กรกึ่งการคลัง มีบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปกปิดข้อมูล  คณะกรรมการของ Thai PBO อาจมีนักการเมืองที่มีสัดส่วนเท่ากันระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเพื่อให้เกิดความสมดุล และเสริมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความอิสระจากการเมือง คณะกรรมการ ต้องมีหน้าที่รับประกันความเป็นอิสระขององค์กรด้วย  สำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการ Thai PBO ควรมาจากการสรรหาและเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลด้วยเสียงข้างมาก ไม่เป็นบุคคลที่เลือกข้างทางการเมือง และมีการตรวจสอบโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน 

ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนา บริหารศาสตร์(นิด้า) เปิดเผยว่า ควรมีกลไกในการวิเคราะห์งบประมาณที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย รวมทั้งไม่ควรทำงานซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น เช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่สำคัญควรให้สาธารณชนมีส่วนรวมในการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณได้ ซึ่งเชื่อว่า Thai PBO จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกระบวนการงบประมาณให้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างวินัยการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Mr.Shabih Mohib  ผู้แทนธนาคารโลก สำนักงานประเทศไทย กล่าวว่า หัวใจแห่งความสำเร็จขององค์กร Thai PBO คือ การไม่เลือกข้างหรือไม่มีอคติทางการเมือง แต่มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริง โดยการสร้างเครือข่ายและทำงานเชิงรุก ซึ่ง Thai PBO จะเป็นองค์กรที่มีส่วนสำคัญในการให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจทั้งสมาชิกรัฐสภาและประชาชนได้เป็นอย่างดี
ดร.ลัษมณ อรรถาพิช  ผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย สำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทย ระบุว่า เห็นด้วยที่ไทยจะมีองค์กร Thai PBO แต่ยังคงเป็นห่วงในเรื่องความเป็นอิสระและความเป็นกลางของ Thai PBO ในการตรวจสอบนโยบายงบประมาณของรัฐบาล รวมทั้งสถานะขององค์กรดังกล่าวที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กร Thai PBO สามารถขับเคลื่อนการตรวจสอบงบประมาณให้เป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งการทำงานดังกล่าวจะต้องมีกลไกของภาคประชาชนในการเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วย

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้งบประมาณไม่โปร่งใสของรัฐบาล และการใช้เงินนอกงบประมาณที่สูงขึ้นนอกเหนือจากนโยบายที่ระบุไว้ ดังนั้น วงเสวนาเชื่อว่า การจัดตั้ง Thai PBO ภายใต้การบริหารงานของผู้อำนวยการ PBO ที่มีความโปร่งใสในการทำงาน ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองหรือไม่ชี้ช่องว่านโยบายใดถูกหรือผิด มีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์การตรวจสอบ จะช่วยให้การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักข่าวภูเก็ตหวานได้ประกันตัวคดีหมิ่นกองทัพเรือ-พ.ร.บ. คอมพ์

$
0
0
นักข่าวออสเตรเลียและไทยจากเว็บไซต์ภูเก็ตหวานได้ประกันตัวในชั้นอัยการ ในคดีที่ถูกกองทัพเรือฟ้องหมิ่นประมาทจากการรายงานข่าวที่อ้างอิงรอยเตอร์ว่ากองทัพเรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการค้ามนุษย์โรฮิงญา 

 
17 เม.ย. 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อลัน มอร์ริสันและชุติมา สีดาเสถียร บรรณาธิการและนักข่าวเว็บไซต์ภูเก็ตหวาน ที่ถูกฟ้องร้องจากกองทัพเรือด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และละเมิดพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ได้รับการประกันตัว หลังจากที่ทั้งคู่ได้เข้าไปรายงานตัวต่ออัยการเพื่อส่งตัวฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่ศาลจังหวัดภูเก็ตราว 5 ชั่วโมง
 

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก iLaw
 
หลักทรัพย์ประกันในคดีนี้ทางอัยการได้กำหนดไว้คนละ 1 แสนบาท ซึ่งทางศูนย์กฎหมายและสิทธิชุมชนพื้นที่อันดามันได้เข้ามาช่วยเหลือในรูปแบบของสลากออมสินมูลค่า 2 แสนบาท 
 
ทางอัยการได้กำหนดวันนัดพร้อมของคดีนี้ในวันที่ 26 พ.ค. ที่จะถึงนี้ เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานและกำหนดวันไต่สวนต่อไปในอนาคต 
 
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อเดือน ก.ค. 56 สำนักข่าวภูเก็ตหวานเผยแพร่ "รายงานพิเศษเรื่อง : ทหารไทยได้รับผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์ผู้อพยพทางเรือ" ซึ่งอ้างอิงแหล่งข้อมูลมาจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานชิ้นนี้มีการกล่าวพาดพิงว่าเจ้าหน้าที่กองทัพเรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา 
 
ในเดือน ธ.ค. 56 กองทัพเรือจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ตให้ดำเนินคดีทั้งสองคนฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14(1)
 
คดีนี้เป็นที่จับตายิ่งขึ้นหลังจากที่การรายงานข่าวกรณีโรฮิงญาโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ประจำปี 2014 โดยข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ องค์กรสิทธิระหว่างประเทศอาทิ ฮิวแมนไรท์ วอทช์, ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน, พันธมิตรสื่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ได้แสดงความกังวลต่อกรณีดังกล่าวเนื่องจากเป็นการคุกคามเสรีภาพสื่อมวลชนและเสรีภาพการแสดงออก
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี-วุฒิสภาขอคำยืนยันอำนาจเปิดประชุมวิสามัญ

$
0
0

รองประธานวุฒิสภาเผยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอคำยืนยันอำนาจผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย พ.ร.ฎ.ขอเปิดประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ 24 เม.ย. เพื่อแต่งตั้งกรรมการ ป.ป.ช. และถอดถอนนิคม ยืนยันการเปิดประชุมเป็นไปตาม รธน. และไม่เกี่ยวกับการเสนอนายกรัฐมนตรี ม.7

17 เม.ย. 2557 - สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่า นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา กล่าวภายหลังการประชุม สำนักเลขาธิการวุฒิสภาและฝ่ายกฎหมาย ว่า บ่ายวันนี้(17 เม.ย.) สำนักเลขาธิการวุฒิสภา จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อขอคำยืนยันอำนาจผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชกฤษฎีกาขอเปิดประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ ในวันที่ 24 เมษายนนี้ ทดแทนวันที่ 18 เมษายน เพื่อแต่งตั้งกรรมการป.ป.ช.คนใหม่ และดำเนินการกระบวนการถอดถอน นายนิคม ไวรัชพานิช ออกจากตำแหน่งประธานวุฒิสภา ทั้งนี้ หากไม่สามารถเปิดประชุมได้ทันวันที่ 24 เมษายนนี้ ยังสามารถเปิดประชุมวันที่ 30 เมษายนได้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายตามกรอบเวลา 30 วัน ที่กฎหมาย ป.ป.ช.บัญญัติ

นายสุรชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีความเห็นต่าง ระหว่างวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรี ที่ยังยืนยันความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และหากทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงเห็นต่าง จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัย แต่ส่วนตัวอยากให้คณะรัฐมนตรีและวุฒิสภา ทำความเข้าใจและได้ข้อสรุปร่วมกัน

รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ยังกล่าวว่า การขอเปิดประชุมครั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาข้อร้องเรียนการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมยืนยันจะไม่เสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรี มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน และจะทำหน้าที่เป็นกลาง ในการควบคุมการประชุม แต่เป็นสิทธิของสมาชิกวุฒิสภา ที่จะเสนอเรื่องดังกล่าว แต่ต้องได้รับการรับร้องจากที่ประชุม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปสช.ตั้งโต๊ะแจงกรณี สตง.ท้วงการใช้จ่าย

$
0
0

17 เม.ย. 2557 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. พร้อมด้วยรองเลขาธิการและผู้บริหารระดับสูงของ สปสช. แถลงข่าวและตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน กรณีปลัดกระทรวงสาธารณสุขยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อมายังบอร์ด สปสช. และให้ตอบภายใน 2 สัปดาห์ โดยปลัด สธ.อ้างถึงกรณีที่ สตง. ทักท้วงการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในส่วนบัญชี 6 ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ในฐานะ สปสช. สาขาจังหวัด และรองปลัด สธ.เสนอให้ยกเลิกการมอบหมายให้ สสจ.เป็นสาขาจังหวัดของ สปสช.เพราะผิดหลักการแยกผู้ซื้อและผู้ให้บริการออกจากกัน

นพ.วินัย กล่าวว่า ประเด็นที่ สตง.ทักท้วงการใช้จ่ายเงินนั้น ไม่มีประเด็นการทุจริต แต่เป็นการใช้จ่ายเงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ตรงตามประกาศ สปสช.

“เมื่อมีการทักท้วงการบริหารเงินบัญชี 6 ของสาขาจังหวัด จาก สตง.จึงจำเป็นต้องตั้งบุคคลภายนอกที่เป็นกลางร่วมดูข้อเท็จจริงและถ้าเป็นการเข้าใจผิดหรือไม่จงใจให้เกิดความเสียหาย ก็จะได้ชี้แจงกับ สตง.ได้” เลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. กล่าวต่อว่า ปัญหาการทำงานร่วมและความเห็นที่แตกต่างระหว่าง สปสช.และ สธ.ที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต่อเนื่องมาสิบกว่าปี แม้ว่าก่อนหน้านี้หลายอย่างได้คลี่คลายดีขึ้น แต่เมื่อมีการหยิบยกปัญหาขึ้นมาแล้ว ทาง สปสช.ก็ได้ให้ความสำคัญด้วยการตั้งทีมเจรจาไว้แล้วทั้งหมดเป็นผู้บริหารระดับสูง คือ เลขาธิการ รองเลขาธิการและผู้ช่วยเลขาธิการ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกับ สธ. และถ้าเป็นประเด็นที่เกินอำนาจหน้าที่ ก็จะเสนอบอร์ด สปสช.พิจารณาต่อไป

“หลักการทำงานของ สปสช.คือยึดถือประโยชน์ของประชาชนและผู้ป่วย โดยการแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลหน่วยบริการสาธารณสุขกว่า 800 แห่งและเครือข่าย รพ.สต.กว่า 12,000 แห่งทั่วประเทศ” เลขาธิการ สปสช.ย้ำ

ต่อประเด็นข้อทักท้วงของ สตง. นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า สตง.ได้ตรวจสอบการใช้งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีงบประมาณ 2555 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการสุ่มตรวจสอบลงไปในระดับจังหวัด ทั้งหมด 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ราชบุรี สมุทรสาคร ระยอง จันทบุรี และตราด โดยตรวจพบว่าสาขาจังหวัดมีการใช้เงินในบัญชี  6 ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ หรือไม่มีระเบียบ ประกาศของ สปสช.รองรับ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นการทุจริต และเสนอให้ สปสช. และ สธ. ตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการชุดนี้ มีองค์ประกอบนอกจาก สปสช. และ สธ. แล้ว ยังมีตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด ตัวแทนกรมบัญชีกลางและตัวแทนจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรียน(กพ.) ร่วมด้วย ทั้งนี้จะมีการประชุมครั้งแรกในวันที่ 30 เม.ย.นี้ โดยกระบวนการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้จะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่ สตง.ทักท้วงมา เพื่อเสนอ บอร์ด สปสช.พิจารณาต่อไป

“การทักท้วงของ สตง. ส่วนใหญ่เกิดจากการตีความในมุมมองของ สตง. แต่หากเป็นคณะกรรมการที่อยู่ในสายงานด้านสาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก ก็อาจจะมีมุมมองและความเห็นอีกแบบเพื่อไปอธิบายและชี้แจงในสิ่งที่ สตง.ทักท้วงได้” รองเลขาธิการ สปสช.กล่าว

สำหรับประเด็นที่ปลัด สธ.ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ และรองปลัด สธ.ต้องการให้ สสจ.ยุติการทำหน้าที่เป็น สปสช.สาขาจังหวัด เพราะเป็นทั้งผู้ให้บริการและผู้ชื้อบริการ ทำให้ไม่ตรงกับหลักการแยกผู้ซื้อบริการและผู้ให้บริการออกจากกัน หรือที่เรียกว่า Provider Purchaser Spilt นั้น นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สปสช. ตระหนักถึงปัญหาความทับซ้อนในบทบาทหน้าที่ของ สสจ.ดังกล่าวมาโดยตลอด และเห็นด้วยในหลักการที่ สธ.เสนอให้แยกบทบาทออกจากกัน รวมทั้งให้ยกเลิกประกาศหรือระเบียบการจัดสรรเงินผ่านบัญชี 6  อย่างไรก็ตามประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่อาจกระทบต่อหน่วยบริการและประชาชนในพื้นที่ จึงต้องมีเวลาตระเตรียมขยายความพร้อมของ สปสช.เขตพื้นที่ที่มีอยู่แล้ว 13 เขต รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากภาคีต่างๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจะนำข้อเสนอทั้งหมดของปลัด สธ.เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในต้นเดือน พค.นี้ เพื่อให้ทันกับการประกาศใช้ ต.ค.ต้นปีงบประมาณ 2558 นี้

สำหรับข้อเสนอให้ สปสช.ยกเลิกการจ่ายค่าตอบแทนล้างไตหรือค่าตอบแทนอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกันนั้น รองเลขาธิการ สปสช. ชี้แจงว่าเป็นการจ่ายตามภาระงานเพื่อกระตุ้นให้ขยายการให้บริการและลดการรอคิวรับบริการของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและอื่นๆที่ถ้าไม่ได้รับบริการแล้วจะเสียชีวิตหรือพิการ ซึ่งในอดีตมีปัญหาการบริการมีจำกัด และปัจจุบันปัญหาคิวรอรับบริการลดลงอยู่ในระดับปกติแล้ว สปสช. ก็ได้ยกเลิกหรือปรับให้หน่วยบริการเป็นผู้จ่ายค่าภาระงานด้วยตัวเองแล้ว ปี 57 นี้จึงไม่มีการมอบหมายให้ สปสช.สาขาจังหวัดจ่ายค่าภาระงานให้บุคคลากรโดยตรงแล้ว
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลให้วางหลักทรัพย์ '3.7 ล้าน' ต่ออายุชาวบ้านอยู่ในพื้นที่สู้คดีที่ดินสวนปาล์ม

$
0
0
ศาลพิจารณาอนุญาตให้ชุมชนสันติพัฒนาอยู่ในพื้นที่เป็นการชั่วคราวระหว่างการต่อสู้คดีที่ดินกับนายทุนสวนปาล์มสุราษฎร์ วางหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนวน 3.7 ล้านบาท นัดพิจารณาหลักทรัพย์วันที่ 27 มิ.ย.57 
 
17 เม.ย. 2557 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีพิจารณาคำร้องขออยู่ในพื้นที่เป็นการชั่วคราวของชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ในคดีที่บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ฟ้องนายมนัส กลับชัย และชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนารวม 9 คน เป็นจำเลย ในข้อหาร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ ขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ในชั้นอุทธรณ์ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลพิจารณาอนุญาตให้ชุมชนสันติพัฒนาอยู่ในพื้นที่เป็นการชั่วคราวระหว่างการต่อสู้คดี โดยให้วางหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนวน 3.7 ล้านบาท และนัดพิจารณาหลักทรัพย์วันที่ 27 มิ.ย. 2557 

สุรพล สงฆ์รักษ์ ผู้ประสานงานสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) กล่าวว่า การฟ้องร้องคดีนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2552 โดยบริษัทฯ ยื่นฟ้องชาวบ้านโดยอ้างสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ 1,486 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างพื้นที่ของ ส.ป.ก.จำนวน 276 ไร่ พื้นที่ นส.3 จำนวน 330 ไร่ และอีกกว่า 800 ไร่เป็นเขตป่าไม้ถาวร แต่เมื่อมีการตรวจสอบสิทธิ์พบว่าบริษัทดังกล่าวครอบครองพื้นที่ ส.ป.ก.โดยมิชอบ ขณะที่ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนายืนยันว่าตั้งชุมชนอยู่ในพื้นที่ ส.ป.ก.และล่าสุด ส.ป.ก.ได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับชุมชนแล้ว ภายหลังจากบริษัทฯ ได้ทำข้อตกลงเพื่อคืนพื้นที่ให้ ส.ป.ก.
 
ทั้งนี้ ในกรณีที่ดิน 1,486 ไร่ บริษัทฯ ฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวชุมชนสันติพัฒนา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คดีอาญาในข้อหาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น จำนวน 2 คดี และคดีแพ่งในข้อหาละเมิด ขับไล่ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 2 คดี รวมค่าเสียหายในส่วนแพ่ง 15 ล้านบาท โดยอาศัยเหตุการณ์ วันเวลา และเนื้อที่พิพาทแปลงเดียวกัน

สุรพล กล่าวด้วยว่า ระยะเวลา 2 เดือนชาวบ้านต้องหาหลักทรัพย์มาใช้ค้ำประกันเพื่อการอยู่ในพื้นที่จนกว่าการต่อสู้ทางคดีจนถึงที่สุดถือเป็นภาระที่หนักมากสำหรับเกษตรกรธรรมดา ซึ่งขณะนี้คงต้องหวังพึ่งเงินจากกองทุนยุติธรรมให้เข้ามาช่วยเหลือ แต่หากไม่ได้คงต้องมีการประชุมเพื่อจัดกิจกรรมระดมทุนกันต่อไป
 
 
 
รายละเอียดและความคืบหน้าคดี
 
1.คดีอาญาดำ 1912, 2131/2552 แดง 3738, 3739/2554 (รวมการพิจารณา 2 คดี)
ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์
บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) โจทก์ร่วม
นายมนัส กลับชัย กับพวกรวม 9 คน จำเลย
ข้อหา ร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น
 
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งเก้ามีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกจำคุก 1 ปี 6 เดือน คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา
 
2.คดีแพ่งดำ 1243/2551 แดง 138/2555
ระหว่าง บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด โจทก์
นางอรพิน วัชรเฉลิม กับพวกรวม 3 คน จำเลย
ข้อหา ละเมิด ขับไล่ เรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท
 
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน 110 ไร่ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท และชำระค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท จนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาท และชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 30,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมเฉพาะทุนทรัพย์ที่ชนะคดี คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา
 
3.คดีแพ่งดำ 230/2552 แดง 953/2554
ระหว่าง บริษัท สหอุตสาหกรรน้ำมันปาล์ม จำกัด โจทก์
นายมนัส กลับชัย กับพวกรวม 12 คน จำเลย
ข้อหา ละเมิด ขับไล่ เรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท
 
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1, 3, 5-9, 11, 12 รื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน 110 ไร่ และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำนวน 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาทจนกว่าจะขนย้ายฯ
 
คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษาทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย ในส่วนของจำเลยขอยกเว้นค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ศาลมีคำสั่งอนุญาต และขอทุเลาการบังคับคดี ศาลยังไม่มีคำสั่งต้องรอให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้สั่งเกี่ยวกับการทุเลาการบังคับคดี
 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2555 โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปปิดประกาศเพื่อจะดำเนินการรื้อถอนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เริ่มดำเนินการรื้อถอน 29 มิ.ย. 2555
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2555 ตัวแทนชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาได้เข้าประชุมร่วมกับ นายสถิตย์พงษ์ สุดชูเกียรติ รองเลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการสำนักปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งทาง สปก.ยืนยันบังคับคดีไม่มีสิทธิ์เข้าไปรื้อถอนชุมชนเพราะเป็นพื้นที่ สปก.และสปก.ได้ส่งมอบพื้นที่ไปแล้ว และมีการทำหนังสือแจ้งไปทางบังคับคดีระงับการรื้อถอน
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยกฟ้องคดี ‘กงจักรปีศาจ’ คนขายไม่ผิด แต่เนื้อหาในหนังสือผิดมาตรา 112

$
0
0

 

17 เม.ย.2557 ที่ห้องพิจารณาคดี 406 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผู้พิพากษานั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ  ที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นาย อ.วัย 65 ปีว่ากระทำความผิดโดยการขายหนังสือกงจักรปีศาจ (The Devil’s Discus) ในที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สวนลุมพีนีเมื่อ 2 พ.ค.49 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากยังมีเหตุแห่งความสงสัยว่า นายอ. ซึ่งเป็นเพียงผู้ขายหนังสือในลักษณะเร่ไปยังที่ต่างๆ จะรับทราบถึงข้อความ 6 ข้อความในหนังสือกงจักรปีศาจตามฟ้อง และในทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดของจำเลยอันจะทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว


ภาพจากวิกิพีเดีย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำพิพากษาปรากฏการพิจารณาคดีนี้ใน 2 ประเด็น

ประเด็นแรกเป็นส่วนของเนื้อหาในหนังสือว่าผิดมาตรา 112 หรือไม่ โดยอัยการได้ส่งฟ้อง 6 ข้อความจากหนังสือซึ่งหนากว่า 622 หน้าว่าเป็นข้อความที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ประเด็นนี้ศาลได้อ้างถึงคำให้การพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจสันติบาล, พยานผู้ให้ความเห็นซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์, ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม พยานโจทก์ทั้งหมดมีความเห็นว่าได้อ่านข้อความตามที่พนักงานสอบสวนสำเนามาให้ โดยไม่ได้อ่านทั้งเล่ม แต่เท่าที่อ่านเห็นว่าเป็นข้อความที่เข้าข่ายมาตรา 112  ส่วนนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ พยานจำเลยซึ่งเป็นพยานรายเดียวที่อ่านหนังสือทั้งเล่มเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ไม่เข้าข่ายความผิดและบทสรุปของหนังสือนั้นระบุว่าเหตุแห่งการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 นั้นคือการปลงพระชนม์พระองค์เอง ท่ามกลางทฤษฎีต่างๆ ที่มีผู้สงสัย

ศาลชี้ว่า หากผู้เขียนต้องการพิสูจน์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลปลงประชนม์พระองค์เองก็สามารถเขียนถึงความเชื่อโดยยกเหตุผลขึ้นมากล่าวอ้างได้โดยไม่ต้องกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และนำพระองกค์เข้ามาเกี่ยวข้องให้ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ อีกทั้งผู้เขียนก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันหรือสนับสนุนความเห็นของตนเองด้วย เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีเจตนาให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง  ส่วนข้ออ้างที่ว่าต้องอ่านหนังสือทั้งเล่มจึงจะบอกได้ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อความทั้งหกตามฟ้องอ่านแล้วได้ใจความ มีความหมายเข้าใจได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม

ประเด็นที่สอง จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลระบุว่าเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีแผงขายของในที่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีสินค้าหลากหลายทั้งเสื้อ หมวก กองหนังสือเก่า ตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่บริเวณดังกล่าวในเวลาประมาณ 20.30 น.ของวันที่ 2 พ.ค.49 และเห็นว่าบนกองหนังสือด้านบนมีหนังสือฟ้าเดียวกันฉบับที่ถูกแบน ใต้หนังสือฟ้าเดียวกันมีหนังสือกงจักรปีศาจและหนังสือการเมืองสมัยท้าวสุรนารี จึงได้ซื้อหนังสือกงจักรปีศาจและการเมืองสมัยท้าวสุรนารี ในราคาเล่มละ 500 บาท ส่วนจำเลยระบุ มีอาชีพขายของตามที่ชุมนุม กรณีที่เป็นคดีนี้เพราะมีคนมาฝากขายหนังสือดังกล่าว 2 เล่มจึงรับไว้ โดยไม่ได้เปิดดูและไม่เคยอ่านหนังสือดังกล่าว การฝากขายหนังสือเป็นเรื่องปกติ ผู้ที่มาฝากจะมารับเงินหลังจากงานเลิก อย่างไรก็ตาม จำเลยไม่ใช่ผู้เขียน ผู้แปล การจะฟังว่าจำเลยมีความผิด จำเลยต้องรู้ข้อเท็จจริงว่ามีข้อความทั้ง 6 ข้อความในหนังสือ นอกจากนี้โจทก์ไม่ได้มีพยานยืนยันว่าจำเลยรู้ถึงข้อความในหนังสือมาก่อน ยังมีความสงสัยว่าจำเลยเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับ 6 ข้อความตามฟ้อง การที่จำเลยนำหนังสือมาวางขาย ยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนากระทำความผิดตามมาตรา 112 คดีอาญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้สิ้นสงสัย กรณีนี้ยังมีความสงสัยจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

พิพากษายกฟ้อง และให้ริบหนังสือกงจักรปีศาจของกลาง  ลงชื่อผู้พิพากษา นายวิรัตน์ กาญจนเลขา, นางสาวกฤษณา จิตวิริยะยิ่งยง


ภาพทนายและจำเลย (ซ้ายสุด) เดินทางกลับบ้านหลังฟังคำพิพากษา

นายยิ่งชีพ อัฌชานนท์ หนึ่งในทีมทนายจำเลย ให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนี้ได้สร้างบรรทัดฐานบางประการเกี่ยวกับการพิจารณาเนื้อหาใดๆ ว่าอะไรหมิ่นหรือไม่ โดยศาลสั่งว่า แค่ข้อความบางส่วนก็สามารถชี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านข้อเขียนหรือหนังสือนั้นทั้งหมด ในกรณีนี้พยานโจทก์ทั้งหมดไม่มีใครได้อ่านหนังสือทั้งเล่มเลย มีแต่เพียงนายสุลักษณ์ ซึ่งเป็นพยานจำเลยคนเดียว ศาลน่าจะให้น้ำหนักกับปากที่อ่านหนังสือทั้งหมดทั้งภาคไทยและอังกฤษ แต่ศาลกลับชี้ว่าเป็นพยานที่ไม่มีน้ำหนัก ไม่น่าเชื่อถือ พร้อมหยิบยกพยานโจทก์ซึ่งได้อ่านเพียงสำเนาที่พนักงานสอบสวนนำไปให้ 10 กว่าหน้า

อย่างไรก็ตาม น่ายินดีที่ศาลพิจารณายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามหลักการทางกฎหมาย เนื่องจากพยานโจทก์ทั้งหมดไม่มีใครนำสืบได้เลยว่าจำเลยรับรู้ถึงเนื้อหามาก่อน และจำเลยก็ได้ปฏิเสธมาตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรดำเนินคดีจนถึงชั้นพิจารณาคดี

เขาเห็นว่า แม้จำเลยในคดีนี้จะไม่ต้องติดคุกแต่คำพิพากษาก็ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ต้องการปรามและบอกแก่สาธารณะว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ผิดตามมาตรา 112

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการฟังคำพิพากษาในวันนี้ จำเลยเดินทางมาศาลเพียงลำพัง พร้อมกับทีมทนายความและจำเลยหลั่งน้ำตาหลังฟังพิพากษาเสร็จสิ้น

ทั้งนี้ นาย อ. เคยถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 1 คืนหลังอัยการสั่งฟ้องเมื่อ 27 ส.ค.56 โดยในวันรุ่งขึ้นได้รับการประกันตัว ใช้เงินสด 300,000 บาทจากเงินกองทุนยุติธรรมของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ

หนังสือกงจักรปีศาจเคยเป็น ‘หนังสือต้องห้าม’ ตามคำสั่งที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ห้ามการขายหรือจ่ายแจกและให้ยึดสิ่งพิมพ์ โดยเจ้าพนักงานการพิมพ์ ลงวันที่ 31 พ.ค.49 ลงนามโดย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ก่อนจะมีการออก พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ ฉบับใหม่ พ.ศ.2550

ส่วนข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิพีเดียระบุว่า กงจักรปีศาจตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2507 โดยสำนักพิมพ์แคสเซลล์ (Cassell) รัฐบาลไทยได้สั่งห้ามตีพิมพ์ในทันทีและตัวผู้เขียนเองก็ถูกห้ามเข้าประเทศไทยด้วยเช่นกัน จากนั้นหนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย ร.อ.ชลิต ชัยสิทธิเวช ในปี พ.ศ. 2517 และมีการหมุนเวียนขายอยู่ในตลาดมืดในประเทศไทย โรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์หนังสือฉบับภาษาไทยโดนเผาทำลาย  เนื้อหาของหนังสือเป็นแนวสืบสวนการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล แบ่งเป็น 4 บท โดยบทท้ายมีข้อสรุปของผู้เขียนที่ว่าคำอธิบายที่น่าพอใจคือทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมปลงพระชนม์ตัวพระองค์เอง เขาสนับสนุนทฤษฏีความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและเพื่อนนักศึกษานิติศาสตร์ แมรีเลน เฟอร์รารี (Marylene Ferrari) ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้รับการยอมรับในกลุ่มสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ในสยาม

 

อ่านรายละเอียดคดีได้ http://freedom.ilaw.or.th/case/485#detail

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พ่อแม่แจ้งจับลูกสาว ผิด ม.112 ปัดไม่รู้เห็นด้วย

$
0
0

พ่อแม่แจ้งจับลูกสาว ผิดมาตรา 112 พร้อมคลิปหลักฐาน 7 คลิป เผยที่ผ่านมาถูกคุกคามต่างๆ นานา ขณะลูกสาวอยู่ลอนดอน ได้สัญชาติอังกฤษแล้ว แจงไม่รู้เห็นด้วย และเคยเตือนแล้วแต่ไม่ฟัง

17 เม.ย. 2557 เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่า วันนี้ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสุรพงศ์ อายุ 67 ปี และ นางสมจินตนา  อายุ 59 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.ฉัตรวดี หรือ “โรส” อายุ 34 ปี  ซึ่งบุตรสาวคนเล็กของนายสุรพงศ์ และนางสมจินตนาเอง ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยนำแผ่นดีวีดีบันทึกภาพและเสียงของ น.ส.ฉัตรวดี ที่มีการกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูง รวม 7 คลิป มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

นายสุรพงศ์ และ นางสมจินตนา เปิดเผยว่า เหตุที่ต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีบุตรสาวตนเอง เป็นเพราะช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ถูกต่อว่า ถูกโทรศัพท์มาคุกคามต่างๆ นานา หลังจากบุตรสาวซึ่งไปทำงานเป็นช่างผม หรือแฮร์สไตลิสต์ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ถ่ายคลิปวิดีโอคำพูดซึ่งมีการพาดพิงสถาบันเบื้องสูง อันเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวไทย แล้วถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์

พ่อและแม่ของ น.ส.ฉัตรวดี เปิดเผยด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นพวกตนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิดของบุตรสาว จึงต้องเข้าแจ้งความเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ขณะนี้ก็ยังติดต่อกับบุตรสาวได้บ้างไม่ได้บ้าง เคยบอกเตือนให้หยุดกระทำแบบนี้ แต่บุตรสาวก็ไม่ฟัง เขาก็ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ นานแล้วตอนนี้ก็ได้สัญชาติอังกฤษ ลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น พวกตนก็ไม่เคยบังคับอะไรบุตรสาวเลย ก็อยากขอความเห็นใจจากคนในสังคมว่า “ลูกกระทำผิดก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ต้องผิดไปด้วยเพราะไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ”

ขณะที่ พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า กรณีดังกล่าวตนได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนได้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว หากพบว่าเป็นความผิดจริงแม้จะเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายไทย มีการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โดยการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีนั้นคงต้องทำงานร่วมกับทางอัยการสูงสุดต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เนติวิทย์ ร่อนจม.ถามจุดยืนอมรา-องค์กรสิทธิ กรณีไอเดียตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน

$
0
0

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ทำจดหมายเปิดผนึก ถามจุดยืน อมรา พงศาพิชญ์ กรรมการสิทธิและองค์กรสิทธิไทยและเทศ ถึงจุดยืนต่อไอเดียตั้ง หวั่นหากเกิดองค์กรดังกล่าวจริงอาจนำไปสู่ 6 ตุลา


 เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

17 เม.ย. 2557 กรณี พลตรี นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เสนอไอเดียตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน เพื่อจัดการกับผู้ที่หมิ่นสถาบันกษัตริย์ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรรมการ กสม. และ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและเทศ เพื่อถามถึงจุดยืนขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่อองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน

เนติวิทย์ วิจารณ์ด้วยว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดินดังกล่าว นอกจากจะมีชื่อที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว  เนื้อหาสาระที่นำเสนอมานั้นก็เป็นไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังกันจากการตั้งรางวัลให้ การมุ่งร้ายกันจากการลงทัณฑ์ทางสังคม และปิดกั้นซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน พร้อมชี้ด้วยว่า ในที่สุด หากเกิดองค์กรดังกล่าว จะทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ตกอับด้านการถกเถียงกันอย่างมีสติปัญญามีเหตุมีผล และอาจนำไปสู่การฆ่าฟัน และซ้ำรอยเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ได้

 

เนื้อหาจดหมายมีดังนี้

pridisewa@gmail.com
17 เมษายน 2557
เรียน ศาสตราจารย์กิตติคุณ อมรา พงศาพิชญ์ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทุกท่าน และ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและเทศ
เรื่อง แสดงความเห็นและขอทราบจุดยืนขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่อองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน
   
อันเนื่องมาจากมีข่าวว่าจะมีการวางแผนจัดตั้ง องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน โดยแรกเริ่มมาจากเฟซบุ๊กของ พลตรี นายแพทย์ เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งองค์กรดังกล่าวไม่ได้ต้องการเก็บขยะนำไปรีไซเคิล หรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอันเป็นสิ่งควรอนุโมทนาแต่อย่างใด หากองค์กรดังกล่าวเป็นไปเพื่อต้องการกวาดล้างเอากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเล่นงานประชาชน โดยเห็นว่าคนที่คิดต่างจากพวกพ้องของตนเป็นขยะ เป็นสิ่งที่ควรกวาดล้างออกไป เพียงแค่ชื่อองค์กรก็เห็นอย่างชัดเจนถึงการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว แลเนื้อหาสาระที่เขานำเสนอมานั้นก็เป็นไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังกัน (ตั้งรางวัลให้) การมุ่งร้ายกัน (การลงทัณฑ์ทางสังคม) และปิดกั้นซึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
 
ในที่สุดถ้าองค์กรดังกล่าวบังเกิดได้ (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีของสาธารณชนแล้ว) ย่อมทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ตกอับด้านการถกเถียงกันอย่างมีสติปัญญามีเหตุมีผล และอาจนำไปสู่การฆ่าฟัน โดยอาจจะซ้ำรอยเหตุการณ์สังหารโหด 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ก็ยังได้

องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ จะสามารถนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ไปได้ละหรือ หรือจะรอท่าทีอีกอย่างไร สมควรแสดงมติออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนในการยืนหยัดข้างสิทธิมนุษยชนมิใช่หรือ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเสียงแห่งมโนธรรม เป็นหน้าที่ที่ได้ทำแล้ว

ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองไทย เยาวชนไทยจะนิ่งเฉยให้สังคมดิ่งลงสู่ความมืดมิดได้ละหรือ ไม่เป็นห่วงไม่เป็นกังวลต่อเรื่องดังกล่าวย่อมนี้ไม่ได้ จึงได้เขียนมาด้วยความกังวลใจ และขอให้องค์กรของท่านโปรดแสดงจุดยืนให้ประจักษ์ชัดแจ้ง

ด้วยความเคารพนับถือ

(นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘ศอ.รส.’ แถลง 7 ข้อเรียกร้องทุกฝ่ายร่วมแก้ไขปัญหา- 'ปชป.' จ่อเอาผิดฐานกบฏ

$
0
0
ศอ.รส.ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ด้าน ‘ชวนนท์’ เตรียมเอาผิด แถลงการณ์ ศอ.รส.ยกชุด ชี้เข้าข่ายฐานกบฏ 8 ข้อ ล่วงอำนาจตุลาการ จี้ ‘ยิ่งลักษณ์’ เร่งเอาผิด
 
17 เม.ย. 2557 เว็บไซต์ thaigov.go.thรายงานว่า เวลา 13.00 น.ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองผู้อำนวยการ ศอ.รส. พร้อมด้วย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ศอ.รส. และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะทำงานเลขาธิการ ศอ.รส. แถลงการณ์ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ดังนี้
 
ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลังทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม
 
ตลอดเวลา 30 วันที่ได้มีการจัดตั้ง ศอ.รส. ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งปวงให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ตลอดมาในระดับหนึ่งนั้น ขณะนี้มีข้อมูลอย่างเพียงพอที่ได้บ่งชี้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของศอ.รส. โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ในลักษณะท้าทายและแข่งขันกัน ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือการวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ 2 องค์กร คือคณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ
 
กล่าวคือคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำลังจะวินิจฉัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเสียหาย กรณีโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่ ซึ่งหากวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูลแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งกรณีเช่นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่านายกรัฐมนตรีจะต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 181 หรือจะให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่แทนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้โดยไม่เกิดสุญญากาศทางการบริหารประเทศ
 
ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญนั้นกำลังจะมีคำวินิจฉัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกระทำการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ตามมาตรา 266 แห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 266 ดังกล่าว รัฐมนตรีทั้งคณะก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 180 ซึ่งแม้มาตรา 181 จะบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ก็มีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญจะได้วินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญ คือวินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งโดยจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 181 อีกไม่ได้
 
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดสุญญากาศตามที่ กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการเพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมีการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ในขณะที่กลุ่ม นปช. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มก็จะไม่ยอมรับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกินจากรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ตลอดจนการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าวข้างต้นด้วย ซึ่งขณะนี้ก็ได้ปรากฏเป็นข้อมูลและข้อเท็จจริงของการเผชิญหน้าและการท้าทายที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และจะนำไปสู่การปะทะกันและก่อเหตุร้ายต่อกันและกันแล้ว
 
ศอ.รส. มีความกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างมากเพราะขณะนี้ความขัดแย้งและการจัดแนวร่วมของแต่ละฝ่ายขยายตัวในวงกว้างมีกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนและคัดค้านแต่ละฝ่ายจำนวนมาก และมีการกล่าวหาว่าองค์กรอิสระบางองค์กรเป็นแนวร่วมกับบางกลุ่มด้วย ตลอดจนมีความพยายามจัดการเลือกตั้งให้เนิ่นช้าออกไปเพื่อให้ปัญหาลุกลามและเกิดสุญญากาศตามแนวทางของบางฝ่าย
 
เพื่อบรรลุภารกิจของ ศอ.รส. ซึ่งเป็นหน่วยงานพิเศษที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาความไม่สงบอันเกิดจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงในขณะนี้ ศอ.รส. โดยมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศอ.รส. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษา ศอ.รส. นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศอ.รส. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศอ.รส. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะเลขาธิการ ศอ.รส. และหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้แทนซึ่งรวมเป็นฝ่ายบริหาร และที่ปรึกษา ศอ.รส. อันประกอบด้วยทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ พลเรือน และหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย ซึ่งได้ร่วมประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นสมควรออกแถลงการณ์ฉบับนี้เพื่อเรียกร้องต่อองค์กรกลุ่มบุคคล คณะรัฐมนตรี และกลุ่มแกนนำผู้ร่วมชุมนุมตลอดจนพี่น้องประชาชน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสถานการณ์หรือแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือรักษาความสงบเรียบร้อยโดยขอให้แต่ละฝ่ายดำเนินการดังต่อไปนี้
 
1. คณะกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยความเคารพต่อองค์กรและเห็นถึงบทบาทอันสำคัญ แต่มีความกังวลในตัวคณะกรรมการบางคน ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินคดีและมีคำวินิจฉัยต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีโครงการรับจำนำข้าวอย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐานที่แตกต่างกันระหว่างคนของพรรคฝ่ายค้านและกับพรรคฝ่ายรัฐบาล โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมอันเป็นมาตรฐานสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
 
2. ศาลรัฐธรรมนูญด้วยความเคารพต่อองค์กรและเห็นถึงความสำคัญ แต่มีความกังวลในตัวตุลาการบางคน ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและมีคำวินิจฉัยต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อย่างตรงไปตรงมา เพราะเมื่อเป็นการกระทำในอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีแล้วก็ไม่อาจเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้ และประการสำคัญอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญจะต้องไม่วินิจฉัยเกินเลยไปถึงขนาดว่าหากความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะจะต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามมาตรา 180 โดยจะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ตามมาตรา 181 อีกไม่ได้ ซึ่งจะเป็นการวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญจะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมและคำถวายสัตย์อันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องยึดถือในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
 
3. คณะรัฐมนตรีศอ.รส. ขอเรียกร้องว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญตามที่กล่าวมาในข้อ 2 แล้ว คณะรัฐมนตรีจะต้องแก้ไขปัญหามิให้เกิดสุญญากาศเพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเสียเอง คณะรัฐมนตรีก็ชอบที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากการอยู่ในตำแหน่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะคณะรัฐมนตรีได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง การจะพ้นไปก็สมควรที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นไป มิใช่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ชี้ขาดเสียเองโดยฝ่าฝืนมาตรา 181 ดังกล่าว โดยในระหว่างทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้นให้กราบบังคมทูลด้วยว่าคณะรัฐมนตรีจะคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา 181 การทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดข้อยุติอันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองโดยมิต้องเกิดการใช้กำลังของกลุ่มคน 2 กลุ่มเข้าก่อเหตุร้ายต่อกัน และป้องกันมิให้คณะรัฐมนตรีกระทำผิดตามมาตรา 181 ด้วย
 
ศอ.รส. เห็นว่ามาตรา 181 เป็นหลักการอันสำคัญของการบริหารประเทศที่ป้องกันไม่ให้เกิดสุญญากาศหรือช่องว่างโดยจะไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้เป็นอันขาดในทุก ๆ กรณี ซึ่งในอดีตรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา 181
 
อนึ่ง ข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นนั้นรวมถึงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้วินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาต่อนายกรัฐมนตรีมีมูล และนายกรัฐมนตรีต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 272 ด้วย
 
4. คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้รับผิดชอบในการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว เพื่อจะได้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ และการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ จะยุติลงทันที และการแสดงพฤติกรรมของ กกต. บางคนที่ประกาศชัดเจนว่าจำเป็นต้องเอนเอียงเข้าข้างบางฝ่ายนั้น เป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและเข้าข่ายผิดต่อกฎหมายด้วย
 
5. แกนนำของ กปปส. และ นปช. ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้ยุติการชุมนุมและไม่ปลุกระดมเรียกคนเข้าร่วมชุมนุมใหญ่เพราะจะเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อการกระทบกระทั่ง และก่อเหตุร้ายต่อกันและกัน หากแกนนำยังคงฝ่าฝืนจนเกิดเหตุร้าย แกนนำทุกคนทุกกลุ่มจะต้องรับผิดชอบต่อการทำผิดกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งอย่างถึงที่สุด
 
6. หัวหน้าส่วนราชการ ศอ.รส. ขอเรียกร้องต่อหัวหน้าส่วนราชการระดับสูง อันได้แก่ ปลัดกระทรวง เลขาธิการ อธิบดี และหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออื่น ๆ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการบริหารจัดการให้ส่วนราชการ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สามารถปฏิบัติงานให้บริการประชาชนได้อย่างดีตามปกติ โดยไม่ถูกบุกรุกหรือปิดล้อมจนไม่สามารถให้บริการได้ รวมถึงการกำชับ ตักเตือน และดูแลให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกับกิจกรรมใด ๆ ที่อาจเข้าข่ายสนับสนุนแกนนำของกลุ่มเรียกร้องที่กระทำผิดกฎหมายและอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดี เช่น กลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและเหมาะสมด้วย
 
7. พี่น้องประชาชน ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้งดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. และกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใด เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและเหตุร้ายที่จะรุนแรงขึ้นแล้วยังเป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมด้วย และขณะนี้แกนนำของทุกฝ่ายได้พยายามใช้การปลุกระดมในลักษณะสงครามทางจิตวิทยาเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อฝ่ายตนและเพิ่มความเกลียดชังฝ่ายอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนจะต้องมีสติ และใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบให้มากที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อตามคำยุยงแล้วกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศอ.รส. มีความมั่นใจอย่างไรว่าแถลงการณ์ฉบับนี้จะลดระดับความร้อนแรงทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ได้ นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองผู้อำนวยการ ศอ.รส. กล่าวว่า คิดว่าตอนนี้ไม่มีใครที่จะตอบได้ว่ามั่นใจแค่ไหน แต่ ศอ.รส. พยายามที่จะทำให้ดีที่สุด การที่มีแถลงการณ์วันนี้เพื่อจะเตือนทุกฝ่ายให้เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง เรื่องความมั่นใจนั้นยังตอบไม่ได้ แต่จะทำให้ดีที่สุด
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเรียกร้องข้อที่ 3 ต่อคณะรัฐมนตรีนั้น รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องทำตามหรือไม่ นายชัยเกษมกล่าวว่า แถลงการณ์ของ ศอ.รส. ออกมาจากการปรึกษาหารือกันใน ศอ.รส. ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรัฐบาล เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่รัฐบาล ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เห็นว่าจะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไม่เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายที่เห็นต่างกับรัฐบาลก็มองว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ นายชัยเกษมกล่าวว่า ที่ ศอ.รส. แถลงการณ์ออกมา เป็นการเตือนทุกฝ่ายในส่วนที่ทุกฝ่ายควรจะทำเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในความคิดเห็นของ ศอ.รส. ฉะนั้นคนที่เห็นต่างย่อมจะมีได้ แล้วแต่จะวิพากษ์วิจารณ์กันไป อยากจะให้ทุกฝ่ายที่ ศอ.รส. ได้กล่าวถึง ได้ทำในสิ่งที่ ศอ.รส. ได้ระดมสมองและแนะนำว่าควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะน่าจะเป็นหนทางที่จะช่วยให้มีความสงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองได้
 
“แนวความคิดของผม ถ้าไม่มีทางที่จะทำอะไรประการอื่นได้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินนอกกฎหมาย นอกรัฐธรรมนูญ ไม่มีทางใดทำได้เราก็มีอย่างเดียว ต้องพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่คือแนวความคิด ซึ่ง ศอ.รส. เห็นพ้องด้วยว่าถ้าดำเนินไปอย่างนั้น อย่างน้อยบ้านเมืองก็ไม่เป็นสุญญากาศ และไม่เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างบุคคลที่ไม่เห็นด้วย” นายชัยเกษมกล่าว
 
 
 
'ปชป.' จ่อเอาผิด 'ศอ.รส.' ฐานกบฏ ปมแถลง 7 ข้อเรียกร้อง
 
ในวันเดียวกัน (17 เม.ย. 2557) ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแถลงการณ์ของ ศอ.รส.ตั้งคำถามว่าเป็นมติของ ศอ.รส.จริงหรือไม่ เนื่องจากเป็นการแถลงก่อนการประชุม โดยมีนายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดนายชัยเกษมก่อนหน้านี้ แต่หลายครั้งที่อ้างว่าเป็นมติ ศอ.รส.ที่ผ่านมา เป็นการแอบอ้างว่าที่ประชุมมีมติ เพราะแถลงการณ์ ศอ.รส.ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายประเทศไทยในภาพรวมยับเยิน เพราะพาดพิงการทำงานขององค์กรอิสระ และชี้นำให้กระด้างกระเดื่องสั่งการให้ ครม.ปฏิเสธคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
 
รวมทั้งแนะนำให้มีการขอพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขัดกฎหมายถึงเข้าข่ายกบฏ หากกรรมการ ศอ.รส.คนใดมีส่วนร่วมในการออกแถลงการณ์ครั้งนี้ ก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย โดยพรรคจะตรวจสอบจริงจังเพื่อดำเนินคดีกับผู้คิดเป็นกบฏต่อประเทศ และขอให้กำลังใจองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ่วงดุล ทั้งป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อรักษาความถูกต้องให้กับบ้านเมือง
 
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า แถลงการณ์ของ ศอ.รส.ครั้งนี้ เข้าข่ายผิด 8 ข้อ คือ 1. เป็นการทำงานเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ศอ.รส. 2. บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ร้ายองค์กรอิสระอย่างไม่เป็นธรรม 3. เป็นการข่มขู่องค์กรถ่วงดุลของระบบตรวจสอบและข่มขู่กระบวนการยุติธรรม 4. ตั้งตนเป็นศาลรัฐธรรมนูญเสียเอง เป็นกระบวนการยุติธรรม วินิจฉัยเองว่าอะไรเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทั้งก้าวล่วงอำนาจตุลาการอย่างร้ายแรงของฝ่ายบริหาร
 
5. ปฏิเสธกระบวนการตามรัฐธรรมนูญของประเทศ 6. แถลงการณ์โจมตีโครงสร้างอำนาจอย่างร้ายแรงจึงอาจเข้าข้อหากบฏ ผู้ที่มีส่วนร่วมในการออกแถลงการณ์นี้จึงมีความผิดด้วย ส่วนข้าราชการยังเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง
 
ส่วนฝ่ายการเมืองจะมีความผิดตามมาตรา 157 ของกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งทีมกฎหมายพรรคจะดำเนินคดีต่อไป 7. มีการกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำปัญหาของรัฐบาลไปเป็นภาระของพระองค์ท่านซึ่งไม่บังควรอย่างยิ่ง
 
และ 8. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. ต้องดำเนินคดีกับ กรรมการ ศอ.รส. ที่ปฏิบัติหน้าที่เกินขอบเขตทั้งทางวินัยและอาญา หากไม่ดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้ เท่ากับรู้เห็นเป็นใจกับแถลงการณ์นี้ ที่สอดรับกับการขอขยายเวลาในการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีการสิ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกไปอีก 15 วัน
 
นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ระบุเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ลงเลือกตั้งนั้น ขอให้นายสุรพงษ์ออกมาขอโทษประชาชนก่อน และแถลงการณ์ ศอ.รส. ที่กระด้างกระเดื่องต่อระบบปกครองของประเทศ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังทำการปฏิวัติเพื่อกระชับตัวเอง โดยการไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรศาล ขอให้ใช้พระบรมราชวินิจฉัยเพื่อเลือกนายกฯ เอง เป็นการปฏิวัติเงียบเพื่อคงสถานะในการอยู่ในอำนาจต่อไป โดยแสดงบทบาทความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ชัดเจน ทั้งที่เป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งหากนายสุรพงษ์มีส่วนร่วมในการออกแถลงการณ์นี้ก็ต้องร่วมรับผิดในทางกฎหมายด้วย
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แจ้งความ 'อั้ม เนโกะ'- 'พระ' แต่งหญิง ฐานหมิ่นศาสนา

$
0
0

ประธานเครือข่ายต้านบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  แจ้งความเอาผิด 'พระ' แต่งหญิง และอั้ม-เนโกะ ฐานดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนา

17 เม.ย. 2557 เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ปรากฎตามภาพถ่าย ซึ่งเผยแพร่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก และที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ตามความผิดฐานดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนา กระทำด้วยประการใดๆ แก่วัตถุหรือสถานที่อันเป็นที่เคารพในทางศาสนา, ความผิดฐานแต่งกายเลียนแบบภิกษุ สามเณร หรือนักบวชในศาสนาโดยมิชอบ, ความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206, 208, 341 ประกอบมาตรา 83 และ 86 โดยนำเอกสารและภาพถ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 42 ภาพ มามอบไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี

นายสงกานต์ กล่าวว่า ตามที่ได้รับเบาะแสจากสมาชิกเครือข่ายฯ และมีการตรวจสอบภาพถ่ายที่ส่งมาถึงตนตั้งแต่ช่วงต้นปี 57 ที่ผ่านมา เป็นเวลากว่า 3 เดือนเต็ม พบภาพถ่ายพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพฤติกรรมแต่งกายเป็นหญิง มีการสวมใส่วิกผมยาว โดยนำภาพดังกล่าวเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กในชื่อว่า “นู๋ร๊ากผัวเขา ผัวเขาก็ร๊ากนู๋” แสดงภาพ และข้อความต่างๆ แลกเปลี่ยนกันในหมู่สมาชิกในกลุ่มดังกล่าวที่มีกว่า 350 คน อย่างไม่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต สร้างความเสื่อมเสียแก่วงการพระพุทธศาสนา ขณะนี้ตนยังพบข้อมูลว่าพระรูปนี้สังกัดวัดดังแห่งหนึ่ง โดยมีพฤติการณ์คือในช่วงกลางวันยังห่มจีวรเป็นพระสงฆ์ แต่เวลากลางคืนจะแต่งกายเป็นหญิงสาวออกไปเที่ยวกลางคืน มีการตั้งฉายาว่า “นาตาลีร้อยหน้า”

นอกจากนี้ยังมีการสนทนากันถึงพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย หรือที่ภาษาอีสานเรียกว่า “ซีคาด” ว่าได้มากี่คน พูดคุยกันเรื่องซื้อหวยใต้ดิน ดื่มสุรา เบียร์ในช่วงที่ออกเที่ยวกลางคืน ตบตีกับพระหรือเณร การเดินสายประกวดเทพี ตามเวทีประกวดต่างๆ มาอวดกัน รวมถึงการใช้ถ้อยคำ และนำภาพที่ไม่เหมาะสมมาโพสต์ประกอบ จึงต้องการให้ทาง บก.ป.ดำเนินการใน 4 คดี ประกอบด้วย

1.กรณีของผู้ที่ใช้ชื่อในเฟซบุ๊ก ว่า “นู๋ร๊ากผัวเขา ผัวเขาก็ร๊ากนู๋” เจ้าของฉายา “นาตาลีร้อยหน้า” 2.กรณีภาพถ่ายชายอายุระหว่าง 17-20 ปี สวมอังสะ ใช้ปากอมอวัยวะเพศ โดยพบเบาะแสว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ 3.กรณีภาพถ่ายชายอายุระหว่าง 18-25 ปี สวมอังสะ และภาพการประกวดเทพีตามงานต่างๆ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.สุรินทร์ 4.กรณีที่ นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ “อั้ม เนโกะ” นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถ่ายภาพในขณะใช้มือโหนพระศอ (คอ) พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ด้วยกิริยาไม่เหมาะสม เนื่องจากพระพุทธรูปเสมือนหนึ่งตัวแทนพระพุทธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพบูชา เหตุเกิดใน กทม. นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวหาสมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย ว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลเบาะแสต่างๆ เหล่านี้ด้วย

นายสงกานต์ กล่าวอีกว่า ได้ประสานให้ นางนวรัตน์ พัชราวุธ ผู้ชำนาญการด้านกฎหมายรวบรวมพยานหลักฐานที่ใช้ประกอบการดำเนินคดีและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกกรณี โดยหากพบข้อเท็จจริงต่างๆ ตามที่ปรากฎ ก็ขอให้พนักงานสอบสวน บก.ป.ดำเนินคดีจนถึงที่สุด

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบโดยมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1 กก.3 และ กก.4 บก.ป.ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามที่มีการแจ้งความไว้หรือไม่ รวมทั้งสอบปากคำผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป โดยยืนยันว่าทาง บก.ป.จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นนั้น พระธรรมสุธี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ และนายกสมาคมมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ซึ่งมีการระบุข้อมูลของพระฉาว ว่าสังกัดวัดตัวย่อ “ม” กล่าวยืนยันว่า ภาพของพระที่ปรากฎเป็นข่าว น่าจะเป็นพระที่มาใช้สถานที่วัดแห่งนี้เป็นสนามสอบพระปริยัติธรรมเท่านั้น เรื่องนี้ได้ตรวจสอบรายชื่อพระทั้งหมดกว่า 200 รูปแล้ว ซึ่งพระรูปดังกล่าวไม่ได้สังกัดวัดมหาธาตุฯ อย่างแน่นอน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.แรงงานตั้ง 'กองอาเซียน' ทำยุทธศาสตร์รับ AEC

$
0
0

17 เม.ย. 2557 เว็บไซต์เนชั่นแชลแนลรายงานว่า นายสุเมธ มโหสถ รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานจัดตั้ง "กองอาเซียน" ขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน โดยกองอาเซียนจะมีหน้าที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์ นโยบาย ข้อเสนอแนะ แนวทางการดำเนินงานด้านแรงงานในกรอบอาเซียน และความร่วมมือในกรอบพหุภาคีอื่นๆ รวมทั้งดำเนินการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งการกำกับ/ดูแล ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงาน ขณะเดียวกันทำหน้าที่ประสาน/สนับสนุนความร่วมมือด้านแรงงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบอาเซียน และความร่วมมือในกรอบพหุภาคีอื่นๆ ทั้งการจัดการประชุม การเข้าร่วมประชุม จัดทำถ้อยแถลง กำกับท่าที และการเจรจาในระดับนานาชาติภายใต้กรอบดังกล่าว พร้อมทั้งทำหน้าที่ศึกษา/วิเคราะห์จัดทำเอกสารทางวิชาการ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินงานความร่วมมือในกรอบอาเซียน กรอบความร่วมมือในพหุภาคีอื่นๆ รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนกระทรวงแรงงานในคณะกรรมการด้านความร่วมมือในกรอบอาเซียน หรือกรอบความร่วมมือพหุภาคีอื่นๆ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ปลัดกระทรวงแรงงานมอบหมาย

รองปลัดกระทรวงแรงงาน ระบุว่า งานแรกในเดือนมิถุนายนนี้ กระทรวงแรงงานจะเป็นเจ้าภาพจัดการการประชุมยกร่างตราสารอาเซียน เพื่อร่วมกันร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานแรงงานต่างด้าว ระดับล่าง ซึ่งจะช่วยให้ทั้งแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานในไทยได้รับการคุ้มครอง ขณะเดียวกันแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศก็จะได้รับการคุ้มครองเช่นกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 50861 articles
Browse latest View live




Latest Images